หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 147 สำนักใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน (ต้น)

บทที่ 147 สำนักใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน (ต้น)

ในโลกแห่งชิงฉาง ประกอบด้วยสามอาณาจักร อันได้แก่แผ่นดินชิง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินใหญ่  และแผ่นดินแห่งฉางหลาน

โดยในแผ่นดินชิง อาณาจักรภูผาเมฆาถือว่ามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่สุด และมีแคว้นน้อยใหญ่นับ ร้อยแคว้น ที่สำคัญในแคว้นน้อยใหญ่เหล่านี้ยังมีตระกูลชนชั้นสูงเก่าแก่นับพันปีและกองกำลังลึกลับมากอำนาจอีกมากมาย !

แม้ว่าสถานศึกษาฉางมู่จะมิได้มีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ดั่งภูเขาสูงเช่นนั้น ทว่ากองกำลังทั้งหลายก็มิได้ ประมาทต่อฉางมู่แต่อย่างใด

ด้วยว่าสถานศึกษาฉางมู่มีกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดินชิง !

แม้แต่ในอาณาจักรภูผาเมฆาก็มีสถานศึกษาฉางมู่ แต่นี่ยังมิใช่ความน่ากลัวที่แท้จริง ! ว่ากันว่าสำนัก ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ต่างหาก จึงเป็นที่รวมของทักษะ ยุทธ์มากมายมหาศาล !!

ในอาณาเขตของแผ่นดินชิง สถานศึกษาฉางมู่แต่ละแห่งต่างมีความเป็นเอกเทศ เปรียบเสมือนแว่น แคว้นที่มีความเป็นเป็นอิสระของตนเอง โดยแต่ละแห่งจะรับคำสั่งตรงจากสถานศึกษาฉางมู่สำนักใหญ่ในดิน แดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่เท่านั้น ทว่าหากก็มิได้หมายความว่าทุกแห่งจะไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน

สถานศึกษาฉางมู่ในแผ่นดินชิงอาจแข่งขันกันเอง แต่พวกเขาก็ให้ความร่วมมือต่อกันด้วย

เรียกรวมพล !

นี่ถือเป็นอีกหนึ่งข้อที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความร่วมมือ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับสถานศึกษาฉางมู่แห่งใดก็ตาม ‘การเรียกรวมพล’ จะสามารถขอความช่วยเหลือจากสาขาแห่งอื่นให้มาช่วยได้ !

แน่นอนว่าความช่วยเหลือมิได้ให้เปล่า ล้วนต้องมีค่าตอบแทนด้วยกันทั้งนั้น !

ค่าตอบแทนที่ให้ภายในสถานศึกษาฉางมู่มิใช่ใหญ่โต ทว่ามากมายมหาศาลต่างหาก !

คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีวิชาใดก็ได้ คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีด้านกายาพลวัต คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีด้านอาคมเวทย์ และศิลาจิตวิญญาณห้าแสนชิ้น  ด้วยมูลค่าของสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ ย่อมสามารถดึงดูดผู้คน ให้สามารถสังหารได้แม้แต่ผู้กล้าแกร่งขั้นพลังผสานเทพ นับประสาอะไรกับขั้นพลังหลอมรวมลมปราณและ ทะยานสวรรค์ไม่กี่คน

รางวัลในครั้งนี้นับว่าดึงดูดใจยิ่ง ทำให้คนกล้าจำนวนมากหน้าหลายตาอยากลองเสี่ยงดูสักตั้ง !

โดยฉับพลันนั้น นกพิราบสื่อสารฝูงใหญ่จากสถานศึกษาฉางมู่ก็ได้โบยบินสู่ท้องฟ้า และบินตรงเข้าสู่ ทิศทางจุดมุ่งหมายของพวกมันทันที

ภาพที่ปรากฏสร้างความตื่นตาตื่นใจ

ณ เมืองหลวง

สถานศึกษาฉางมู่ไม่อาจปกปิดเหตุการณ์ของเยี่ยฉวนที่กระทำต่อสถานศึกษาฉางมู่ได้ ดังนั้นในเวลา ไม่นานทุกคนในเมืองหลวงจึงได้รับรู้ความจริงระหว่างเยี่ยฉวนและฉางมู่

ตกตะลึง !

บรรยากาศของเมืองหลวงเวลานี้คือตกตะลึง !

เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่สถานศึกษาฉางหลานอยู่นอกสายตาของผู้คน ไม่สิ อันที่จริงต้องบอกว่าทุกคนต่างหลงลืมว่ามีสถานศึกษาฉางหลานไปเสียสิ้น อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้สถานศึกษาฉางหลานกลับกล้าออกมาเผชิญหน้ากับสถานศึกษาฉางมู่โดยตรง !

อีกทั้งยังเป็นสถานศึกษาฉางหลานที่เป็นฝ่ายมีชัยกลับมาเสียด้วย !

สิ่งที่น่าประหวั่นที่สุดคือเยี่ยฉวนสามารถสังหารเฟินเจี๋ย หนึ่งในสุดยอดศิษย์แห่งยอดคนแห่งสถาน ศึกษาฉางมู่ มิหนำซ้ำเยี่ยฉวนยังสับร่างของศิษย์ฉางมู่อีกหลายคนนำมาเรียงเป็นคำ

‘สถานศึกษาฉางมู่’

ในตอนนี้เขาได้สร้างความอับอายอย่างร้ายแรงให้บังเกิดแก่สถานศึกษาฉางมู่ขึ้นแล้ว !

เยี่ยฉวน !

นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชื่อของเยี่ยฉวนแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซึ่งครานี้นับว่าแตกต่างจากครั้ง ก่อนนัก ด้วยคราวนี้เขาเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ทำให้คนทั่วไปบ้างสนใจใคร่รู้และมีไม่น้อยที่ชื่นยกย่องใน ตัวเขา !

หลายคนมักเทิดทูนผู้ฝึกกระบี่ !

โดยทั่วไปภายหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงต่อสถานศึกษาฉางหลานก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง !

เมื่ออาจารย์ใหญ่จี้ และพวกเยี่ยฉวนกลับมาถึงสถานศึกษาฉางหลาน สิ่งที่เยี่ยฉวนมองเห็นว่ากำลังยืนอยู่ที่หน้าหอโถงแห่งฉางหลานคือเยี่ยหลิง !

ส่วนทางด้านเด็กหญิงเอง ทันทีที่นางเห็นหน้าของผู้ที่เพิ่งเข้ามา นางก็พลันโผเข้าหาอ้อมแขนของพี่ชายทันที เยี่ยหลิงกอดเยี่ยฉวนจนแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปอีก หากครานี้มิได้มีน้ำตาแห่งความยินดี นาง เพียงกอดเขาและมองด้วยแววตาแปลกประหลาด

ส่วนเยี่ยฉวนก็เอาแต่มองหน้าน้อง สายตาเหี้ยมเกรียมของเขากลับอ่อนโยนลง ชายหนุ่มใช้มือค่อยลูบศีรษะเล็ก ๆ “บอกแล้วอย่างไรว่าพี่จะกลับมา !”

จากนั้นผู้เป็นพี่ชายจึงหันไปหาสตรีชุดดำผู้นั่งอยู่บนรถเข็น “ให้ข้าเรียกขานนามของท่านว่าอะไร ?”

สตรีชุดดำทีท่าลังเลเล็กน้อย หากในที่สุดจึงตอบว่า “หลู่เจาเก้อ”

เยี่ยฉวนผงกศีรษะรับทราบ “ขอบคุณขอรับ แม่นางหลู่ !”

หญิงสาวในชุดดำส่ายศีรษะน้อย ๆ “เจ้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น ดังนั้นแคว้นเจียงต้องอยู่ข้างเจ้า ทว่าสถานศึกษาฉางมู่จะไม่หยุดเท่านี้แน่… แต่ก็นั่นแหละ วันนี้สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลาก่อน !”

จากนั้น ชายชราก็ไสรถเข็นของนางจากไป

แคว้นเจียง !

เยี่ยฉวนมองตามไปเบื้องหลังสตรีในชุดดำ “ข้าจะจดจำไว้ขอรับ !”

หญิงสาวผงกศีรษะ และในไม่ช้าร่างของคนทั้งสองจึงได้ลับไปจากสายตา

ในตอนนนั้นเยี่ยหลิงหันมาพูดกับพี่ชายของนาง “ท่านพี่ ข้าจะไปทำกับข้าวให้ท่านกินนะเจ้าค่ะ !”

“พวกเราเองก็หิวแล้วเหมือนกัน !”

โม่อวิ๋นฉีโผ่ขึ้นมาทางข้างหลังเยี่ยฉวน หน้าตายิ้มแย้มกะลิ้มกะเหลี่ย “หลิงเอ๋อร์ เจ้าช่วยทำกับข้าวเผื่อให้พวกเราด้วยนะ…”

ไป๋เจ๋อรีบพยักเพยิด “ข้าหิวเหมือนกัน !”

เยี่ยหลิงคลี่ยิ้มกว้าง “ข้าจะทำให้ทุกคนกินเจ้าค่ะ”

นางรีบผละออกและวิ่งไปทันที

ทันใดนั้น อาจารย์ใหญ่จี้ดีดนิ้วมือเบา ๆ พลันบังเกิดยาตันเถียนสีทองสี่เม็ดขึ้นเบื้องหน้าเยี่ยฉวนและ พวกอีกสาม “ใช้ยารักษาอาการบาดเจ็บของพวกเจ้าเสียก่อน !”

เยี่ยฉวนเห็นเช่นนั้น เขาพยักหน้ารับทราบก่อนฉวยยาตันเถียนขึ้นมาและรีบรุดกลับไปยังห้องพักของ ตนทันที

แต่โม่อวิ๋นฉีกลับหยิบยาตันเถียนตรงหน้าขึ้นมาพิจารณาอยู่ไปมา และจู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า “อาจารย์จี้ ยาตันเถียนชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ…”

สายตาวกกลับไปที่อาจารย์ใหญ่จี้ “ข้าว่าท่านคงจะมีฐานะดีไม่ใช่เล่น ! ถ้าท่านมีเงินทองมากมาย น่า จะใช้ให้ความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตบ้างนะขอรับ ?! หรือไม่ก็หาศิษย์หญิงมาสักสองสามคน…”

อาจารย์ใหญ่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมาเอ็ด “ไปให้พ้น !”

อีกฝ่ายยิ้มแหย “ท่านช่วยคิดตามที่ข้าแนะนำสักนิด โดยเฉพาะเมื่อตะกี้…” จากนั้นรีบหันกลับ วิ่งจี้ออกไปทันที

ไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อตามออกไปเป็นพวกสุดท้าย

ทันใดนั้นเอง เจียงเยว่เทียนพลันปรากฏกายขึ้นไม่ห่างไกลจากอาจารย์ใหญ่จี้

ชายชราเจียงเยว่เทียนทอดสายตามองไปในระยะไกล “ศิษย์ทั้งสามคนที่เจ้ารับเข้ามา นับว่าพวกเขามีฝีมือไม่น้อย โดยเฉพาะคนหนุ่มที่ชื่อเยี่ยฉวน คนผู้นี้ไม่ธรรมดาทีเดียว !”

อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ “โดยปกติราชสำนักเจียงกระเหี้ยนกระหือรืออยากเห็นสถานศึกษาฉางหลานและสถานศึกษาฉางมู่ประลองจนตายกันไปข้างหนึ่ง แต่วันนี้ท่านกลับยื่นมือมาเป็นฑูตสันติ …ดังนั้นจึงย่อมมีเบื้องหลัง !”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset