หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 145 ไม่ญาติดีและไม่มีวันสงบศึก ! (ต้น)

บทที่ 145 ไม่ญาติดีและไม่มีวันสงบศึก ! (ต้น)

เยี่ยฉวนต้องตาย !

นี่คือข้อเรียกร้องของหลี่เสวียนชาง ถ้าจะพูดให้ถูก นี่เป็นข้อเรียกร้องของสถานศึกษาฉางมู่จึงถูกต้อง !

ยอดคนที่กล้าแกร่งเช่นเยี่ยฉวนนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ชายหนุ่มแม้กระทั่งสามารถสังหารเฟินเจี๋ยได้ง่ายดาย หากเขาเติบโตต่อไปในภายหน้า ไม่แคล้วสถานศึกษาฉางมู่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายในการประลองชี้เป็น ชี้ตายระหว่างสถานศึกษาทั้งสองที่กำลังจะมาถึงในปีหน้าเป็นแน่ !

ทว่านี่ยังนับว่าเป็นเรื่องรอง เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวน ซึ่งจะทำให้เขากลาย เป็นภัยคุกคามเมื่อความกล้าแกร่งได้พัฒนาแล้วโดยสมบูรณ์เต็มที่ !

ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อเท็จจริงที่ว่าเยี่ยฉวนสังหารศิษย์ฉางมู่มากมาย ข่าวจะต้องแพร่สะพัดออกไปจน ทั่วเมืองหลวง และหากเยี่ยฉวนยังมีชีวิตอยู่ มันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ของสถานศึกษาฉางมู่เป็นแน่แท้ !

ด้วยเหตุนี้ สำหรับหลี่เสวียนชางและสถานศึกษาฉางมู่ พวกเขาจึงไม่อาจยอมให้เยี่ยฉวนรอดชีวิตกลับ ไปได้เด็ดขาด !

โม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อ และจี้อันซื่อ ทั้งสามต่างจับจ้องไปยังอาจารย์ใหญ่จี้ ซึ่งกำลังยกโถสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ หลังจากดื่มเสร็จ ชายชราก็พลันทอดสายตามาทางหลี่เสวียนชาง “เขาต้องตายเช่นนั้นหรือ ?”

อีกฝ่ายตอบให้ด้วยน้ำเสียงไม่แตกต่าง “มันตายเมื่อไร ทุกอย่างสามารถตกลงกันได้ ถ้ามันอยู่ งั้นก็ไม่ ต้องพูดอะไรอีกต่อไป !”

อาจารย์ใหญ่จี้ได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มที่มุมปาก พลันเขาหันมาทางเยี่ยฉวนซึ่งยืนอยู่ถัดไป “เจ้าว่าอย่างไร ?”

เยี่ยฉวนสบสายตากับอาจารย์ใหญ่ของตนเองพร้อมกล่าวว่า “ถ้าท่านต้องการหนีปัญหา หนทางที่ดี ที่สุดคือใช้ชีวิตของข้าเป็นการแลกเปลี่ยนกับการให้อภัยจากพวกเขา”

อาจารย์ใหญ่จี้หัวเราะดังลั่น “ถ้าเช่นนั้น เจ้าปรารถนาความตายหรือ ?”

เยี่ยฉวนสั่นหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่อยากตาย และไม่คิดว่าท่านจะทำอะไรไร้สาระเช่นนั้น แน่นอนว่าการใช้ชีวิตของข้าแก่พวกมันอาจทำให้ท่านได้รับความสงบสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ทว่าหลังจากนั้นสถานศึกษาฉางหลาน จะต้องก้มหน้าคุกเข่าลงเบื้องหน้าสถานศึกษาฉางมู่อยู่ร่ำไป และต้องทนต่อความอัปยศอดสูไปตลอดกาล !”

ขณะที่กล่าวถึงช่วงนี้ เยี่ยฉวนก็ได้มองตรงลึกลงในดวงตาของอาจารย์ใหญ่จี้ “อาจารย์ใหญ่ขอรับ พวกมันข่มเหงรังแกพวกเรา เหตุไฉนจะต้องไปญาติดีกับพวกมันด้วย ? เป็นความจริงที่ว่าพวกเราหาได้แข็งแกร่ง เท่าพวกเขา แต่ทว่านั่นมันสำคัญจริงหรือขอรับ ?”

จากนั้นเยี่ยฉวนจึงได้ยกกระบี่ชี้ไปทางเหล่าศิษย์แห่งฉางมู่ “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้คนทั้งหลายและในเมืองหลวงจึงดูถูกเหยียดหยามสถานศึกษาฉางหลานขอรับ ? เหตุเพราะพวกเราขี้ขลาดอย่างไรเล่า !! ศิษย์ฉางหลานมักกระทำตนเหมือนคนขี้ขลาดต่อหน้าศิษย์แห่งฉางมู่ พวกเรามักคิดว่าตนนั้นอ่อนแอเมื่อจะทำสิ่งใดจึงต้องคิดหน้าคิดหลังเพื่อหาเหตุผลต่าง ๆ นานาก่อนที่จะลงมือกระทำ เช่นนั้นแล้วจะเป็นที่ยกย่องได้ อย่างไร ? คนของฉางหลานต้องคุกเข่ามานานมากแล้ว แต่ไม่ใช่ข้าที่จะยอมคุกเข่า…”

ทันทีที่คำพูดยาวเหยียดขาดหาย เขาพลันหันกลับไปทางศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ “ท่านถามความ เห็นของข้า ดังนั้นจึงขอบอกว่าข้าไม่ต้องการญาติดีและไม่มีการสงบศึก ! นี่คือความเห็นของข้า มาสู้กัน สู้จน กว่าพวกเราจะตายกันทั้งหมดนี่ !”

“สู้ !”

ขณะนั้น โม่อวิ๋นฉีก้าวออกมายืนเคียงข้างด้านหนึ่งและพูดว่า “อาจารย์ใหญ่จี้ หลัวจากที่ข้าเข้าเป็นศิษย์ แห่งฉางหลาน ข้าไม่กล้าบอกครอบครัวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นศิษย์แห่งฉางหลาน ทุกครั้งที่ข้าไปไหน มาไหน ยังไม่กล้าแม้จะสวมเครื่องแบบของฉางหลาน ด้วยความกลัวว่าจะมีคนจดจำได้ว่าเป็นศิษย์แห่งฉางหลาน ..มันราวกับว่าเมื่อใดที่ข้าบอกว่าเป็นศิษย์แห่งฉางหลานเพียงครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นข้าจะกลายเป็นลูกไล่ของสถาน ศึกษาฉางมู่ทันที ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกผิดอย่างยิ่ง”

จากนั้นเขาก็ชี้มือไปที่เยี่ยฉวน “ในวันนี้สถานศึกษาฉางหลานทำให้โลกภายนอกได้ประจักษ์ ถึงเรื่องที่พวกมันบุกไปถึงสถานศึกษาฉางหลานเพื่อจับน้องสาวของเขา ทั้งยังแสดงความเสื่อมเสียเกียรติอย่างยิ่งและ ข่มเหงรังแกอย่างถ่อยสถุลที่สุดออกมา หากพวกเราไม่สู้กับพวกมันในวันนี้ ต่อไปพวกศิษย์แห่งฉางมู่ก็จะ กระทำหักหาญโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นและยังขับถ่ายรดบนหัวพวกเราเช่นนี้อีก มีแต่ต้องสู้เท่านั้น พวกเรามาร่วมสู้ด้วยกัน อย่างมากก็แค่ตายไปพร้อมกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยขอรับ !”

ผู้ที่ยืนข้างโม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อพยักหน้าหนักแน่น “สู้ มาร่วมกันสู้กับมันจนกว่าจะตายไปข้าง !”

ฝ่ายจี้อันซื่อ นางมิได้เอ่ยวาจา ทว่าดึงดาบซึ่งเหน็บที่เอวขึ้นมาถือไว้ ย่อมแสดงให้เห็นในเจตนารมณ์ อันชัดเจนของหญิงสาวแล้ว

อาจารย์ใหญ่จี้หันมามองหน้าศิษย์ทั้งสาม เขาอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางหลี่เสวียนชาง “ในเมื่อ สถานศึกษาฉางมู่ประสงค์จะพังพินาศและมอดไหม้ไปพร้อมกันกับสถานศึกษาฉางหลาน ถ้างั้นก็ปล่อยให้มัน เป็นไป !”

สิ้นเสียงอาจารย์ใหญ่จี้ ชายชราพลันยกโถสุราขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนที่ต่อมาจะผลักออกอย่างรุนแรง

เปรี๊ยะ !

เสียงของพื้นดินในบริเวณแตกแยกออกเป็นทางยาวกว่าพันจั้งโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ร่างของอาจารย์ ใหญ่จี้ ในเวลาเดียวกันมันก็ได้บังเกิดกระแสลมกรรโชกรุนแรงเทียบเท่าพายุสลาตันโหมกระหน่ำลงสู่ทุ่งกว้าง !

พลังผลักดันมุ่งเข้าสู่จุดหมายที่หลี่เสวียนชาง !

หลี่เสวียนชางเห็นปรากฏการณ์เข้าถึงตนพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน ด้วยไม่คิดว่าอาจารย์ใหญ่จี้เลือกหน ทางสู่ความพินาศไปพร้อมกัน ตนเองนั้นเชื่อมั่นโดยตลอดว่าอย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามจะต้องเลือกเสียสละชีวิต เยี่ยฉวน และรักษาชีวิตศิษย์ที่เหลือเพื่อสงวนยอดฝีมือกล้าแกร่งสำหรับวันข้างหน้า

อย่างไรเสีย อาจารย์ใหญ่จี้ก็คงไม่เลือกทำเช่นนี้แน่ !

เขาเลือกที่จะตายไปพร้อมกับศิษย์ !

อาจารย์ใหญ่จี้หาใช่คนโง่เง่า หากเขายอมสละเยี่ยฉวน ทั้งโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อต้องละทิ้งสถานศึกษา ฉางหลานไปทันที มิใช่เพียงสองคนเท่านี้ แม้แต่หลานของเขาเองก็คงหันมาต่อต้านด้วยแน่นอน !

ยิ่งไปกว่านั้นประเด็นที่สำคัญก็คือสมรรถนะและความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวนก็ได้ประจักษ์ต่อสายตา ศิษย์แห่งฉางมู่จนพวกเขารู้สึกหวาดกลัว เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เยี่ยฉวนเป็นความหวังของฉางหลานได้อย่างไร ?

ไฉนเลยชายชราจะยอมสละชีวิตของเยี่ยฉวนให้โง่กัน ?

ถ้าเยี่ยฉวนอยู่รอดปลอดภัย บางทีประกายความหวังยังเจิดจรัส แต่หากว่ายอมสละเยี่ยฉวน ฉางหลานจะไร้ซึ่งความหวังทั้งมวล !

นอกจากนั้น การกระทำดังกล่าวยังจะทำให้ไม่มีอัจฉริยะคนใดหรือยอดคนแม้สักคนคิดที่จะยอมเข้า เป็นศิษย์แห่งสถานศึกษาที่ยอมสละชีวิตของศิษย์เพื่อตนเองอีกต่อไป !

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset