หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 146 ไม่ญาติดีและไม่มีวันสงบศึก ! (ปลาย)

บทที่ 146 ไม่ญาติดีและไม่มีวันสงบศึก ! (ปลาย)

ในลานกว้างเวลานี้ เมื่อเห็นอาจารย์ใหญ่จี้เปิดฉากจู่โจม บรรดาศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ต่างมีสีหน้า ประหลาดหวาดวิตก

บรรดาผู้กล้าแกร่งขั้นผสานเทพที่ล้อมกรอบพวกเยี่ยฉวนอยู่ในขณะนั้นต่างพากันล่าถอยออกห่างเป็น ระลอก เพราะปะทะเข้ากับพลังผลักออกของอาจารย์ใหญ่จี้ !

สีหน้าและแววตาของทุกคนต่างหวาดผวาสั่นคลอน

ขั้นสุดยอดผนึกยุทธ์

หากผู้กล้าแกร่งเช่นอาจารย์ใหญ่จี้เลือกต่อสู้จนตัวตาย เมื่อนั้นย่อมหมายความว่าสถานศึกษาฉางมู่ไม่แคล้วโดยทำลายล้างจนสิ้นซาก แม้แต่เยี่ยฉวนและศิษย์อื่นแห่งฉางหลาน พวกเขาก็คงล้วนยอมพลีกายถวาย ชีวิตในลานแห่งนี้ !

สีหน้าของหลี่เสวียนชางบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งนัก เจตนาของตนมิได้ประสงค์จะสละชีวิตต่อสู้กับอาจารย์ ใหญ่จี้แม้สักน้อย สถานศึกษาฉางมู่มีทั้งบุคลากรและความยิ่งใหญ่ ส่วนสถานศึกษาฉางหลานเล่า ? ใกล้จะล่มสลายลงในไม่ช้า !!!

ฉางมู่คงถึงขั้นโศกเศร้าเป็นอันมาก หากต้องมาล่มสลายไปพร้อมกับฉางหลานในตอนนี้ !

ศึกระหว่างสองสถานศึกษาใกล้ถึงเวลาปะทุเต็มที่ พลันเกิดเสียงบางอย่างขึ้นในลานโล่ง “ช้าก่อน อาจารย์ใหญ่จี้ !”

จู่ ๆ ร่างของชายชราสวมผ้าคลุมสีเทาพลันปรากฏกายออกมากลางลานโดยฉับพลัน

ผู้ถูกเรียกขานชะงักมือ เขาหันไปทางชายชราชุดเทาเจ้าของเสียง “มีธุระอันใดที่นี่หรือ ท่านผู้เฒ่า ?”

ชายชราในชุดเทาผู้นี้คือเจียงเยว่เทียน อดีตฮ่องเต้แห่งแคว้นเจียง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ผู้กล้าแกร่งขั้นพลัง สุดยอดผนึกยุทธ์ในแคว้นเจียง

ผู้มาใหม่ยิ้มน้อย ๆ “หากข้าไม่มา เจ้าก็คงทำลายเมืองหลวงจนพินาศกว่าครึ่งเมืองไปแล้ว !”

จากนั้นจึงหันไปทางหลี่เสวียนชางซึ่งยืนไม่ห่างออกไป “พี่หลี่ เวลานี้เรื่องราวมาถึงจุดแตกหักเสียแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เอาอย่างนี้ ข้าจะขอเป็นทูตสันติ เพื่อยุติทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เอง”

หลี่เสวียนชางเหยียดมุมปากอย่างเยาะหยัน “เหตุการณ์ทุกอย่างเช่นนั้นหรือ ?”

ขณะนั้นเขาชี้มือไปยังร่างที่กลาดเกลื่อนของศิษย์อยู่ทั่วลาน “ศิษย์ที่ต้องตายโดยสูญเปล่าเหล่านี้เล่า ?”

ชายชราเจียงเยว่เทียนนิ่วหน้า หากมิใช่ความกลัวว่าแคว้นเจียงจะต้องพินาศเพราะศึกครั้งนี้ เขาเองก็ ใคร่จะชมการประลองชี้เป็นชี้ตายจากทั้งสองสถานศึกษาอยู่ไม่น้อย ทว่าเวลานี้แคว้นเจียงต้องเผชิญศึกนอก อย่างแคว้นถัง จึงไม่สมควรเกิดศึกในให้ยุ่งเหยิงเข้าไปอีก !

เจียงเยว่เทียนนิ่งงันอย่างใช้ความคิด ในที่สุดเขาได้เอ่ยขึ้นว่า “พี่หลี่ นับตั้งแต่ยุคของอาจารย์ใหญ่กู้ สถานศึกษาฉางมู่มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองมานานนับพันปี ในหมู่แคว้นเพื่อนบ้านของเรา สถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียงนับว่าแข็งแกร่งและรุ่งเรืองมากที่สุด”

“ถึงกระนั้นหากพวกท่านยังยืนกรานจะทำศึกครั้งนี้ แน่ใจได้เลยว่าสถานศึกษาอีกฝั่งจะต้องหายไปจากแคว้นเจียงอย่างสิ้นเชิง ทว่าด้วยความกล้าแกร่งเกินมนุษย์มนาเช่นคนอย่างอาจารย์ใหญ่จี้ หากเขาต่อสู้ชนิด ยอมตายถวายชีวิต เชื่อได้ว่าสามารถสร้างความพินาศย่อยยับบังเกิดแก่ฉางมู่ได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเหตุ การณ์ครั้งนี้จะกลายเป็นตราบาปติดตัวท่านไปตลอดชีวิต พี่หลี่ !”

เมื่อได้ยินผู้มาใหม่วิเคราะห์เหตุเรื่องราวทั้งหมด หลี่เสวียนชางพลันกำมือแน่น สีหน้าของเขาตอนนี้ดำคล้ำหม่นหมอง ทว่าหามีใครรู้ซึ้งถึงความรู้สึกนิกคิดในใจของเขาเวลานี้ไม่

เสียงของเจียงเยว่เทียนเสริมขึ้นมาอีกว่า “ท่านเป็นผู้มีทักษะและความสามารถ ย่อมมีโอกาสถูกเชิญไปยังสถานศึกษาฉางมู่สำนักงานใหญ่ ณ ใจกลางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และเข้าสู่หออภิชนที่สำนักงานใหญ่นั้น ทว่า ถ้าสถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียงย่อยยับในมือของท่านเสียแล้ว นั่นก็ย่อมไม่เป็นผลดีกับท่านอย่างแน่นอน พี่หลี่”

สีหน้าของหลี่เสวียนชางบ่งชี้ว่าเวลานี้เขาเริ่มคล้อยตามคำเตือนอันน่าหวาดหวั่นนั่นแล้ว

หออภิชน !

สถานที่ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งปรารถนาของทั้งศิษย์และอาจารย์ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ใหญ่แห่งฉางมู่ !

อีกฝ่ายจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ศึกนี้เป็นเรื่องระหว่างศิษย์ ไฉนจึงไม่ปล่อยให้ศิษย์จัดการและดิ้นรนกันเอง เล่า ? พวกท่านคิดเห็นอย่างไร พี่จี้และพี่หลี่ ?”

อาจารย์ใหญ่จี้ตอบเสียงเรียบเฉยดุจเดียวกัน “ข้าเห็นด้วย”

หลี่เสวียนชางจ้องหน้าคนพูดด้วยสายตาเย็นชา “ได้ ข้าก็เห็นด้วย”

จากนั้นเขาจึงหันไปทางเจียงเยว่เทียน “พี่เจียง รบกวนท่านช่วยเป็นสักขีพยาน จากนี้ไปสถานศึกษา ฉางมู่และสถานศึกษาฉางหลานจะต่อสู้กันจนกว่าจะตาย ศิษย์ที่อายุเกินกว่ายี่สิบห้าของทั้งสองฝ่าย ห้ามมิให้มันเข้าร่วมในการประลอง ท่านคิดเห็นอย่างไร ? ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญา ขอให้ท่านช่วยออกมาตัดสินให้ ความเป็นธรรม จะได้หรือไม่ ?”

เมื่อได้ยินหลี่เสวียนชาง ทั้งอาจารย์ใหญ่จี้และเจียงเยว่เทียนต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว !

คำพูดมีนัยยะแฝงเร้น !

ด้วยเป็นที่ประจักษ์แน่แล้วว่าฉางมู่ไม่สามารถต้านทานต่อเยี่ยฉวนรวมทั้งศิษย์คนอื่นที่เหลือในเวลานี้ ทว่าครั้งนี้กลับเป็นข้อเสนอของหลี่เสวียนชางเองซึ่งนับว่ามีนัยแฝงเร้น !

ครานี้เจียงเยว่เทียนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย และหันไปทางอาจารย์ใหญ่จี้ซึ่งยืนอีกด้านหนึ่ง ขณะที่อาจารย์ ใหญ่จี้หันไปมองเยี่ยฉวนและพวก ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์ยักไหล่ “พวกเราไม่มีปัญหา !”

ดังนั้นเขาจึงหันมาบอกหลี่เสวียนชาง “ได้ !”

หลังจากนั้นเขาจึงหันไปทางเยี่ยฉวน “กลับกันได้แล้ว !”

จากนั้นเยี่ยฉวนและพวกจึงออกจากสถานศึกษาฉางมู่โดยการนำของอาจารย์ใหญ่จี้ !

เจียงเยว่เทียนเองถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนออกจากฉางมู่ไปเช่นเดียวกัน

ยามนี้เหลือเพียงหลี่เสวียนชาง เขากวาดตามองร่างไร้วิญญาณที่เกลื่อนกล่นอยู่ในลานกว้าง ใบหน้าดำคล้ำหมองเศร้า ไม่มีใครเดาออกว่าเขาคิดของเขาออก

หลีซิ่วทำท่าจะเอ่ยปากพูด  ทว่าหลี่เสวียนชางพลันหันขวับมาและมองด้วยสายตาเยือกเย็น “เห็นหรือ ยังว่าเจ้าทำอะไรลงไป !”

หลีซิ่วหน้าเหยเก

บรรดาผู้กล้าแกร่งซึ่งรายรอบล้อมอยู่มองเขาด้วยสายตาปราศจากความเป็นมิตร

เมื่อเยี่ยฉวนสมัครเข้าเป็นศิษย์ฉางมู่ในครั้งแรก ก็เป็นทั้งหลี่ซิ่วและชางจงที่บีบบังคับเยี่ยฉวนจนออก จากการคัดเลือกไป… และในตอนนี้ เยี่ยฉวนก็ได้กลับมาเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามของสถานศึกษาฉางมู่ไปแล้ว !

ถ้าเขาได้เป็นศิษย์ฉางมู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานศึกษาฉางหลานจะต้องประสบแต่ความพ่ายแพ้ต่อ ไปอีกนานนับศตวรรษ !

น่าเสียดายแท้ เขาไปเป็นศิษย์ฉางหลาน !

น่าเสียดายยิ่งนัก !

เสียดายอะไรเช่นนี้ !

พวกเขาไม่เคยมีความรู้สึกว่าเสียดายเช่นนี้มาก่อน ด้วยตอนนี้พวกเขาทุกคนได้ประจักษ์ต่อความกล้า แกร่งและศักยภาพของเยี่ยฉวน คงไม่จริงถ้าจะบอกว่าไม่เสียใจและเสียดาย

แม้แต่หลี่เสวียนชางเอง ตัวเขาก็ยังรู้สึกเสียใจและเสียดายไม่น้อย เสียใจที่ไม่ได้ตรวจสอบสถานะของ เยี่ยฉวนตั้งแต่ครั้งแรก ถ้าได้ตรวจสอบ ฉางมู่ย่อมไม่พลาดต่อเยี่ยฉวน สุดยอดแห่งยอดคนเช่นนี้อย่างแน่นอน !

ขณะต่อมาหลี่เสวียนชางหันมาถาม “ชางจงยังอยู่ที่ฉางมู่หรือไม่ ?”

ชายชราที่ยืนใกล้พยักหน้ารับ “ใช่แล้วขอรับ !”

หลี่เสวียนชางออกคำสั่งอย่างใจเย็น “เหตุใดมันจึงยังอยู่ ? เอามันไปแขวนคอทันที !”

ผู้รับคำสั่งมีท่าทางลังเลเล็กน้อย สุดท้ายผงกศีรษะรับ “ขอรับ !”

จากนั้นรีบผละออกไปโดยเร็ว

ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่หันมามองหลี่ซิ่ว “ส่วนเจ้า จากสิ่งที่เกิดขึ้น จงพิจารณาตัวเอง”

จากนั้นเขาหันหลังออกเดินตรงไปทางภูเขา “จงส่งข่าวไปยังสถานศึกษาฉางมู่ทุกแห่งในแผ่นดินชิง แจ้ง ว่าสถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียงต้องการกำลังหนุน หากใครสามารถสังหารเยี่ยฉวนหรือแม้ศิษย์ฉางหลาน คนอื่นได้ ข้ามีรางวัลให้เป็นคัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีด้านอาคมเวทย์หนึ่งเล่ม คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีด้าน กายาพลวัตหนึ่งเล่ม คัมภีร์ยุทธ์ฝึกยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีทั่วไปอีกหนึ่งเล่ม และตบท้ายด้วยศิลาจิตวิญญาณชั้น ยอดจำนวนห้าแสนชิ้น !!”

เขาขอกำลังเสริมจากต่างสาขา !

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset