หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 144 มันต้องตาย ! (ปลาย)

บทที่ 144 มันต้องตาย ! (ปลาย)

ในช่วงนั้น เยี่ยฉวนซึ่งออกนำหน้าไปก่อน เขาได้ตวัดกระบี่ยาวในมือกวัดแกว่งไปมา ส่งผลให้ศีรษะ ของศิษย์แห่งฉางมู่ผู้นั้นหลุดกระเด็นลงเบื้องหน้า ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาทะยานเข้าหาเป้าหมายราย ถัดไป !

ภายในเวลาไม่นาน ในลานกว้างก็ได้สับสนอลหม่านไปด้วยการต่อสู้ระหว่างศิษย์ทั้งสองแห่ง !

ถึงไม่บอกก็คงพอจะรู้ว่าเยี่ยฉวนและพวกอีกสามถูกสกัดล้อมจากศิษย์แห่งฉางมู่

คนทั้งสี่ช่วยกันออกปะทะต้านทานคนนับร้อย ซึ่งก็ถือว่าเสียเปรียบมากอยู่แล้ว และซ้ำร้ายเข้าไปอีก เมื่อในคนทั้งร้อยคนนั้น พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่กล้าแกร่งไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร !

ขณะนั้นศิษย์นับร้อยต่างทุ่มเทกายใจในการต่อสู้อย่างสุดใจขาดดิ้น หรือหากจะกล่าวให้ชัดเจน พวก เขาต่างก็ล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการฆ่าอย่างแท้จริง แรงกระตุ้นนั้นเกิดจากศิษย์แห่งฉางมู่ถูกเยี่ยฉวนสังหาร มิหนำยังใช้ชิ้นเนื้อจากร่างคนตายสลักเป็นตัวอักษร ‘สถานศึกษาฉางมู่’

การกระทำของเยี่ยฉวนในครั้งนี้เองเป็นที่ยั่วยุอารมณ์โทสะบังเกิดแก่ศิษย์ฉางมู่ทุกคน !

โดนล้อมสกัด !

เมื่อถูกจู่โจมทั้งสองด้าน ไม่นานเยี่ยฉวนทั้งสี่ก็ถูกสกัดกั้นและขยับล่าถอยทีละก้าว !

“ถอยไปทางขึ้นเขาฉางซาน !”

ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเยี่ยฉวนตะโกนข้ามลาน

พวกคนอื่นอีกสามคนเมื่อได้ยินดังนั้น ต่างพากันถอนออกจากที่มั่น ในไม่ช้าทั้งสี่ก็มาถึงที่หมายทางขึ้นเขาฉางซาน

เส้นทางค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับคนมากมาย ดังนั้นเมื่อคนทั้งสี่ล่าถอยไปยังเส้นทางอันแสนคับแคบนั้น ยังผลให้การจู่โจมโดยแข็งกร้าวของสถานศึกษาฉางมู่ลดทอนลงเป็นอันมาก เยี่ยฉวนไม่รอช้าเขากระทืบ เท้าขวาลงบนพื้นดินอย่างแรง พลังปฐพีค่อย ๆ แทรกซึมขึ้นสู่กายา !

เมื่อภายในกายมีพลังปฐพีเสริมแทรกจนเต็มเปี่ยม ส่วนในมือได้กระชับกระบี่หลิงซิ่วไว้แน่น เยี่ยฉวนจึงพลันพุ่งทะยานเข้าหาศัตรูอย่างรวดเร็ว !

“หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !”

ด้วยพลังเสริมแห่งปฐพีผนึกเข้ากับรังสีกระบี่ ส่งให้พลังปะทะผลักออกจากเยี่ยฉวนทวีความน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพลังกระบี่ก่อนหน้าหลายเท่า !

ปลายกระบี่พุ่งสู่เป้าหมาย !

บังเกิดประกายแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นที่ปลายกระบี่หลิงซิ่วก่อนจุดระเบิดราวปะทุออกภูเขาไฟ

ตู้ม !

ลำแสงกระบี่พุ่งปะทะร่างศิษย์แห่งฉางมู่กว่าหกหรือเจ็ดคนเบื้องหน้า ในทันที ร่างพวกเขาต่างแหลก กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เกิดเป็นร่องเหนือขึ้นไปเบื้องหน้า

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เศษเสี้ยวผลพวงแห่งพลังจากกระบี่ของเยี่ยฉวนก็ยังได้ปะทะเข้ากับร่างของศิษย์ ฉางมู่ซึ่งอยู่ใกล้เคียงจนพวกเขาได้รับบาดเจ็บอีกนับสิบ !

รองอาจารย์ใหญ่หลีซิ่วที่ยืนดูพลังออกปะทะแห่งกระบี่ของเยี่ยฉวน พลันสีหน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว อย่างไม่พึงใจ ด้วยรับรู้ต่อความกล้าแกร่งแห่งพลังซึ่งตนเองไม่เคยคิดฝันมาก่อน !

เป็นไม่ได้ที่ผู้มีขั้นพลังหลอมรวมลมปราณจะสามารถผลักออกพลังปะทะแห่งกระบี่ที่รุนแรงถึงเพียงนี้ !

ศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่หลายสิบคนต่างจ้อมมองเยี่ยฉวนด้วยแววตาหวาดกลัวเฉกเดียวกัน ภายใต้ความกระเหี้ยนกระหือรือในการต่อสู้หมายเอาชีวิต สายตาของพวกเขาแฝงด้วยความหวาดกลัวลึกล้ำอยู่ ภายใน !

เพราะเหตุว่าพลังปะทะแห่งกระบี่ครานี้รุนแรงน่าเกรงขามสุดที่จะประมาณ !

ฝั่งอาจารย์ใหญ่จี้ เขาเองก็ออกประหลาดใจไม่น้อย ด้วยพลังกระบี่ของเยี่ยฉวนในเวลานี้รุนแรงเกิน กว่าขอบข่ายแห่งพลังชี่ขั้นหลอมรวมลมปราณไปมาก ! หากแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าคือกระแสแห่งพลังที่พุ่งทะยานจากชายหนุ่มนั่นเอง !

ผู้ที่อยู่ข้างเยี่ยฉวนอีกคน โม่อวิ๋นฉีสลัดหยาดโลหิตของศัตรูออกจากใบหน้าทันที ก่อนที่เขาจะใช้ศอก กระทุ้งเยี่ยฉวนพลางร้องว่า “พี่ชาย ซัดพลังกระบี่อีกสักยก !”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ยกเท้ากดลงบนพื้นดินมือกระชับหลิงซิ่วแน่น ในไม่ช้าพลังปฐพี อันมหาศาลพลันแทรกซึมสู่ร่างกายจากล่างขึ้นบน ในขณะต่อมาชายหนุ่มก็ได้ผลักกระบี่หลิงซิ่วออก ซึ่งมันก็ ก่อให้เกิดการสั่นสะท้านอย่างรุนแรง !

เมื่อเห็นเช่นนั้น ศิษย์ฉางมู่พลันสีหน้าตื่นกลัว พวกเขาต่างพากันล่าถอยออกจากที่นั่นอย่างเร่งด่วน

ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า ไม่ไกลจากอาจารย์ใหญ่จี้

เขาคือหลี่เสวียนชางอาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ !

“คารวะอาจารย์ใหญ่ !”

บรรดาศิษย์ทุกคนพร้อมใจค้อมตัวห่อกำปั้นแสดงคารวะต่อหลี่เสวียนชาง

ผู้ที่เพิ่งมาถึงกวาดสายตาไปยังพื้นที่ในลานกว้าง บนพื้นดินเต็มไปด้วยร่างคนตายกลาดเกลื่อน พลัน สายตาหยุดชะงักยังเศษชิ้นส่วนอันเคยเป็นร่างของเฟินเจี๋ย ซึ่งเยี่ยฉวนจัดเรียงเป็นตัวอักษรกลางลานดิน สุดท้ายสายตากวาดมาจับจ้องที่เยี่ยฉวน “ฝีมือเจ้าสินะ ?”

ชายหนุ่มไม่มีคำพูดออกจากปาก เขาเหยียดแขนข้างขวาออกและพุ่งกระบี่ในมือตรงเข้าสู่เป้าหมาย

ฉับ !

ศิษย์ฉางมู่คนหนึ่งซึ่งไม่ทันระวังตัว ฉับพลันถูกพลังกระบี่ของเยี่ยฉวนขาดสะบั้นในทันที !

เมื่อเห็นเช่นนั้นหลี่เสวียนชางพลันหรี่ตาชำเลือง ทันใดนั้นบังเกิดพลังชนิดหนึ่งปรากฏสูงขึ้นเหนือศีรษะ ของเยี่ยฉวน  ก่อนที่เพียงชั่วขณะเดียวกันก็ได้เกิดพลังกระแสลมพัดพาพลังเพิ่งบังเกิดนั่นเข้าไป

ตู้ม !

สองพลังปะทะกลางอากาศจึงสูญสลายไป !

เมื่อการณ์ปรากฏเช่นนั้น หลี่เสวียนชางพลันตวัดสายตากลับมาที่อาจารย์ใหญ่จี้ “เจ้าจะเปิดศึกเช่นนั้น หรือ ?”

อาจารย์ใหญ่จี้ยกน้ำเต้าสุราขึ้นจิบอึกหนึ่ง ขณะนั้นเองพื้นดินใต้ฝ่าเท้าเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หากมิใช่เพียงพื้นดิน ทว่าภูเขาฉางซานทั้งลูกสั่นไหวโยกคลอนไปด้วยเช่นกัน อีกทั้งดูเหมือนว่ากระแสลมจะ หยุดชะงักโดยฉับพลัน แม้แต่แสงเรืองรองซึ่งบังเกิดขึ้นรอบกายของอาจารย์จี้ก็เสมือนจะบิดเบือนไป…

ภาพที่เห็นทำให้หลี่เสวียนชางหรี่ตาชำเลืองมองอย่างตรึกตรอง “สรรพสิ่งบิดเบือน… พลังขั้นสุดยอด ผนึกยุทธ์ไม่นึกเลยว่าหลายปีที่ผ่านมา นอกจากเจ้าต้องเผชิญมรสุมชีวิตแล้ว กลับมีขั้นพลังเพิ่มสู่สูงสุดอีกด้วย !”

อาจารย์ใหญ่จี้มองสบตาคนพูด “ในแคว้นเจียงมีเพียงสี่คนซึ่งรวมทั้งตัวเจ้าและข้าที่พลังสู่ขั้นสุดยอด ผนึกยุทธ์ หากเจ้าต้องการต่อสู้ ข้าก็จะสู้กับเจ้า อย่างไรก็ตาม คนเช่นข้าไม่ต้องคำนึงถึงศีลธรรมอันใด บางทีการต่อสู้ของพวกเราอาจจะทำให้โลกกลับตาลปัตร อีกทั้งสถานศึกษาฉางมู่ต้องล่มสลายไปด้วย เจ้าจะว่าอย่างไร ?

สายตาของหลี่เสวียนชางแน่วแน่ที่คนพูด โดยมิได้โต้แย้งแต่อย่างใด

“ต่อสู้อย่างนั้นหรือ ?”

“หากสงครามเริ่มขึ้นจริง อย่างไรเสียสถานศึกษาฉางมู่ย่อมได้รับชัยชนะด้วยกำลังคนที่มีมากกว่า ถึง กระนั้น กำลังส่วนใหญ่ย่อมถูกทำลาย ยอดฝีมือกว่าแปดในสิบจะต้องตายลงในระหว่างสงคราม เหลือศิษย์ เพียงส่วนน้อยที่ยังรอดชีวิต !”

“สถานศึกษาฉางหลานของเจ้าเล่า ?”

“สถานศึกษาฉางหลานมีศิษย์เพียงสี่คน ถ้ารวมอาจารย์ใหญ่ด้วยเป็นห้า จะว่าไปฝ่ายสถานศึกษา ฉางหลานไม่มีอะไรต้องเสีย !”

“ไม่คุ้มกัน !”

หลี่เสวียนชางทอดตาไปตามร่างของศิษย์ฉางมู่ที่นอนตายอยู่เกลื่อนกล่น ความหม่นหมองเข้าครอบงำ เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปทางอาจารย์ใหญ่จี้ “พวกฉางหลานของเจ้าจะออกไปเสียจากตรงนี้ก็ได้ แต่…”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ พลันเขาหันกลับและชี้ไปที่เยี่ยฉวน “มันต้องตาย ! หากเจ้าเลือกที่จะให้มันมีชีวิตอยู่ ย่อมหมายความว่าเจ้าเลือกที่จะตายไปพร้อมกับมัน ! ทีนี้ก็แล้วแต่เจ้า !”

สิ้นเสียงของหลี่เสวียนชางทันใดนั้นมีคนจำนวนหนึ่งตรงเข้าล้อมกลุ่มอาจารย์ใหญ่จี้และศิษย์ฉางหลานทั้งสี่คน

คนทั้งหกที่เข้ามาล้อมนั้น พวกเขาล้วนแต่อยู่ในพลังขั้นผสานเทพทุกคน !

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset