หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 154 เขามาแล้ว ! (ปลาย)

บทที่ 154 เขามาแล้ว ! (ปลาย)

กลายเป็นว่าเวลานี้หลายคนเริ่มรู้สึกผิดหวังในพฤติกรรมของสถานศึกษาฉางมู่ ! เมื่อก่อน ไม่ว่าจะเกิดความขัดแย้งหรือมีการประลองกันระหว่างสองสถานศึกษาอย่างไรก็แล้วแต่ ล้วนเป็นเรื่องภายในแคว้นเจียง

แต่ครั้งนี้ในเมื่อสถานศึกษาฉางมู่ร้องขอความช่วยเหลือจากต่างแคว้นจึงย่อมรวมถึงแคว้นถังด้วย ! แต่แม้ว่าหลายคนรู้สึกผิดหวังต่อฉางมู่ ทว่าไม่มีใครกล้าออกโรงเปิดฉากโจมตี ! ด้วยไม่มีใครกล้าปะทะสถาบันยิ่ง ใหญ่เช่นนี้ !

อีกปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นทว่าจะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย คือ ณ เชิงเขาที่ตั้งของสถานศึกษาฉางหลานทุกวันจะมีผู้คนมาออกันแน่นบริเวณเชิงเขา โดยมากเป็นกลุ่มสตรีด้วยพวกนางตั้งใจรอพบใครบางคน…

ณ สถานศึกษาฉางมู่ !

ภายในห้องโถง ที่โต๊ะซึ่งมีหลี่เสวียนชางนั่งเป็นประธาน ได้มีส่วนบรรดาคณาจารย์และศิษย์อาวุโสแห่ง ฉางมู่นั่งรองลงมา ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลสำคัญซึ่งมีพลังกล้าแกร่งของสถานศึกษาฉางมู่ !

หลี่เสวียนชางพูดเสียงเยือกเย็น “ศิษย์ทั้งสามแห่งแคว้นถังล้วนเป็นขั้นทะยานสวรรค์ แต่ไม่อาจต้านแม้ เพียงหนึ่งกระบี่ของเยี่ยฉวนได้ พวกเจ้าจะว่าอย่างไร ?”

ทั่วโถงไร้เสียงตอบกลับ ทุกคนล้วนสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าได้แต่นิ่งงัน !

ใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “คนจากแคว้นถัง ฝีมือไม่ได้เหนือกว่าเฟินเจี้ยแต่ก็ใช่ว่าด้อยกว่า ! ถึงอย่างนั้น พวกมันไม่อาจต้านรับหนึ่งกระบี่ของเยี่ยฉวน !”

“ทั้งหมดตายลงในเวลารวดเร็วยิ่งนัก !”

“แต่เยี่ยฉวนมันมีพลังแค่ขั้นหลอมรวมลมปราณเท่านั้นนะขอรับ !”

“เยี่ยฉวนมิได้ประมือข้ามขั้นพลังเพียงประการเดียว แต่เขาสังหารได้แม้กระทั่งคนที่มีขั้นพลังห่างกันถึงสองขั้นทีเดียว !”

ถึงตอนนี้ทั้งห้องโถงพลันเกิดความเงียบขึ้นอีกครา ต่อมาชายชราผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน “ตามความเห็นของข้าชายคนนี้พลังกล้าแกร่งเป็นรองเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่ว ข้าอยากแนะนำให้ท่านส่งข่าวแก่ศิษย์อื่นว่าไม่ควรเข้าประลองกับคนผู้นี้โดยพละการ มิฉะนั้นแล้วจะพานตายกันหมดไม่เหลือ…”

“เหตุใดต้องส่งข่าว ?” หลี่เสวียนชางถามเสียงเรียบ “ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาประลองนั่นล่ะ !”

ทุกคนหันมามองคนพูดสายตาส่อแววพิศวงงงงัน !

คนเป็นประธานพูดต่อว่า “ยิ่งมันฆ่าคนไปมากเท่าไร ยิ่งเพิ่มศัตรูมากขึ้นเท่านั้น ทั้งแผ่นดินชิงมีสาขา ของสถานศึกษาฉางมู่ถึง 72 แห่ง ให้มันได้ประลองกับสาขาทั้งหมดนั่นแหละ !”

อาศัยกองกำลังจากภายนอกกำจัดเยี่ยฉวน ! คนในห้องโถงถึงจะนิ่งฟังเฉยทว่าพวกเขามิใช่คนโง่ บัดนี้ต่างเข้าใจในความนัยของคนพูดแล้ว !

หลี่เสวียนชางพูดจบจึงหลับตาลง นับตั้งแต่สิ้นเฟินเจี้ย ฉางมู่จึงเหลือเพียงเป่ยเฉินที่เป็นกำลังหลักของ คนรุ่นใหม่แห่งแคว้นเจียง ! แต่เป่ยเฉินคนเดียวไม่สามารถปกป้องฉางมู่ให้อยู่รอดปลอดภัยได้ตลอดหรอก !

หากไม่สามารถส่งยอดฝีมือให้กับสำนักงานใหญ่ของสถานศึกษาฉางมู่ที่ตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจ กลางแผ่นดินใหญ่ ที่นี่จะต้องถูกระงับความช่วยเหลือด้วยประการทั้งปวง เมื่อถึงตอนนั้นสถานศึกษาฉางมู่ที่นี่ คงถึงกาลต้องล่มสลายเป็นแน่ !

ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าที่นี่ได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานใหญ่ทุกปี ไม่ว่าจะเป็น คัมภีร์หรือทักษะยุทธ์ และแม้แต่ศาสตราวุธจิตวิญญาณ… แต่ของล้ำค่าเหล่านี้ต้องแลกด้วยการส่งคนที่เป็นยอดอัจฉริยะและยอดคนให้กับสำนักงานใหญ่ !

ยอดฝีมือ ! หรือว่าในยุคนี้ ยอดฝีมือต่างหากจึงเป็นที่ต้องการ ?! นอกเหนือของล้ำค่า ยอดฝีมือ กลายเป็นความปรารถนาอย่างยิ่งเสียแล้ว !

แน่นอนว่า สถานศึกษาฉางมู่ ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ ต่างมีศัตรูมุ่งร้ายเช่นกัน ด้วย เหตุนี้ที่นั่นจึงต้องสั่งสมกองกำลังด้วยการดึงคนที่เป็นยอดฝีมือจากที่ต่าง ๆ!

ในตอนนี้สถานะของสถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียงเกิดความสั่นคลอน หากเทียบกับฉางมู่สาขาอื่น ที่นี่ตกต่ำแทบอยู่รั้งท้ายไร้อันดับ จึงไม่มีเวลาจะมัวสรรหายอดอัจฉริยะคนใหม่อีกแล้ว ทางเดียวก็คือทำให้ยอดอัจฉริยะของที่อื่นลดน้อยถอยลงด้วยเช่นกัน !

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างศัตรูให้กับสถานศึกษาฉางหลานเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ยอดอัจฉริยะของสถานศึกษา ฉางมู่ลดลงไปในเวลาเดียวกัน หากใครก็ตามที่สามารถเด็ดหัวเยี่ยฉวนได้ ย่อมเป็นทั้งข่าวใหญ่และข่าวดีสำหรับพวกเขาที่นี่ ! อีกไม่นานหรอก พวกเขาจะได้เป็นผู้นั่งชมสองฝ่ายห้ำหั่นกันบ้าง !

เยี่ยฉวน !

คิดถึงชื่อคนผู้นี้ สีหน้าของหลี่เสวียนชางพลันแปรเปลี่ยนหม่นมัว ด้วยสถานศึกษาฉางมู่ต้องรันทดหดหู่ เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่งเมื่อครานั้น !

อันที่จริงเรื่องราวไม่ควรบานปลายกลายเป็นแบบนี้ ที่น่าสลดใจยิ่งกว่าอะไร เมื่อแรกทีเดียวเยี่ยฉวนต้องการเข้าเป็นศิษย์แห่งฉางมู่ ! ถ้าตอนนี้ฉางมู่รับเขาไว้เป็นศิษย์ สถานศึกษาฉางหลานจะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก เช่นที่เป็นอยู่เด็ดขาด !

ทว่าเวลานี้ อนาคตของฉางมู่พลอยดับวูบไปกับเยี่ยฉวนที่ฉางหลานเสียนี่ ! ถือว่าชะตากรรมไร้ปราณี ยิ่งนัก !

หลี่เสวียนชางพลันเอ่ยขึ้น “ประกาศคำสั่งของข้าออกไป ใครก็ตามที่สามารถกำจัดเยี่ยฉวนได้ ข้าจะตบ รางวัลอย่างงาม เป็นทักษะยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีสองวิชา คัมภีร์ฝึกยุทธ์ขั้นปฐพีสองเล่ม และสุดยอดศิลาแฝง พลังหนึ่งล้านชิ้น ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังจะส่งมันผู้นั้นไปฝึกฝนพลังปราณในสถานที่แห่งความลับของแคว้นเจียงด้วย !”

ขาดคำของอาจารย์ใหญ่ ทุกคนต่างอ้าปากค้างตะลึงลาน ! ทักษะยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีสองวิชา ! คัมภีร์ ฝึกยุทธ์ขั้นปฐพีสองเล่ม ! กับศิลาแฝงพลังหนึ่งล้านชิ้น !

รางวัลมูลค่ามหาศาล ! รางวัลที่มีมูลค่าสูงขนาดนี้ เท่ากับค่าหัวของคนในขั้นผสานเทพทีเดียว !

แต่เยี่ยฉวน ขั้นพลังเพียงหลอมรวมลมปราณเท่านั้น !

ชายชราในห้องโถงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “อาจารย์ใหญ่ ท่านตั้งรางวัลไม่มากไปหรือขอรับ ?”

“มากไปงั้นหรือ ?” เขาปรายตามองคนถาม ก่อนตอบน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าเยี่ยฉวนมันไม่ตาย อีกหน่อยมันจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของฉางมู่ ! ในเวลาเช่นนี้ ฉางมู่ทุกคนต้องร่วมใจกันหาทางกำจัดคนผู้นี้ โดยไม่ต้องลังเลใจ ! หาไม่แล้ว พวกเรานี่แหละที่ต้องตายอย่างอนาถ”

ถ้าฉางมู่ไม่สามารถทำให้ยอดอัจฉริยะอยู่เคียงข้าง ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือกำจัดเสีย ! อย่าว่าแต่ เยี่ยฉวน ยอดอัจริยะแห่งสถานศึกษาฉางหลานไรนั่น !

เจตนาของหลี่เสวียนชางไม่ต้องการมีศัตรูเป็นผู้ฝึกกระบี่ ซึ่งจะกลายเป็นเซียนกระบี่และจ้าวกระบี่ใน ภายหน้า !

เซียนกระบี่! จ้าวกระบี่ !

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใบหน้าของอาจารย์ใหญ่หลี่เสวียนชางยิ่งหมองคล้ำลงกว่าเดิม

พลันปรากฏร่างของชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทางรีบร้อน “อาจารย์ใหญ่ขอรับ เยี่ย ฉวน… เขา เขามาแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้นทุกคนไม่เว้นอาจารย์ใหญ่ ต่างคนมองหน้ากันสีหน้าฉงนฉงาย ! “ว่าไงนะ เยี่ยฉวนมาที่นี่ยังงั้นหรือ ?”

ณ ปากทางขึ้นเขาฉางซาน ร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกระบี่ในมือ ไม่ไกลจากชายหนุ่มมีกลุ่มศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ยืนออรวมกัน แต่ละคนท่าทางตื่นเต้นตกใจ

ชายหนุ่มเหลือบมองกลุ่มศิษย์ฉางมู่ “อย่าทำหน้ามุ่ยอย่างนั้นสิ ข้าแค่จะมาฝึกคัดลายมือแถวนี้สักเดี๋ยวเท่านั้น !”

สิ้นเสียง เขาบิดหมุนข้อมือกวัดแกว่งกระบี่ยาว ในไม่ช้า บนพื้นดินเบื้องหน้าปรากฏตัวอักษรขนาด ใหญ่ อ่านได้ความว่า ‘ถ้ากล้าจริง ก็จงเอาชนะข้า ! เข้ามาเอาชนะข้า !’

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset