หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 151 ข้าเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ! (ต้น)

บทที่ 151 ข้าเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ! (ต้น)

“แรงพลักดันกระบี่ !” ห่างออกไป เยี่ยฉวนถือกระบี่หลิงซิ่วกระชับในมือแน่น

แรงพลักดันแห่งกระบี่กระจายไปทั่วโดยรอบจนรู้สึกได้

ชายหนุ่มจับกระบี่ในมือพลางเดินช้า ๆ ตรงเข้าหาภูเขา ทุกฝีเท้าที่ก้าวเดินทิ้งรอยร้าวบนแผ่นดินยาว หลายจั้ง เพียงในเวลาไม่นานพื้นที่โดยรอบเยี่ยฉวนก็เกิดร่องรอยแตกแยกบนพื้นผิวโยงใยคล้ายใยแมงมุม !

เยื้องออกไปทางเบื้องหลัง อาจารย์ใหญ่จี้ก็กำลังยืนมองด้วยแววตาครุ่นคิด แม้ยังสะลึมสะลือจาก อาการมึนเมา ทว่าความภูมิใจที่แฝงไว้ก็ไม่อาจปกปิดได้มิด !

‘แรงผลักดันแห่งกระบี่ !’

“เยี่ยฉวนผู้นี้ ไม่เพียงแต่จะเข้าใจแรงผลักดันได้เท่านั้น แต่ยังผสานมันเข้ากับศาสตราวุธได้อีกด้วย !”

“ถึงตอนนี้เขายังไม่บรรลุมันเต็มร้อยส่วน แต่ข้าก็รู้สึกถึงแรงผลักดันแห่งกระบี่ ! …สำหรับคนที่มีทักษะกระบี่ขั้นปฐพีตั้งแต่อดีตกาลจนถึงเวลานี้ ข้ายังไม่เคยพบเจอใครที่บรรลุแรงผลักดันแห่งกระบี่แม้สักคน !”

ชั่วขณะใหญ่ทีเดียวที่อาจารย์ใหญ่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ! เขานึกรำพึงกับตนเอง “เหตุใดเยี่ยฉวนจึง ได้มีทักษะกระบี่ที่น่ากลัวเช่นนี้ ?”

ฉับพลันนั้นเยี่ยฉวนหยุดกึก และเมื่อเขาหยุด พลันแรงผลักแห่งกระบี่ก็ได้หมุนวนรอบกายและเลือน หายไปจนไร้ร่องรอย

…ชายหนุ่มก้มลงมองกระบี่หลิงซิ่วที่กระชับอยู่ในอุ้งมือซึ่งกำลังสั่นน้อย ๆ “ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียชื่อแน่ !”

“ฮึ่มมมม !” เสียงกระหึ่มแห่งกระบี่สะท้อนสะท้านกึกก้องทั่วบริเวณนั้น

เยี่ยฉวนคลี่ยิ้มและคลายมือที่กำกระบี่ออก ครู่ต่อมาแสงแห่งกระบี่หลิงซิ่วก็ได้แล่บแปลบปลาบเกิด แสงกระพริบสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ !

แสงที่รายล้อมรอบกายเยี่ยฉวนทอประกายระยิบระยับ ! ด้วยเขาได้ใช้พลังขั้นหลอมรวมลมปราณควบคุมพลังกระบี่ !

เวลานี้เขาสำเร็จการควบคุมกระบี่แล้ว และด้วยขั้นพลังของคนและกระบี่ที่สอดคล้องกัน จึงทำให้พลังของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นแปดในสิบส่วนทีเดียว

ทันใดนั้นเอง เสียงของอาจารย์ใหญ่จี้พลันดังขึ้นข้างกาย “ทำไมเจ้าไม่ใช้แรงพลักดันแห่งกระบี่ออกไป ?”

เยี่ยฉวนหันไปมองอาจารย์ใหญ่ พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ยื่นมือออกไปและดีดนิ้วดังเปาะ ทันใดนั้นเอง กระบี่หลิงซิ่วก็ได้ทะยานย้อนกลับ

และสงบนิ่งที่มือขวาของเขา เยี่ยฉวนยิ้ม “ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะเวลานี้… ข้าได้เข้าใจถ่องแท้ใน ‘แรงผลักดัน’ แล้ว !”

แรงผลักดัน !

กล่าวให้ตรงคือแม้ปราศจากพลังปฐพีเกื้อหนุน เวลานี้เพียงแค่ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ ก็นับว่าเหนือกว่า ทักษะยุทธขั้นปฐพีก็ว่าได้ และถ้ามีพลังแห่งปฐพีเสริมอีกขั้น เมื่อนั้นแล้วแรงผลักดันแห่งกระบี่ของเขาก็จะรุนแรงไม่แพ้การใช้ทักษะยุทธ์ขั้นสวรรค์เลยทีเดียว !

และสิ่งที่ฝังรากหยั่งลึกภายในใจของเยี่ยฉวนในตอนนี้ มันก็คือ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ มิใช่เป็นเพียงทักษะกระบี่เท่านั้น ! หากแต่เป็นทั้งความคิดและจิตใจของตนเอง

อาจารย์ใหญ่จี้มองศิษย์คนที่ยืนตรงหน้าพลางยิ้มน้อย ๆ “การที่สถานศึกษาฉางมู่ได้ผลักไสคนผู้นี้ นับ เป็นการตัดสินใจพลาดอย่างใหญ่หลวงในรอบหลายร้อยปีของฉางมู่”

และสำหรับตัวเขา การกระทำเมื่อครั้งก่อนมันก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าที่สุดในรอบหลายปีเช่นกัน !

ผู้อาวุโสจี้ตบลงบนบ่าของเยี่ยฉวนเบา ๆ “เป็นคนหนุ่มนี่มันดีจริง ๆ” พูดเพียงเท่านั้น แล้วจึงหันหลัง เดินจากไป

เยี่ยฉวนยังไม่กลับไปทันที เขาเก็บกระบี่คืนสู่ฝักจากนั้นจึงหันไปทางเชิงเขาเบื้องหน้า มือข้างขวากำ เข้าหากัน

เปรี๊ยะ !

ฉับพลันนั้นก็ได้มีพลังชนิดหนึ่งพุ่งออกจากกำปั้น !

ชายหนุ่มเดินตรงไปทางภูเขาทีละก้าว ๆ เมื่อระยะห่างได้ประมาณศอกหนึ่ง ภาพเชิงเขาตรงหน้าจึง ค่อย ๆ ประทับลงในใจ ก่อนที่เยี่ยฉวนจะหลับตาลง !

ขณะนี้มือขวายังกำหมัดเกร็งแน่น

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ !

เสียงลั่นจากหินที่ก่อตัวเป็นภูเขาแตกออกจากกันและดังถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

“เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยแรงผลักดัน ! มันคือเต๋าแห่งหมัดงั้นหรือ ? หรือนี่คือเต๋าแห่งกระบี่กันแน่ ? ไม่ซิ บางทีทั้งสองอาจเชื่อมโยงกัน !” ทันใดนั้น เยี่ยฉวนพลันลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาก้าวออกมาข้างหน้าและยกหมัดข้างขวาพุ่งกระแทกออกไปที่เชิงเขาเต็มแรง

เปรี้ยง !

แขนข้างนั้นทะลุผ่านเข้าไปภายในหินผา ครู่ต่อมาหินบริเวณรอบแขนจึงค่อย ๆ ร้าวและแตกออกเป็น แนวยาวหลายจั้งก่อนที่บางส่วนจะถล่มลงมา

เศษอิฐหินน้อยใหญ่ระเบิดกระจายออกและบางส่วนร่วงลงบนพื้นดิน ทำให้เกิดฝุ่นผงคละคลุ้งขึ้นไปในอากาศ

เยี่ยฉวนกระโดดถอยไปหลายจั้ง ทิ้งให้เชิงเขาบริเวณที่หมัดของเขาพุ่งทะลุเข้าไปบังเกิดเป็นหลุมลึก ดำมืดสนิท ไม่อาจคาดคะเนความลึกล้ำด้วยมองไม่เห็นก้นหลุม

พลังหมัดของเยี่ยฉวนไม่ใช่ทำให้เกิดรอยถากเพียงผิวเผิน ทว่าเป็นพลังรุนแรงทะลุทะลวงชนิดหนึ่ง !

นี่คือพลังหมัดที่ประสานเคล็ดพลังของ ‘หมัดทลายภูผา’ และ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ เข้าด้วยกัน ทั้งยัง กระตุ้นแรงผลักดัน ความตั้งใจของเยี่ยฉวนคือต้องการส่งแรงหมัดออกไป แต่ไม่คาดคิดว่าพลังทำลายจะรุนแรงเยี่ยงนี้ !

แม้ว่าความกล้าแกร่งอาจยังเทียบไม่ได้กับ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าหมัดทลายภูผาหลาย เท่านัก !

ด้วยพลังหมัดนี้ ชายหนุ่มสามารถสังหารคนในขั้นพลังทะยานสวรรค์ได้ภายในเสี้ยววินาที ! และเมื่อ เสริมพลังปฐพีเข้าด้วยแล้วล่ะก็ ต่อให้คนในขั้นสันโดษยังต้องครั่นคร้ามและพ่ายแก่เขา !

เยี่ยฉวนยืนนิ่งยกกำปั้นของตนขึ้นมอง มุมปากมีรอยยิ้ม “ข้าจะเรียกพลังหมัดนี้ว่า ‘หนึ่งหมัดดับชีพ’ เพราะสามารถสยบศัตรูได้ในหมัดเดียว ! ในที่สุดก็สำเร็จอีกหนึ่งทักษะแล้วสินะ หึหึ…”

จากนั้นจึงกลับออกไป

ทันทีที่เยี่ยฉวนลับกาย ผนังภูเขาด้านหลังจึงค่อยแตกและทรุดตัวถล่มลงทีละชั้น ๆ

เยี่ยฉวนแวะไปที่น้ำตก ที่นั่นเขาพบว่าไป๋เจ๋อยังดำดิ่งอยู่ก้นน้ำตก มีเสียงสบถพึมพำดังลอดเสียงน้ำ เป็นระยะ !

เขาหยุดมองร่างของไป๋เจ๋อดำผุดดำโผล่ แววตาแสดงความประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นผิวหนังของคน ตัวใหญ่ ที่มีเส้นเลือดสีดำปรากฏตามร่างกายทั้งยังสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด

“การตื่นขึ้นของสายโลหิตงั้นหรือ ?” เขาตั้งคำถามในใจ เคยได้ยินมาว่าพวกครึ่งคนครึ่งอมนุษย์ จะมีสายเลือดของอมนุษย์ไหลเวียนภายในร่างกาย ดังนั้นเมื่อสายเลือดอมนุษย์ถูกกระตุ้น คนพวกนี้จะมีพลังที่เรียกว่า ‘พลังเหนือมนุษย์’ ซึ่งทำให้พละกำลังแข็งแกร่งอย่างมหาศาล !

เห็นได้ชัดว่าไป๋เจ๋อยังไม่ถูกกระตุ้นพลังเหนือมนุษย์ในกาย ! เพราะเมื่อใดที่พลังเหนือมนุษย์ของคนผู้นี้ได้รับการกระตุ้น มันจะต้องเกิดการแปรเปลี่ยนทางกายทำให้กล้าแกร่งขึ้นเป็นทวีคูณ !

ความเป็นจริงประการหนึ่งของไป๋เจ๋อที่ทุกคนควรรู้ คือหากความกล้าแกร่งของเขาเผยออกมาอย่างเต็มที่ ! เมื่อนั้นก็ย่อมแสดงว่าสายเลือดอมนุษย์ได้ถูกกระตุ้นถึงขีดสุด และเขาก็จะกลายเป็นมนุษย์ทรงพลัง !

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset