หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 150 แรงผลักดัน (ปลาย)

บทที่ 150 แรงผลักดัน (ปลาย)

เมื่ออีกฝ่ายกล่าวจบ เยี่ยฉวนจึงถามกลับด้วยเสียงสุขุมนุ่มลึก “แต่มันไม่ใช่ขยะเสียหน่อย นั่นจะไม่เท่ากับว่าเป็นการหลอกลวงตัวเองอยู่หรอกหรือ ?”

“เป็นคำถามที่ดี !”

อาจารย์ใหญ่จี้มองไปที่เยี่ยฉวน “ข้ารู้สึกยินดีมากที่เจ้าคิดได้เช่นนี้ แต่ก่อนอื่นนั้น ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจว่าแรงผลักดันก็คือความมั่นใจในตัวเองรูปแบบหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู เจ้าควรมั่นใจในตัวเองอย่างหนักแน่น ว่าคู่ต่อสู้ที่ขวางทางเจ้าทุกคนล้วนเป็นแค่ขยะ ! แต่แน่นอนว่าความมั่นใจไม่ใช่สิ่งเดียวกับความหยิ่งผยอง ใน เชิงกลยุทธ์นั้นเราไม่ควรประมาทและต้องให้ความสำคัญกับศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างจริงจัง”

หลังจากที่พูดแบบนั้น อาจารย์ใหญ่จี้จึงชี้ไปที่ภูเขาลูกเล็กซึ่งพังทลายลงแล้วเมื่อครู่ “ภายในใจของข้า มันเป็นแค่ขยะ แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้าได้โจมตีออกไปแล้ว ข้าก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่ประมาทคู่ต่อสู้ และข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับมัน ข้าดูแคลนเจ้าแต่เพียงข้างในใจเท่านั้น แต่เมื่อประมือกันข้าจะให้ความสำคัญกับเจ้าเป็นที่สุด”

เยี่ยฉวนมองภูเขาลูกเล็กที่อยู่ไกลออกไปอย่างครุ่นคิด

อาจารย์ใหญ่จี้จึงถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดแข็งของอันหลานซิ่วคืออะไร ?”

เยี่ยฉวนหันไปมองอาจารย์ใหญ่จี้แล้วตอบเบา ๆ “ข้าคิดว่าจุดแข็งนั้นก็คือแรงผลักดันของนาง นางไม่ เคยหวั่นเกรงต่อสิ่งใดแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองก็ตาม เมื่อครั้งที่อยู่ต่อหน้าข้า นางก็ ไม่มีแม้สีหน้าหวาดหวั่นให้เห็น ในครั้งนั้นถึงแม้ว่าจะเอาชนะข้าไม่ได้ แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกว่าเกรงกลัวข้า เลยแม้แต่น้อย แรงผลักดันเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนักในหมู่คนรุ่นใหม่ของแคว้นเจียง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อาจารย์ใหญ่จี้ก็มองไปที่เยี่ยฉวน “เจ้าไม่มีแรงผลักดันก็จริง แต่เจ้ามีจุดแข็งที่คนอื่น ไม่มี”

“มันคืออะไรหรือ ?” เยี่ยฉวนหลุดถามออกมาโดยไม่รู้ตัว

อาจารย์ใหญ่จี้ตอบเสียงกระซิบ “ความไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด นั่นยังไงล่ะ !”

“ไม่หวาดหวั่นงั้นหรือ ?” เยี่ยออกจะรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

อาจารย์ใหญ่จี้อธิบาย “เจ้าไม่ได้ถูกแรงผลักดันเข้าครอบงำ แต่ถึงกระนั้นหาได้เกรงกลัวผู้ใดในสำนัก ศึกษาฉางมู่แม้แต่คนเดียว เจ้ากล้าที่จะปล่อยหมัดออกไปแม้รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีโอกาสที่จะชนะ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็มิได้หวั่นเกรง เจ้ากล้าที่จะต่อสู้เมื่อถึงคราวจำเป็น และไม่เพียงเท่านั้น แต่เจ้ายังสามารถแสดงความแข็งแกร่ง ของตัวเองออกมาได้เมื่อเผชิญหน้ากับคุณหนูอัน บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงได้เห็นคุณค่าในตัวเจ้า”

ดังนั้นอาจารย์ใหญ่จี้จึงสบตากับเยี่ยฉวนอีกครั้งก่อนกล่าว “เจ้าทำให้ข้านึกถึงประโยคหนึ่งที่ว่า ครั้งหนึ่งอาจเคยอ่อนแอ แต่ไม่มีใครเป็นเช่นนั้นตลอดกาล ยกเว้นคนขี้ขลาด“

เยี่ยฉวนยังคงนิ่งเงียบอย่างไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี “…”

ทันใดนั้น อาจารย์ใหญ่จี้ก็พูดขึ้น “ตามข้ามา !”

หลังจากนั้นเขาก็เดินนำเยี่ยฉวนไป ไม่นานนักทั้งสองคนก็มาถึงภูเขาอีกลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาลูกก่อนหน้าหลายเท่านัก ภูเขาลูกก่อนแทบไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าเป็นภูเขา แต่ตอนนี้ ที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาคือภูเขาจริง ๆ และมันก็ไม่ใช่ลูกเล็ก ๆ เสียด้วยสิ !

อาจารย์ใหญ่จี้ถามเยี่ยฉวน “เจ้ารู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นภูเขาลูกนี้ครั้งแรก ?”

เยี่ยฉวนครุ่นคิดแล้วจึงตอบ “ข้าคิดว่า ถ้าท่านต้องการให้ข้าทลายภูเขาลูกนี้ให้ได้ภายในหมัดเดียวแล้วละก็ ท่านต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ…”

อาจารย์ใหญ่จี้จิบสุรา “นี่แหละสิ่งที่เจ้ายังขาดอยู่ เจ้าไม่เคยกริ่งเกรงศัตรูที่แข็งแกร่งแม้สักนิด ข้อนี้ทำ ให้เจ้าได้เปรียบกว่าคนอื่นมาก แต่เจ้ามีพละกำลังมากพอที่จะสังหารคนพวกนั้นให้หมดงั้นหรือ คำตอบคือไม่เลย อันที่จริงข้าควรจะบอกว่าแท้จริงแล้วนั้น เจ้าจะมีแรงผลักดันแบบนั้นก็ต่อเมื่อน้องสาวของเจ้าตกอยู่ในอันตรายเท่านั้นเอง…”

เมื่อพูดจบ เขาก็ซดสุราในมือเข้าไปอีกหนึ่งอึก “จงยืนคิดอยู่ตรงนี้แล้วก็ตกผลึกเสีย และเจ้าจะเลิกเมื่อ ใดก็ได้ที่เจ้ารู้แจ้งแล้ว !”

หลังจากนั้นอาจารย์ใหญ่จี้ก็เดินโซซัดโซเซไปที่หินด้านหนึ่ง เอนตัวไปด้านข้างก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนหินที่ใกล้ที่สุดและส่งเสียงกรนออกมา

เยี่ยฉวนมองไปที่ภูเขาลูกเล็กตรงหน้าอย่างใช้ความคิดและตกอยู่ในความเงียบ

แรงผลักดันอย่างนั้นหรือ !

ในความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็รู้สึกได้ถึงแรงผลักดันจากตัวของอันหลานซิ่วอยู่เหมือนกัน

อันหลานซิ่วทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีเรื่องยากใด ๆ ที่จะทำให้นางสะดุดล้มหรือไม่มีใครที่นางไม่สามารถ เอาชนะได้

แต่แน่นอนว่าคนสร้างแรงผลักดันมากที่สุดก็คือสตรีลึกลับที่อยู่ในหอคอยแห่งเรือนจำนั่นแหละ !

ภาพเหตุการณ์บนเรือเหาะที่สตรีลึกลับโจมตีและฟาดฟันอีกฝ่ายด้วยกระบี่วารียังคงทำให้เขารู้สึก ใจเต้นไม่หาย !

“ลงกระบี่หนึ่งครั้ง หากข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิต เจ้าอยู่ แต่หากข้าต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็จงมอดม้วย…”

“หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เยี่ยฉวนก็ตกตะกอนทางความคิดทันที

วินาทีถัดมาเขาจึงหยิบกระบี่หลิงซิ่วของตัวเองขึ้นมาดู !

เยี่ยฉวนถือกระบี่เล่มยาวไว้ในมือแล้วทอดสายตามองไปที่ภูเขาลูกเล็กในระยะไกล ในจินตนาการของ เขานั้นมีฉากที่สตรีลึกลับปรากฏตัวบนเรือเหาะเล่นซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ในครั้งนั้นนางถือกระบี่วารีไว้ในมือ จิตสังหารแผ่กระจายรุนแรงราวกับว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่นางฆ่า ไม่ได้ !

“แล้วนั่นไม่ใช่แรงผลักดันหรือไร ?”

“นางใช้ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ นี่นา ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้บ้าง !”

“แต่ทำไมมันถึงได้ดูแตกต่างกันมากนักนะ ?”

“การจัดวางความแข็งแกร่งและขอบเขตสภาพของจิตใจของข้าไม่ได้เป็นไปในทางที่ถูกต้องนี่เอง !”

“หนี่งกระบี่ชี้ชะตา จะต้องตัดสินระหว่างความเป็นและความตายได้ !”

“ที่สุดแล้ว สิ่งที่ทักษะกระบี่นี้ต้องการนั้นก็ไม่ใช่ลำดับขั้นที่สูงส่งอะไร แต่เป็นแรงผลักดันที่ว่า ถ้าข้าต้องการให้มันมีชีวิต มันย่อมต้องอยู่ และถ้าหากข้าต้องการให้มันตาย มันก็ต้องตาย ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง !”

เมื่อคิดได้ดังนี้เยี่ยฉวนก็ส่ายหน้าและหลุดยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เป็นข้านี่เองที่เข้าใจทักษะกระบี่นี้ผิดไป”

ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงมองขึ้นไปบนยอดภูเขาสูงที่อยู่ไม่ไกล

ชิ้งงง !

เสียงกระบี่ดังขึ้นในทันใด และวินาทีถัดมา…

ครืนนน !

แรงผลักดันอันแข็งแกร่งแกว่งออกมาจากร่างกายของเยี่ยฉวน จากนั้นพื้นดินเบื้องหน้าก็ค่อย ๆ แตก ออกทีละนิ้ว !

ไม่ไกลจากตรงนั้น อาจารย์ใหญ่จี้ได้ลุกขึ้นมาจ้องเยี่ยฉวนด้วยสายตาว่าเปล่า “นึกบ้าอะไรขึ้นมาฮึ ? ข้าสอนการส่งแรงผลักดันไปยังหมัดให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับใส่มันลงไปในกระบี่แทนเนี่ยนะ เจ้าเพี้ยนไปแล้วหรือไง ?”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset