หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 156 หามีผู้กล้าสักคนไม่ ! (ปลาย)

บทที่ 156 หามีผู้กล้าสักคนไม่ ! (ปลาย)

เยี่ยฉวนได้แต่ยิ้ม พลันยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กหญิงตรงหน้าอย่างเผลอไผล การสัมผัสนั้นเป็นไปโดยคุ้นชิน หรือจะพูดว่าเป็นไปตามธรรมชาติเพราะเขาก็ชอบลูบศีรษะเยี่ยหลิงแบบเดียวกันนี้ !

ทว่าเด็กน้อยตรงหน้าพลันหันขวับมาจ้องมองเขาด้วยสายตาเช่นเดิมเมื่อแรกเห็น ! ความรู้สึกกังวล อย่างประหลาดหวนกลับมา ซึ่งเขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าคืออะไรจึงได้แต่ข่มสติอารมณ์ให้เย็นลง !

เมื่อเด็กหญิงในชุดดำหันกลับไปพิจารณาไม้แกะสลักในมือ เยี่ยฉวนจึงค่อยโล่งใจขึ้นบ้างเล็กน้อย เขาลอบชำเลืองเด็กหญิงที่กำลังก้มหน้าก้มตา ถึงกระนั้นก็ไม่ปรากฏกระแสแห่งขั้นพลังใดออกมาจากร่างเล็ก ๆ นั้น ดูอย่างไรนางเป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่งอยู่วันยังค่ำ !

เยี่ยฉวนชะงักไปเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจพูดออกไป “แม่หนูน้อย เจ้าเป็นคนที่มีขั้นพลังสูงส่ง ชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่งใช่หรือไม่ ?” เด็กหญิงเงยหน้ามอง แต่ไม่พูดตอบ

ชายหนุ่มยกมุมปากนิดหนึ่ง เขาเหลือบตามองอย่างชั่งใจก่อนจะก้มลงพูดเสียงกระซิบ “ข้ามีความลับ จะบอก !” คนฟังยังคงจ้องเขม็งดุจเดิม แน่นอนว่าไม่มีการโต้ตอบออกจากปาก

เย้ฉวนพลันพลิกข้อมือเบา ๆ กระบี่หลิงซิ่วปรากฏออกบนฝ่ามือ สายตาของเด็กหญิงเปลี่ยนไปมอง กระบี่หลิงซิ่วด้วยแววตาไร้ความวูบไหว

เยี่ยฉวนชี้นิ้วเข้าที่หน้าอกตนเองพร้อมพูดด้วยสุ่มเสียงทำว่าเป็นเรื่องลึกลับ “ข้าคือผู้ฝึกกระบี่ เป็นยอดผู้ฝึกกระบี่ด้วยนา เจ๋งไหมล่ะ ?” เด็กหญิงชุดดำทำตาปริบ ๆ สีหน้าพิกล

เยี่ยฉวนได้แต่อ่อนใจ ยกมือลูบศีรษะเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าก่อนจะพูดว่า “ข้ามีธุระต้องไปทำแล้ว ไป ก่อนล่ะนะ” หลังจากนั้นจึงหันหลังเดินดุ่มออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวร่างของเยี่ยฉวนพลันหายลับไปจากสายตาของเด็กหญิง

ในตอนนั้นเด็กหญิงเบนสายตากลับมามองไม้แกะสลักในมืออีกครั้ง พลันนางหันมองไปทางนกขา เดียวซึ่งเกาะอยู่ไม่ไกล “เจ้ารู้สึกอะไรบ้างหรือไม่ ?” นกขาเดียวส่ายหัวช้า ๆ

เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเงยหน้ามองเหม่อออกไปที่ขอบฟ้าไกลแสนไกล หัวคิ้วเรียวโค้งขมวดมุ่น “เซียน กระบี่ปรากฏตัวในแคว้นเจียง ทว่าผู้พิทักษ์แห่งเต๋ากลับไม่รู้ไม่เห็น พิกลนัก…”

เมื่อวาจาสิ้นสุดเหมือนนางจะนึกถึงบางอย่างได้ทันควัน พลันหันไปทางที่เยี่ยฉวนเพิ่งจากไป ณ ที่ปลายสุดถนนไร้ซึ่งเงาของเยี่ยฉวน ถึงกระนั้นเด็กหญิงชุดดำยังสามารถมองเห็นคนที่กำลังสาวเท้าเดินห่างออกไป ไกลลิบ !”

“คนผู้นี้บังอาจทำให้ท่านขุ่นเคือง นายท่าน ข้าจะไปจัดการมันเอง !” สิ้นเสียงพูด นกสีดำทำท่าโผบิน ขึ้นสู่อากาศ แต่เด็กหญิงกลับเอื้อมมือออกไปดึงรั้งร่างนกน้อยนั้นไว้ และประคองเจ้านกขาเดียวไว้บนฝ่ามือ !

เด็กน้อยพูดเสียงแผ่วต่ำ “คนคนนี้มีกระบี่ใจกระจ่าง เขาเปรียบเสมือนเพชรที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียรนัย ไม่มีอะไรจะทำอันตรายเขาได้ คงต้องปล่อยให้เขาได้พัฒนาฝีมือไปก่อน ตราบนี้ไปเมื่อเขายังมีกระบี่ใจกระจ่าง เจ้าควรช่วยเหลือในการฝึกฝนให้แก่เขา อย่างน้อยเพื่อแผ่นดินชิงจะได้มียอดฝีมือเพิ่มขึ้นอีกคน” จากนั้นคนพูดหันหลังและก้าวออกจากสถานที่ไป

น่าประหลาดที่การก้าวเพียงหนึ่งก้าว กลับทำให้ร่างน้อยห่างออกไปไกล

เยี่ยฉวนเดินดุ่ม ๆ จนกระทั่งมาถึงเชิงเขาที่ตั้งของสถานศึกษาฉางหลาน เมื่อเห็นคนที่ปรากฏกาย ชายหญิงกลุ่มหนึ่งพลันตรงเข้าห้อมล้อมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหญิงสาว ต่างส่งเสียงยั่วยวนล้อมหน้าล้อมหลังวุ่นวาย ยิ่งนัก

“คุณชายเยี่ย…” เสียงหวีดแหลม สาวน้อยนางหนึ่งถลันเข้าขวางหน้าพร้อมกับย่อตัวคารวะทักทาย “ข้าชื่ออี้หลิน เป็นผู้สืบทอดตระกูลอี้ วันนี้ที่บ้านข้ามีงานเลี้ยงเป็นการภายใน จึงอยากขอเชิญคุณชายเยี่ยให้มา…”

ยังไม่ทันจบประโยค เสียงของบุรุษดังขัดจังหวะ “คุณชายเยี่ย ข้าอยากสมัครเป็นศิษย์ฉางหลานด้วยคนท่านกรุณา…”

“คุณชายเยี่ย ท่านเป็นยอดผู้ฝึกกระบี่แล้วจริงหรือขอรับ ?”

“คารวะคุณชายเยี่ย… เป็นผู้ฝึกกระบี่จริงหรือ ? ช่วยแสดงให้พวกเราชมเป็นขวัญตาสักกระบวน ท่าได้ไหมเจ้าคะ ?” เสียงของสตรีดังสวนขึ้นทันควัน

เยี่ยฉวนยืนเกาหัวแกรกทำตัวไม่ถูก ที่สุดก็ตัดสินใจเดินจ้ำพรวด ๆ หนีอย่างรวดเร็ว

เมื่อรอดชีวิตกลับขึ้นมาบนเขาได้สำเร็จ เขาจึงเดินเลยไปที่น้ำตก ที่ซึ่งไป่เจ๋อกำลังบากบั่นพากเพียรฝึกฝนอย่างหนัก จนตอนนี้ร่างใหญ่โตของเขาปรากฏสีแดงแวววาวอยู่ทั่วร่าง !

ทันใดนั้นเมื่อสายตาของคนตัวใหญ่หันมาปะทะกับเยี่ยฉวน “ทำ… ไม… เจ้า… ไม่… ฝึก… ฝน? ” น้ำเสียงกังวานสั่นเทิ้มยิ่ง !

คนถูกถามสีหน้าเคร่งขริมจริงจัง “โดยปกติแล้ว พวกอัจฉริยะเขาไม่ต้องฝึกฝนอะไรมากมาย ดูข้านี่เป็นตัวอย่าง”

ได้ยินพูดเข้า ไป่เจ๋อชักรำคาญ “ถ้า… งั้น… ก็… ไป… ให้… ไกล… เลย !”

โดนไล่ตะเพิดเช่นนี้ เยี่ยฉวนจึงยักไหล่พลางเบ้ปากเยาะหยัน ฉับพลันกระแสลมรุนแรงพุ่งปะทะทาง ด้านข้าง !

เขาหมุนตัวพร้อมกับกระแทกหมัดออกด้วยสัญชาตญาณ

ผัวะ !

ร่างหนึ่งผงะหงาย ยังไม่ทันตั้งตัวพลันลำแสงสว่างวาบลงเบื้องหน้าเยี่ยฉวน !

เขาถอยหลังเบี่ยงหลบลำแสงที่พุ่งปะทะ ! ขณะเดียวกันภาพปรากฏเบื้องหน้าเกิดการบิดเบือน เมื่อไม้ เท้ายาวสีดำฟาดเปรี้ยงจากด้านบน เล็งที่หมายไว้ ณ กึ่งกลางศีรษะ !

ด้วยปฏิกิริยาตอบโต้ หมัดข้างขวาของชายหนุ่มกำเข้าหากันแน่นในฉับพลันนั้น !

เปรี้ยง !

พลังแห่งหมัดทลายภูผาแผ่ซ่านจากกาย ออกสกัดกั้นพลังปะทะของไม้เท้าทันท่วงที !

เยี่ยฉวนไม่รีรอ เขาผลักออกหมัดตรงสู่เป้าหมาย ! เกิดพลังต้านทานผลักร่างหนึ่งกระเด็นไปไกลหลายจั้ง !

คนที่กระเด็นคือโม่อวิ๋นฉี ! เมื่อเขาตั้งตัวได้ สายตาพลันจ้องจับอยู่ที่เยี่ยฉวน “พลังหมัดรุนแรงขึ้นได้ยัง ไงกัน ?”

ทว่าไร้เสียงตอบจากเยี่ยฉวน ด้วยพลันร่างของเขาเลือนหายไปจากจุดที่ยืน

โม่อวิ๋นฉีเห็นเช่นนั้น จึงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาแตะปลายเท้าลงบนพื้นดินก่อนผลักดันร่างของ ตนห่างไปจากที่เดิมอีกหลายจั้ง ในขณะเดียวกัน มีดบินเล่มหนึ่งก็ได้ปลิวหวืดออกไปกลางอากาศ !

มีดบินพุ่งออกด้วยความรวดเร็ว !

เยี่ยฉวนถูกพลังบังคับให้หยุดนิ่ง ทว่ามิทันหยุดสนิท มีดบินเล่มหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาตรงหน้าเสียแล้ว !

ชั่วขณะที่เสียงกระบี่ก้องสะท้าน กระบี่บินพลันพุ่งเข้าปะทะมีดบินกลางอากาศ

ชิ้ง !

ผลุ่บ !

มีดบินเหวี่ยงกลับสู่โม่อวิ๋นฉีเจ้าของมัน

โม่อวิ๋นฉียิ้มมุมปาก “ไงล่ะมีดบินของข้า น่าตกใจพอหรือไม่ ?”

เยี่ยหฉวนทำหน้าตื่น ขณะที่เบนสายตาไปเบื้องหลังของโม่อวิ๋นฉี “อาจารย์ใหญ่จี้ ?”

อีกฝ่ายหันขวับไปทันที ทว่ากลับไร้วี่แววผู้ใดทั้งสิ้น ! “บัดซบเอ๋ย ซวยล่ะ !”

หน้าถอดสีตาเหลือก หันขวับมา ทว่าเสี้ยววินาทีนั้น…

ผัวะ !

เสียงวัตถุบางอย่างปะทะกันดังลั่น ฉับพลันร่างของโม่อวิ๋นฉีกระเด็นออกไปในอากาศนับหลายสิบจั้ง กว่าจะตกกระแทกพื้นดินอย่างแรง !

เขาค่อยคลานขึ้นมาจากพื้นดินสีหน้าโกรธจัด “ไอ้เยี่ยฉวน ไอ้ลูกแมว ! เล่นสกปรกยังงี้ สมควรเหรอไง ?!”

เยี่ยฉวนหน้าเหลอหลา ปากเอ่ยตอบแบบกวน ๆ กลับไป “เจ้าก็หลอกข้าบ้างสิ ! เอาเลย เอาสิ บอกมา ใครอยู่หลังข้า !” พลางลอยหน้าลอยตาเยาะเย้ย

หลังได้ยินเช่นนั้น โม่อวิ๋นฉีก็ยัวะจัดจนแทบกระอักเลือด “ไอ้เวร…”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset