หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 139 พวกเจ้าถึงกับซึมไปเลยหรือ ? (ต้น)

บทที่ 139 พวกเจ้าถึงกับซึมไปเลยหรือ ? (ต้น)

เยี่ยฉวนจากกับน้องสาวไปเป็นเวลานาน เวลานี้ได้กลับมาเสียที แน่นอนว่าในใจของเขาจะต้องรู้สึก ตื่นเต้นอย่างมาก !

เขากับน้องไม่เคยห่างกันนานเท่านี้มาก่อน ดังนั้นภายหลังจากหลายวันที่แยกจาก จึงทำให้เขารู้สึกคิดถึงนางมากเหลือเกิน ในเวลานี้จึงอยากเจอหน้าน้องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ !

เยี่ยฉวนใช้เวลาวิ่งขึ้นเขาเพียงชั่วพริบตาเดียว

ทว่าเมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา เขากลับรู้สึกผวาในใจเล็กน้อยเมื่อมองหาไม่พบเยี่ยหลิง !

เสียงที่ตะโกนนั้นดังมิใช่น้อย ทุกคนในสถานศึกษาฉางหลานย่อมได้ยินทั่วกันหมด โดยปกติแล้วน้อง จะต้องรีบรุดออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงของตน !

ทว่าครั้งนี้ เยี่ยหลิงไม่ออกมา !

“เกิดอะไรขึ้น ?”

เยี่ยฉวนใจหายวาบขณะเดียวกันเขารีบผลุนผลันเข้าไปที่ห้องโถง ที่นั่นเขาได้พบกับจี้อันซื่อที่ออกมา พอดี นางมองหน้าก่อนจะบอกว่า “มีเรื่องเกิดขึ้นกับนาง”

เขาได้ยินคำบอกกล่าวเต็มสองหู

หึ่ง !

เสียงสะท้านแห่งกระบี่ภายในกายกลับสะท้อนก้องออกมาภายนอกกายของชายหนุ่ม !

นัยน์ตาจ้องเขม็งตรงมายังหญิงสาว “นางอยู่ที่ใด ?”

แววตากร้าวพร้อมสังหาร !

เมื่อเห็นแววสังหารฉายชัดมิซ่อนเร้น จี้อันซื่อขมวดคิ้วก่อนเอ่ยว่า “เจ้าต้องใจเย็นก่อน เจ้า…”

ฉันพลันนั้นร่างของคนตรงหน้ากระโจนพรวด เพียงในพริบตาปลายกระบี่ในมือของเยี่ยฉวนจี้ตรงกึ่ง กลางระหว่างหัวคิ้วของหญิงสาว เสียงถามดุดันกราดเกรี้ยว “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง นางอยู่ที่ใด ?”

หางเสียงสั่นพลิ้ว ย่อมแสดงว่าความเดือดดาลนั้นเข้าใกล้จุดมรณะเต็มที

นอกจากนั้นแม้กระบี่ในมือยังสั่นสะท้าน !

จี้อันซื่อจ้องสายตาไม่ว่างเว้น “เฟินเจี้ยต้องการให้เจ้าไปที่เชิงเขาฉางซาน ข้าส่งสัญญาณให้ท่านปู่ ทราบแล้วเขากำลังจะมาถึงในไม่ช้า เจ้า…”

ทว่ายังทันสิ้นประโยค เยี่ยฉวนพลันหันหลังกลับและถลันลงจากเขาไปทันที

“อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นเด็ดขาด !”

นางทำได้เพียงตะโกนไล่หลังอย่างเร่งด่วนเท่านั้น !

ทว่าเยี่ยฉวนซึ่งหายลับไปอย่างรวดเร็ว กลับไปปรากฏกายที่เชิงเขาแล้ว

เมื่อการณ์ที่ปรากฏเช่นนั้นอีกฝ่ายสีหน้าหมองลงทันที ด้วยรู้เต็มอกว่าเหตุการณ์เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น !

นางจึงจัดการบีบศิลาถ่ายสัญญาณอีกครั้ง จากนั้นตนเองเร่งวิ่งตามเยี่ยฉวนลงจากเขาโดยไม่รอช้า

ที่เชิงเขา ตลอดเส้นทางเยี่ยฉวนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต นัยน์ตาแดงก่ำราวกับสีโลหิต สีหน้าเหี้ยมเกรียม และบ้าดีเดือด

น้องสาวเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวในชีวิต เขาจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเด็ดขาด !

เขาทำทุกอย่างเพื่อน้องได้ !

ระหว่างทางเยี่ยฉวนบุกตะลุยผ่านผู้คนไปอย่างไม่สนใจใยดี มีชาวบ้านที่จดจำใบหน้าของเยี่ยฉวนได้

“เยี่ยฉวนนี่นา… เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”

“ท่าทางเขากำลังรีบไปที่สถานศึกษาฉางมู่ !”

“ไม่มีทาง ! เขาจะยอมไปตายหรือ ?”

“ไป ไป พวกเราไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา…”

โดยทันทีทันใดเสียงชาวบ้านที่แตกตื่น ตื่นเต้น ทุกคนพากันเดิมตามเขามาด้วยคนแล้วคนเล่า

ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าวิ่งเต็มเหยียด ในไม่ช้าก็มาถึงยังเชิงเขาฉางซาน ที่ทางเดินขึ้นเขาเยี่ยหลิงถูกมัดมือทั้งสองข้างไว้ด้วยเชือกสีดำและผูกโยงห้อยอยู่บนเสาไม้ต้นหนึ่ง ใบหน้าซีดเผือดหมองหม่น ท่าทางหมดอาลัยและหวาดกลัว

เยี่ยฉวนมาถึงยังสถานที่เชิงเขาฉางซานและเห็นสภาพของเยี่ยหลิง เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออกในขณะ เดียวกันรู้สึกราวกับสมองตื้อคิดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะ

เวลาเดียวกัน เยี่ยหลิงพลันสายตาปะทะกับร่างของพี่ชายเช่นกัน น้ำตาพลันหยดลงมาโดยอัตโนมัติ “ท่านพี่ หนีไป หนีไปเร็วเข้า…”

คนเป็นพี่ค่อยหลับตาลงช้า ๆ หยาดน้ำใสซึมออกมาก่อนจะไหลลงมาทางหางตา

ขณะนั้นเอง ศิษย์แห่งฉางมู่บางส่วนออกมาได้พบกับเยี่ยฉวนในเวลานั้น หนึ่งในกลุ่มกำลังจะอ้าปาก พูดบางอย่าง ทว่าไม่ทันด้วยกระบี่ในกายของชายหนุ่มตวัดออกจากร่างกาย ตรงเข้าบั่นเจ้าศิษย์ฉางมู่ผู้นั้น !

ฉับ !

กระบี่หลิงซิ่วสะบัดลงสู่พื้น ฉันพลันร่างของศิษย์ฉางมู่ที่อยู่เบื้องหน้าขาดสะบั้นลงครึ่งท่อน

โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดไปทั้งบริเวณปนเปไปด้วยอวัยวะภายในทั้งห้าที่กระจัดกระจาย !

ศิษย์ที่เหลือและชาวเมืองยืนมองด้วยความตกตะลึง

โดยเฉพาะผู้คนที่ติดตามมาด้วยเห็นเป็นความสนุกสนาน “เยี่ยฉวนทำอะไร ? เขามาเพื่อฆ่าหรือ ?”

ขณะนี้เยี่ยฉวนสังหารศิษย์แห่งฉางมู่หนึ่งคนด้วยหนึ่งกระบี่ แต่เขาไม่หยุดเพียงแค่นั้น ชายหนุ่มกระชับกระบี่หลิงซิ่วและพุ่งกระบี่ออกไปตรงหน้าโดยฉับพลัน

ท่ามกลางกลุ่มศิษย์ฉางมู่ หนึ่งในนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเร่งก้าวถอยหลังออกหนึ่งก้าว ถึงกระนั้นกระบี่ในมือเยี่ยฉวนกลับพุ่งตรงมาถึงตัวเสียแล้ว

ฉับ !

ศีรษะของคนที่ก้าวถอยขาดสะบั้นปลิวไปจากคอ !

ชายหนุ่มถลันเข้าไปทางเบื้องหลังร่างที่ปราศจากหัวของศิษย์ฉางมู่ เขายกมือขวาและขยับกระชับ กระบี่หลิงซิ่วในกำมือก่อนพลันสะบัดลงตัดร่างคนอย่างรุนแรง

ฉั่วะ !

แสงแห่งกระบี่เป็นประกายแปลบปลาบสะท้อนในลานโล่ง ฉับพลันร่างของศิษย์แห่งฉางมู่ขาดครึ่งท่อนไปอีกหนึ่งรายด้วยกระบี่นั้น !

“ผู้ฝึกกระบี่… เขาคือยอดผู้ฝึกกระบี่…”

มีเสียงคนหนึ่งร้องขึ้นมาตามด้วยอีกหลายคนในที่นั้น

“ยอดผู้ฝึกกระบี่ !”

จนในที่สุดเสียงที่เกิดขึ้นในลานก็ได้กลายเป็นเอะอะอึกทึก !

ด้วยผู้ฝึกกระบี่หาได้ยากยิ่งในแคว้นเจียง มิใช่ว่าไม่มีเอาเสียเลย มีอยู่แต่เพียงน้อย คนส่วนใหญ่ กระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นผู้ฝึกกระบี่ ด้วยภายในใจเกิดภาพมายาว่าเป็นผู้ท่องเที่ยวพเนจร โดยมีกระบี่เป็นพาหนะระหว่างสวรรค์และโลก

ช่วงเวลาที่พวกเขารับรู้การเป็นยอดผู้ฝึกกระบี่แท้จริงของเยี่ยฉวน ทุกคนในที่นั้นพากันแตกตื่นระคนตื่นเต้น

จังหวะเดียวกันนั้น ทุกคนต่างหลงลืมเหตุการณ์อันน่าพิศวงระหว่างสถานศึกษาฉางมู่และสถานศึกษาฉางหลานไปชั่วขณะ กลายเป็นความปรารถนาที่จะได้ชมฉากสังหารของผู้ฝึกดาบ !

และแล้วข่าวที่เยี่ยฉวนติดตามมาปะทะกับศิษย์แห่งฉางมู่ได้ถูกโหมกระพือออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ช้าไม่นานผู้คนมากมายจึงพากันมารวมตัวที่เชิงเขาฉางซาน เวลานี้จำนวนคนที่เดินเข้ามาที่เชิงเขายิ่งทวีขึ้น ทุกที ๆ

เท่าที่เห็นได้ในระยะนี้ เยี่ยฉวนสังหารศิษย์แห่งฉางมู่ไปแล้วหลายคน !

ศิษย์เหล่านั้นล้วนตายด้วยฝีมือของเขาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น !

ทันใดนั้น บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวเบื้องหน้าเยี่ยฉวน ผู้นั้นมิใช่ใครเขาคือหลีซิ่ว หนึ่งในสามรองอาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่

หลีซิ่วมองเยี่ยฉวนด้วยแววตาเย็นชา “เจ้าสังหารศิษย์ฉางมู่ต่อหน้าธารกำนัล เจ้า…”

ชายหนุ่มได้ยินวาจาของผู้มาใหม่ เขายกกระบี่ขึ้นชี้หน้าหลีซิ่งพร้อมกับพูดว่า “สังหารคนต่อหน้าธาร กำนัลอย่างนั้นหรือ ? เป็นศิษย์ของฉางมู่มิใช่หรือที่เรียกให้ข้ามาที่นี่ ? ข้ามาอยู่นี่แล้วอย่างไร ว่าแต่พวกเจ้า ไปมุดหัวกันอยู่ที่ใด ?”

ขณะที่ผรุสวาทอย่างโกรธเกรี้ยว เขาพลันยกกระบี่ฟาดฉับลงไปที่ศิษย์แห่งฉางมู่ที่กำลังหมองเศร้าซึ่ง อยู่ไม่ไกล

ฉับ !

อีกหนึ่งร่างที่โลหิตซ่านกระเซ็นด้วยฝีมือของเขา !

เยี่ยฉวนมองหน้าหลีซิ่วพร้อมคำรามเสียงลั่น “พวกเจ้ามีเพียงเท่านี้ พวกศิษย์แห่งฉางมู่อยู่ไหน ? ออกมาสิ !”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset