หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 153 เขามาแล้ว ! (ต้น)

บทที่ 153 เขามาแล้ว ! (ต้น)

ตามไปให้กำลังใจสถานศึกษาฉางหลาน !

หัวหน้ากองทหารวัยกลางคนออกเดินนำสามศิษย์ฉางมู่แห่งแคว้นถัง ตามมาด้วยกองทหารแคว้นเจียง นอกจากพวกทหารยังมีชาวเมืองหลวงติดตามไปเป็นผู้ชมอีกจำนวนหนึ่ง !

โดยเฉพาะกลุ่มหลัง ซึ่งดูท่าจะตามมาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทุกคนมีความคิดเหมือนกันคือต้องการให้กำลังใจสถานศึกษาฉางหลาน !

แรกเริ่มเดิมทีชาวเมืองไม่เคยใส่ใจสงครามระหว่างสองสถานศึกษามาก่อน หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ชาวเมืองอยากที่จะได้เห็นความพินาศย่อยยับจากการปะทะกันของสถานศึกษาทั้งสอง !

ทว่าครั้งนี้แตกต่าง ! เหตุเพราะผู้ที่มาท้าประลองเป็นคนจากแคว้นถัง !

แคว้นถัง ! ศัตรูคู่แค้นของแคว้นเจียง ! มีผู้คนมากมายเท่าไรที่ต้องตายในสงครามระหว่างแคว้น ?!

บัดนี้ศิษย์ฉางมู่แคว้นถังกล้ามาเหยียบถึงถิ่นแคว้นเจียง ! จึงเป็นเวลาที่ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจต่อสถาน ศึกษาฉางหลาน ด้วยนับแต่นี้จะไม่ใช่สงครามระหว่างสองสถานศึกษาเท่านั้น แต่เป็นสงครามระหว่างแคว้น สองแคว้น !

ใบหน้าของชายชราที่มาจากสถานศึกษาฉางมู่บึ้งตึง ชั่วขณะหนึ่งเขารู้แล้วว่าตนเองผิดพลาดที่ปล่อย ให้ศิษย์แห่วแคว้นถังผ่านเข้ามาในแคว้นเจียงโดยง่าย…

สถานศึกษาฉางมู่เคยอยู่แต่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคนอื่น คนจากฉางมู่เองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน พวก เขาไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น ทั้งไม่ใส่ใจต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเจียงและแคว้นถัง หรือจะว่าก็คือไม่เคยใยดีต่อความคิดของคนที่มีสถานะต่ำกว่าอย่างชาวบ้านร้านตลาดเหล่านี้ !!!

…ดังนั้นแล้ว จากการกระทำที่ผ่านมา มันจึงเสมือนเป็นการเติมเชื้อไฟแห่งความโกรธเคืองในใจของผู้คน !

ชายชราละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าในที่สุดเขาก็ตัดสินรีบรุดกลับไปยังสถานศึกษาฉางมู่ ด้วยมีความรู้สึกว่าสถานการณ์ที่ยุ่งยากต่อไปในแคว้นเจียง สถานศึกษาฉางมู่อาจไร้คนสนับสนุนก็เป็นได้

ในขณะเดียวกัน กองทหารก็ได้เดินเท้าพร้อมด้วยสามศิษย์ฉางมู่แห่งแคว้นถังมุ่งหน้าสู่สถานศึกษาฉางหลาน ซึ่งศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ทั้งสามต่างมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แตกต่าง อีกทั้งแววตายังดูแคลนและหยิ่ง ผยองไม่แตกต่าง

ไม่นานนักคนทั้งหมดก็มาหยุดลงตรงเชิงเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาฉางหลาน และที่เชิงเขาด้าน ล่าง เด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังถือตระกร้าที่เต็มไปด้วยผักป่านานาชนิด นางคือเยี่ยหลิงซึ่งลงจากเขาเพื่อ เก็บผักป่าไปทำอาหารนั่นเอง !

เยี่ยหลิงเหลือบเห็นคนทั้งกลุ่มเข้าก็สะดุ้งตัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้วิ่งหนีเพราะท่านอาจารย์ใหญ่จี่เคยสั่งไว้ว่าในละแวกบริเวณภูเขาเป็นที่ที่ปลอดภัย

หัวหน้าทหารวัยกลางคนเดินออกมาเบื้องหน้า เขาเอ่ยถามแม่หนูน้อยว่า “นี่แม่หนู เยี่ยฉวนอยู่ที่นี่หรือ ไม่ ?”

เยี่ยหลิงกะพริบตาปริบ “ท่านมีธุระอะไร ?”

หัวหน้าทหารหันชี้มือไปที่สามศิษย์แห่งฉางมู่ซึ่งยืนเยื้องออกไป “คนสามคนนี้มาจากแคว้นถัง จะมาท้าประลองกับเยี่ยฉวน ส่วนคนพวกนั้นตามมาให้กำลังใจเยี่ยฉวน !”

หนูน้อยเหลือบมองคนจากสถานศึกษาฉางมู่เล็กน้อยก่อนหันกลับไปทางภูเขา พลันยกมือขึ้นป้องปากตะโกนเรียก “ท่านพี่เจ้าคะ มีคนจากฉางมู่มาหาอีกแล้ว !”

ดังนั้นทุกคนต่างมองหน้ากัน “…”

ทันใดนั้นเอง ร่างในชุดดำทะยานลงจากภูเขารวดเร็ว เพียงแว่บเดียวเขาลงมาหยุดอยู่ที่เชิงเขา ผู้นั้นคือเยี่ยฉวน !

เขาเคลื่อนที่รวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงพริบตาก็สามารถลงจากยอดเขามาถึงเชิงเขาอย่างชนิดไม่ต้อง หยุดพัก !

เมื่อเห็นคนที่ปรากฏตัว หัวหน้าศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่แสยะยิ้ม พลางก้าวออกมาด้านหน้า “เจ้า คือเยี่ยฉวนสินะ ข้าคือศิษย์แห่งฉางมู่จากแคว้นถัง ชื่อหลี่…”

ทันใดนั้นเอง ความรวดเร็วของเยี่ยฉวนกลับเพิ่มเป็นทวีคูณ แสงสว่างวาบพุ่งตรงเข้าหาคนที่กำลังอ้า ปากพูด ฉับพลันลำแสงแว่บวาบสาดสว่างไปทั่วลาน

ชิ้ง !

มิทันที่คนพูดได้จนจบประโยค พลันร่างสะดุ้งเฮือกแข็งขึง !

เกิดลำแสงตวัดผ่านดังฉับ !

ศีรษะที่ตั้งตรงขาดกระเด็นออกจากคอ !

ฉูดดด !

โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดจากบาดแผลราวน้ำพุ สาดกระเซ็นเป็นฟองฝอย !

ต่อหน้าต่อตาของกองเชียร์ พวกเขาต่างเบิกตากว้างด้วยความตะลึงลาน !

จากนั้นเยี่ยฉวนทะยานปราดจากขวาสู่ซ้าย ขณะเดียวกันมือตวัดกระบี่จากขวาสู่ซ้าย

ฉัวะ !

ศีรษะของศิษย์ฉางมู่คนที่สองปลิวหวืดออกจากตัวคนทันที !

ในเวลานั้นศิษย์ฉางมู่ที่เหลือคนที่สามสำเหนียกถึงภัยที่จะมาถึงตัว พลันหันหลังออกวิ่งหนีไปจากที่ เกิดเหตุในทันที

เยี่ยฉวนไม่ได้ออกติดตาม คงปล่อยให้เจ้าคนหนีวิ่งจากไปโดยอิสระเป็นแน่แท้ อีกทั้งชายหนุ่มยังหันหลังเดินกลับไปหาน้องสาวตัวน้อย แต่ถึงกระนั้นกระบี่ในมือกลับสะบัดออกจากที่ พลันมีเสียงคมกระบี่ฟาดฟันเข้ากับวัตถุทางเบื้องหลัง… จากที่ห่างไปนับสิบจั้ง !!

ฉัวะ !

กระบี่สะบัดวาบที่ศีรษะของศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่คนสุดท้าย ! เกิดโลหิตฟอดฟองละอองฝอยทั่วฟ้า ขณะเดียวกันกับที่กระบี่เบนทิศทางหวนคืนสู่เยี่ยฉวน ! ชายหนุ่มยกมือข้างขวารับด้ามกระบี่ ขณะที่มือข้างซ้ายฉวยมือน้องขึ้นมาจูง “พวกเรากลับไปทำกับข้าวกัน !”

จากนั้นพี่ชายและน้องสาวพากันจูงมือกันเดินเอื่อย ๆ กลับขึ้นเขาไป ท่ามกลางสายตาตกละลึงต่อเหตุการณ์ของคนทั้งหมด

กลุ่มคนที่เชิงเขาเงียบกริบ ด้วยไม่หายงงงันต่อสิ่งที่เกิดขึ้น “พวกเขาตายหมดเลยเหรอ ?”

“ตายหมดไม่เหลือเพียงพริบตาเดียวเนี่ยนะ ?” ในที่สุดคนที่เริ่มคืนสติจึงเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ

กว่าที่คนอื่นจะหายจากอาการตะลึงงัน เยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงก็ได้หายลับไปจากสายตาเสียแล้ว !

“นี่เอง ผู้ฝึกกระบี่… เยี่ยมยอดเหลือเกิน !!”

“เมื่อก่อนสถานศึกษาฉางมู่ปฏิเสธรับคนผู้นี้เป็นศิษย์… พวกคนฉางมู่ตาถั่วสิ้นดี จึงมองไม่เห็นความ สามารถของคนคนนี้ !” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“เหอะตาถั่วยังไง ? ข้าว่างี่เง่าต่างหาก… ในแคว้นเจียงเวลานี้คงมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่ว เท่านั้น จึงคู่ควรประมือกับเยี่ยฉวน…” อีกคนย้อนให้

“แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นสหายสนิทสนมกับผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่วเสียด้วยซี… เฮ้ย ข้าเคยบอกเจ้า ไม่ใช่เหรอ ว่าที่ผู้เยี่ยมยุทธ์อันยอมรับในตัวคนผู้นี้ ย่อมแสดงว่าเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ จริงไหม ? ทีนี้เห็นหรือ ยังว่า ข้าพูดถูก…”

“จะบ้าหรือไง ! ข้าจำได้ว่าเจ้าน่ะแหละเป็นคนบอกข้าเอง ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์อันตัดสินใจผิดที่คิดเช่นนั้น แถมยังพูดอีกว่าเยี่ยฉวนไม่มีอะไรที่คู่ควรกับนางสักนิด !”

“…”

หลังจากนั้นข่าวเยี่ยฉวนสังหารสามศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่จากต่างแคว้น ก็ได้แพร่สะพัดไปใน เมืองหลวงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าโรคระบาด !

ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในเมืองหลวงราวถูกปลุกให้ลุกฮือ เพราะคนที่เยี่ยฉวนสังหารไม่ได้เป็นแค่ ศิษย์แห่งฉางมู่ ทว่าคนพวกนั้นมาจากแคว้นถัง การที่เยี่ยฉวนสังหารคนสามคนภายในเวลาอันรวดเร็ว จึงทำให้ความรู้สึกของผู้คนมีทั้งปลื้มใจทั้งสะใจปนเปกันไป

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset