หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 142 ใครก็ตามที่รังแกเจ้า พี่จะฆ่ามันเอง ! (ปลาย)

บทที่ 142 ใครก็ตามที่รังแกเจ้า พี่จะฆ่ามันเอง ! (ปลาย)

ทว่าเยี่ยฉวนมิได้หยุดเพียงเท่านั้น เขายังคงสะบัดกระบี่ลงไปบนร่างที่พื้น จวบจนปรากฏตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ‘มู่’ ด้วยการจัดเรียงชิ้นเนื้อของศิษย์ผู้นั้น

ก่อนที่เยี่ยฉวนจะเก็บกระบี่คืนสู่ฝัก !

หลังจากนั้นก็เงยหน้ามองกลุ่มศิษย์ฉางมู่และพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ไม่มี ? ออกมาสิ เข้ามาเลย !”

พูดพลางใช้กระบี่หลิงซิ่วซึ่งชุ่มโชกไปด้วยโลหิตแดงฉานยกขึ้นชี้ไปที่ใบหน้าของศิษย์แห่งฉางมู่ทั้งกลุ่ม “ศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ทั้งหลายจงฟังให้ดี ข้าชื่อเยี่ยฉวน ขอบอกพวกเจ้าเสียในวันนี้ หากพวกเจ้าไม่สังหารข้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าไม่ให้เหลือ”

ทุกคนได้ยินวาจาของเขาอย่างชัดเจน ทว่าพวกเขากลับทำได้แต่นิ่งงัน “…”

ในเวลานี้ศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ต่างก็พากันหน้าตาบิดเบี้ยว !

“เขาทำเกินไปแล้ว !”

มิใช่เพียงแค่การกระทำที่เกินไป อันที่จริงเขาได้ทำให้สถานศึกษาฉางมู่อัปยศอดสูต่อคนภายนอกเลย ต่างหาก !

ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏร่างของศิษย์แห่งฉางมู่ผู้หนึ่งพุ่งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเช่นนั้นหลีซิ่ว รีบตะโกนบอก “อย่าประมาทคู่ต่อสู้ เจ้า…”

ควับ !

ชั่ววินาทีที่เจ้าศิษย์ฉางมู่ผู้นั้นถลันออกไปข้างหน้า กระบี่ในมือของเยี่ยฉวนพลันตวัดเหวี่ยงเข้าสะบั้น ร่างของมันขาดสองท่อน ทำให้เกิดสีแดงฉานของโลหิตสาดซัดไปโดยรอบ !

ครานี้ตัวอักษรที่เยี่ยฉวนจัดเรียงเป็นคำว่า ‘สถานศึกษา’ จากเศษชิ้นเนื้อของศิษย์ผู้นั้น

หน้าตาของหลีซิ่วในเวลานี้ น่าเกลียดน่ากลัวสุดจะบรรยาย !

“เขาสบประมาทสถานศึกษาฉางมู่ !”

ในเวลาต่อมาปรากฏศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่จำนวนมากต่างพากันลงจากเขาฉางซาน ศิษย์หลาย คนออกจากการบริกรรมขั้นสันโดษรีบรุดลงจากเขามาด้วย ดังนั้นไม่ช้าไม่นาน บริเวณเชิงเขาฉางซานจึงเต็มไปด้วยบรรดาศิษย์ฉางมู่ที่มารวมตัวถึงนับร้อยชีวิต

ยิ่งเห็นสภาพร่างของศิษย์สามรายซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรบนพื้นดิน ยิ่งเพิ่มความโกรธเกรี้ยวแก่ พวกเขา

ในทันทีนั้น ปรากฏศิษย์ฉางมู่คนหนึ่งพุ่งทะยานตรงเข้าหาเยี่ยฉวน !

เยี่ยฉวนกดเท้าขวาลงบนพื้นดิน เขาดันร่างพุ่งเข้าหาเจ้าคนที่กำลังพุ่งตรงมาทันที ขณะเดียวกันชาย หนุ่มก็ได้ผลักออกด้วยพลังจากภายในสู่ปลายกระบี่ จนบังเกิดแสงสีฟ้าปรากฏบนยอดปลายเปล่งประกาย เจิดจ้า !

ฉึก !

ปลายกระบี่กดเข้ากึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วของอีกฝ่าย !

คนผู้นั้นกระแทกฝ่ามือเข้าที่บริเวณท้องของเยี่ยฉวนได้สำเร็จ ทว่าแรงปะทะนั้นหาได้ระคายผิวของเขา ไม่ !

ชายหนุ่มสะบัดข้อมือพลิ้วไหวเพียงเล็กน้อย

ฉับ !

ศีรษะกระเด็นออกจากร่างทันที โลหิตพวยพุ่งราวกับน้ำพุสีแดงฉาน !

เยี่ยฉวนขยับพลิกข้อมือสะบัดกระบี่วนเวียน ไม่ช้าไม่เร็ว ทันใดนั้นร่างบนพื้นดินพลันแปรเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘สถานศึกษาฉางมู่’

ฉากที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาศิษย์ฉางมู่ทั่วทุกคน สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนเกรี้ยวโกรธเหี้ยมเกรียม หลายคนถลันเข้าหาเยี่ยฉวน ทว่าในขณะนั้นเองหลีซิ่วพลันหยุดยั้งเหล่าศิษย์ที่กำลังแค้นไว้ด้วยเสียงอันดัง ราวกับฟ้าผ่า

“ห้ามศิษย์คนใดกระทำการโดยไม่ได้รับคำสั่งจากข้า !”

ณ เวลานั้นเขาได้ประจักษ์แล้วถึงพลังกล้าแกร่งของเยี่ยฉวน ทั้งเป็นความกล้าแกร่งที่ศิษย์แห่งฉางมู่ หามีใครเทียบได้แม้สักคน หากแม้นปล่อยให้พวกเขาถลันออกไปคงมีแต่ตายกับตาย !

ฉับพลันนั้นเอง มันก็ได้ปรากฏร่างของชายชราผู้เพิ่งมาถึงลานโล่ง

ชายชราผู้นี้คือรองอาจารย์ใหญ่คนหนึ่งแห่งสถานศึกษาฉางมู่ ผู้มีนามว่ากู่มู่ คนที่เคยพูดว่าคนอย่าง เยี่ยฉวนเป็นเพียงเศษเดนไร้ค่าซึ่งสถานศึกษาฉางมู่เขี่ยทิ้ง ! ทว่าในตอนนี้เยี่ยฉวนกลับมายืนอยู่เบื้องหน้า อีกทั้งยังสังหารเฟินเจี๋ย ศิษย์ผู้เป็นที่สุดแห่งยอดคนของฉางมู่

ชายหนุ่มคนนี้กลับสังหารเฟินเจี๋ยได้อย่างง่ายดาย !

กู่มู่ชำเลืองหางตามองเยี่ยฉวนด้วยสายตาเย็นชา ขณะนั้นเองเขาหันไปยังกลุ่มคนมากมายที่กำลังมุงดูอยู่รอบ ๆ “นี่เป็นเรื่องภายในของสถานศึกษาฉางมู่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องขอให้ออกไป !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันบังเกิดเสียงอื้ออึงของฝูงชนโดยรอบ !

“เขาไล่พวกเราออกไปไกล ๆ!”

ขณะเดียวกัน ศิษย์กล้าแกร่งของสถานศึกษาฉางมู่พลันถลันออกไปขวางหน้ากลุ่มคนที่มุงดู ทำให้มี หลายคนแสดงความไม่พอใจ หนึ่งในนั้นได้ร้องตะโกนขึ้นว่า “ทำไม ? หรือว่าสถานศึกษาฉางมู่เกรงกลัวหรือ ? หรือคิดจะ…”

กู่มู่ซึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ห่างจากคนพูด เขายกมือขึ้นและสะบัดออก

ผัวะ !

ร่างของคนพูดกระเด็นออกไปด้วยแรงลมปะทะอันมหาศาล !

เมื่อเห็นดังนั้น คนอื่น ๆ จึงพากันหน้าตาเหยเกและทยอยถอยออกไป

ด้วยตอนนั้นเองที่พวกเขาตระหนักได้ว่าบริเวณนี้เป็นเขตของสถานศึกษาฉางมู่ !

หนึ่งในสองผู้ทรงอิทธิพลแห่งแคว้นเจียง !

แม้แต่ราชสำนักแห่งแคว้นเจียงยังต้องอ่อนข้อต่อสถานศึกษาฉางมู่ !

ในเวลาไม่นาน ผู้คนมากมายได้หายจากสถานที่ไปจนหมดสิ้น !

ถึงกระนั้น สตรีในชุดดำบนรถเข็นและชายชราผู้อารักขาหาได้เคลื่อนไหวไม่

กู่มู่ทอดสายตามองสตรีบนรถเข็น “เจ้าคงมีผู้หนุนหลังสินะ วานแถลงไขต่อข้าได้หรือไม่ ?”

หญิงสาวอมยิ้มมุมปาก “สถานศึกษาฉางมู่ชอบสอดรู้สอดเห็น ผู้หนุนหลังของข้าเป็นคนที่อาจให้คุณ ให้โทษแก่เจ้าได้ก็แล้วกัน”

จากนั้น นางพลันหันไปฉวยข้อมือเยี่ยหลิงพลางกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถิด !”

ทว่าเด็กหญิงกลับสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างหนักแน่น

“กลับไปกับนาง !”

เสียงของเยี่ยฉวนดังขึ้น “เป็นเด็กดีนะ พี่จะรีบไปรับเจ้ากลับ !”

เยี่ยหลิงมองตาละห้อย น้ำตาที่ปริ่มนัยน์ตาพลันไหลรินลงมา “ท่านพี่โกหก”

ชายหนุ่มเอื้อมมือมาลูบเบา ๆ “พี่ชายไม่เคยโกหก เป็นเด็กดีนะ ไปกับพี่สาวคนนั้น อีกไม่นานพี่จะไป รับเจ้า”

น้องสาวใช้หลังมือปาดน้ำตา “แต่ข้าอยากอยู่กับท่าน !”

เยี่ยฉวนตัวสั่นระริกด้วยความรู้สึกภายใน เขากระซิบตอบนาง “แต่พี่จะไม่มีสมาธิหากเจ้าอยู่ด้วย เป็น เด็กดีว่าง่าย ๆ กลับไปกับพี่สาวเสีย และพี่จะรีบไปรับ พี่สัญญา !”

น้องสาวน้ำตาไหลพรากลงมาอีก เยี่ยหลิงมองหน้าเยี่ยฉวนนิ่งนาน ทันใดนั้นหญิงสาวในชุดดำพลันยกนิ้วชี้แตะลงบริเวณต้นคอของเด็กน้อย ฉับพลันร่างของเด็กหญิงทรุดฮวบลงในอ้อมแขนของหญิงสาวพอดี

คนบนรถเข็นหันหน้ามาทางเยี่ยฉวน “ลาก่อน !”

หลังจากนั้น หญิงสาวในชุดดำและชายชราพาเยี่ยหลิงกลับออกไปจากสถานที่

ภายในลานกว้าง เหลือเยี่ยฉวนแต่เพียงผู้เดียว

เขาหันมาทางกู่มู่ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นร่างของชายชราอันตรธานไปจากจุดที่ยืน

ผัวะ !

พลังปะทะผลักร่างของเยี่ยฉวนกระเด็นออกไปไกลนับสิบจั้งก่อนจะตกลงบนพื้นดิน

ชายหนุ่มค่อยผุดลุกขึ้น เขาพ่นโลหิตออกมาจำนวนหนึ่ง

ชายชราก้าวช้า ๆ ตรงมาทางเยี่ยฉวน “เก่งนักหรือ ? ถ้าเช่นนั้นจงมาสู้กับข้า !”

ทันทีที่สิ้นเสียงของชายชรา ร่างของเขาอันตรธานไปอีกครั้ง

เสียงกระแสลมโบกสะบัดเหนือทุ่งโล่ง หามีผู้ใดเห็นแม้เงาของชายชรากู่มู่

เปรี้ยง !

เยี่ยฉวนเพิ่งขยับลุกขึ้นยืน พลันร่างของเขากระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง

กู่มู่ตั้งท่าจะจู่โจมซ้ำ ทว่ากลับปรากฏร่างหนึ่งขึ้นขวางเบื้องหน้าเยี่ยฉวน..

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset