หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 157 พบเจอศิษย์ฉางมู่ที่ไหนจะเก็บให้เรียบ ! (ต้น)

บทที่ 157 พบเจอศิษย์ฉางมู่ที่ไหนจะเก็บให้เรียบ ! (ต้น)

เยี่ยฉวนยักไหล่อย่างไม่แยแส จากนั้นจึงหันหลังกลับ

โม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อหันมองหน้า เสียงฝ่ายแรกบ่นพึม “ช่างหน้าด้านเสียจริง ทำได้ยังไงกัน ?” ไป๋เจ๋อ เคร่งขรึมพยักหน้าเออออ

โม่อวิ๋นฉีเลียนแบบ ลอยหน้าพยักเพยิดบ้าง “ในชีวิตข้า ไม่เคยเจอใครหน้าด้านแบบหมอนี่เลย !”

จู่ ๆ ไป๋เจ๋อพลันถามกลับ “มัวแต่ว่าคนอื่น เจ้าฝึกเสร็จแล้วงั้นสิ ?” ได้ยินเท่านั้น คนถูกถามถึงกับ สะดุ้งเฮือกหันมาค้อนควัก วินาทีถัดมาก็หายจากสถานที่ไปไกลแล้ว

ที่ลานหญ้า

อาจารย์ใหญ่จี้กำลังนั่งโงนเงนด้วยเมาสุราบนม้านั่ง เยี่ยฉวนที่เดินเข้ามาจึงหยุดยืนมองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงดังฟังชัด “อาจารย์ใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากคุยด้วยขอรับ !”

อาจารย์หรี่ตาปรือขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อเห็นเยี่ยฉวนจึงตอบ “ว่าไป !” เยี่ยฉวนนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนโพล่งขึ้นว่า “ข้าอยากเร่งบรรลุขั้นพลังทะยานสวรรค์เร็ว ๆ ขอรับ !”

ขั้นทะยานสวรรค์ ! เขาติดอยู่ในที่ขั้นหลอมรวมลมปราณมาพักใหญ่ไม่ขยับไปไหนสักที จนเวลานี้ตนเอง รู้สึกถึงพลังหลอมรวมลมปราณเต็มพิกัด พร้อมจะทะยานสู่ขั้นทะยานสวรรค์ทุกเมื่อ !

ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเร่งขั้นตอนเพื่อบรรลุทะยานสวรรค์ได้เหมือนคนอื่น ! เพราะว่าเขาจะ ต้องหากระบี่จิตวิญญาณให้พบ ! บางทีอาจใช้อีกเพียงกระบี่เดียวเท่านั้น !

และเมื่อขึ้นสู่ขั้นทะยานสวรรค์ แน่นอนว่าความกล้าแกร่งย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และที่สำคัญใน ขั้นนี้เขาสามารถทะยานเวหา เมื่อถึงตอนนั้นอาจผนวกพลังเข้ากับกระบี่ ถ้าเขาสามารถควบคุมกระบี่ได้แล้ว !

ควบคุมกระบี่เหินเวหา !  ตอนนี้เยี่ยฉวนควบคุมกระบี่ได้ แต่ยังไม่สามารถใช้กระบี่เหินเวหาได้

น่าเสียดาย !

อาจารย์ใหญ่นิ่งฟังพลางพยักหน้าเนิบ ๆ “นับเป็นเรื่องดีอยู่ ที่เจ้าคิดอยากเร่งรัดสู่ขั้นพลังทะยาน สวรรค์ !”

เยี่ยฉวนเห็นอาจารย์สนับสนุน เขาได้ทีจึงรีบเสริมขึ้นว่า “พลังภายในของข้ายามนี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เท่านั้น ข้าจึงอยากเสาะหากระบี่จิตวิญญาณเพิ่มเติมเพื่อเร่งรัดการบรรลุขั้นพลังทะยานสวรรค์ เอ้อ… อาจารย์ ใหญ่จี้ท่านซื้อกระบี่จิตวิญญาณให้ข้าสักสิบยี่สิบอันนะขอรับ เอ๋… อาจารย์ใหญ่ ! ตื่น ๆ อย่าเพิ่งหลับสิขอรับ ! ปั๊ดโธ่ แล้วกันสิโว้ย… !!”

ชายหนุ่มยืนมองอาจารย์ใหญ่ที่ล้มแผละฟุบลงไปนอนบนม้านั่งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พยายามเขย่าปลุก เท่าไรคนเมาก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น !

เมื่อเห็นว่าอาจารย์แกล้งหลับแถมปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น เยี่ยฉวนชักเคืองขึ้นมาตะหงิด ๆ คิดใช้กระบี่ฟัน คนหลับไม่รู้ตื่นสักฉับสองฉับท่าจะดี แต่พอนึกถึงพลังกล้าแกร่งของอาจารย์ใหญ่ จึงทำได้แค่เก็บความคิดไว้ในใจเท่านั้น…

เยี่ยฉวนรู้สึกเซ็งในอารมณ์ คิดไม่ตกว่าจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร ครั้นหันหลังกลับจึงพบว่าที่ประตู ทางเข้าลานหญ้า มีร่างของสตรีคนหนึ่งยืนมองตรงมา… จี้อันซื่อ !

จี้อันซื่อสบตาเยี่ยฉวน พลางเอ่ยขึ้นว่า “ตามข้ามา !”

ว่าแล้วก็หันหลังเดินย้อนไปตามทาง เยี่ยฉวนมองด้วยสีหน้างงงัน หันกลับมาทางคนที่นอนเกียจคร้าน เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาพลางถอนใจเฮือก

“หมดสภาพ !” จากนั้นรีบจ้ำตามจี้อันซื่อไป

หญิงสาวเดินนำเยี่ยฉวนไปทางด้านหลังภูเขา ทันทีที่เลี้ยวลับเหลี่ยมเขา จึงมองเห็นหอขนาดเล็กสอง หลัง รอบบริเวณหอทั้งสองรกครึ้มด้วยต้นวัชพืชสูงท่วมศีรษะผู้ใหญ่ สภาพชวนให้เกิดความรู้สึกหดหู่ในใจยิ่งนัก !

จี้อันซื่อเดินนำเยี่ยฉวนตรงไปยังหอหลังเล็กหลังหนึ่ง เมื่อไปถึงด้านหน้าชายหนุ่มสังเกตเห็นตัวอักษร ขนาดใหญ่ติดไว้ด้านบน  ‘หอทักษะยุทธ์ !’ เสียงหญิงสาวพึมพำบอกเบา ๆ “ที่นี่เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของ สถานศึกษาฉางหลาน”

เยี่ยฉวนเพ่งมองอาคารตรงหน้าอย่างพิจารณา “ที่นี่มีของล้ำค่าอย่างนั้นหรือ ?” คนเดินนำหันมามอง สายตามีแววครุ่นคิด “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก !”

ชายหนุ่มกรอกนัยน์ตา ปากก็พูดว่า “ข้ารู้แค่ว่าฉางหลานของเราฐานะยากจนแค่ไหน เงินจะซื้อข้าวยังแทบไม่มี”

หลังจากเงียบไปอึดใจ เสียงจี้อันซื่อพึมพำพอให้ได้ยินอีกว่า “ครั้งหนึ่งฉางหลานเคยรุ่งโรจน์… รุ่งโรจน์ เสียยิ่งกว่าสถานศึกษาฉางมู่ในตอนนี้เสียอีก !”

เยี่ยฉวนย้อนถามทันควัน “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ ?”

ฝ่ายหญิงสั่นศรีษะน้อย ๆ “เพราะความผยองจนขาดสติ !”

“ผยองจนขาดสติ ยังไง ?” สีหน้าของเยี่ยฉวนงุนงงสงสัย

เสียงคนตอบแผ่วเบาแทบกระซิบ “เมื่อฐานะยิ่งสูง อำนาจยิ่งมาก เช่นเดียวกับฉางหลานในเวลานั้น แม้แต่คนในวังหลวงยังต้องรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือคำชี้แนะของพวกเรา คนของฉางหลานในเวลานั้นพูด ได้ว่าเป็นตัวอย่างของคนที่ทะนงตนจนหลงลืมตัวเอง ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ในเมื่อพวกเราเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมก่อให้เกิดความขุ่นเคืองกับคนอีกมากมาย แต่พวกเราก็ไม่มีใครสนใจ กระทั่งวันหนึ่งวันที่ศิษย์คนสำคัญแห่งฉางหลานจากไป…”

จู่ ๆ เสียงพูดเงียบลง นางหันมามองเยี่ยฉวนก่อนพูดต่อว่า “ศิษย์ผู้เปรียบเสมือนตำนานแห่งฉางหลาน กู้เฉียนเฉิง ที่จริงแล้วเขาเป็นศิษย์ฉางหลาน !”

คนฟังทำหน้าเหวอ “เหตุใดตอนนี้เขาจึงไปอยู่กับฉางมู่ ?”

จี้อันซื่อสั่นศีรษะน้อย ๆ “เป็นเพราะเขาถูกบังคับ !” กล่าวจบคนพูดก้าวเท้าตรงเข้าไปภายในอาคารหอทักษะยุทธ์ “แต่ไม่ว่าจะอำนาจหรือบุคคลเมื่อขึ้นสู่จุดที่สูงก็อาจหลงลืมความเป็นตนเอง คนที่หลงใหลได้ปลื้ม ไปกับคำเยินยอจึงมักลืมตัว ในกรณีอำนาจก็เช่นกัน ต่อมาพวกเราก็ได้รับบทเรียนอันแสนสาหัสจากความผยองจนขาดสติในอดีต !”

เสียงจี้อันซื่อหยุดลง นางหันกลับมามองเยี่ยฉวน “ในปีนั้น ศิษย์ของสองสถานศึกษาได้ปะทะกันอย่าง รุนแรงโดยบรรดาผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายถูกกันไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ศิษย์รุ่นใหม่ของสถานศึกษาฉางหลานเกือบทั้งหมดสิ้นชีวิตลงในเหตุการณ์ครั้งนั้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุก ๆ ปีจะมีศพของศิษย์แห่งฉางหลานถูกนำไปแขวนไว้บนเสาเรียงรายตลอดทางขึ้นยอดเขาฉางซานเพิ่มขึ้น ๆ”

เยี่ยฉวนนิ่งอึ้ง ! โลกแห่งความเป็นจริงมักโหดร้ายอย่างนี้เอง สมัยที่ยังอาศัยอยู่ที่เมืองชิง เพื่อช่วงชิง สิทธิในการครอบครองทรัพยากรล้ำค่าภายในโลกแคบ ๆ นั่น เยี่ยฉวนยังต้องต่อสู้แย่งชิง เสียเลือดเสียเนื้อไม่ เว้นวาย เมื่อมองภาพจุดจบน่าอนาถของสถานศึกษาฉางหลาน ทำให้เขานึกถึงคำพูดประโยคหนึ่ง สูงสุดคืนสู่ สามัญ !

สรรพสิ่งเมื่อทะยานถึงขีดสุดแล้ว ย่อมแปรเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือบุคคล เมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดและเย่อหยิ่งหลงตน ที่สุดก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง !

ดังนี้จึงเสมือนเครื่องเตือนใจกระแทกเข้ากลางดวงใจของเยี่ยฉวน เขาจึงตั้งมั่นในใจว่าต่อไปในภายหน้าไม่ว่าอนาคตจะดีร้ายอย่างไร จะไม่มีวันเป็นคนหยิ่งผยองลืมตัวเด็ดขาด !

เมื่อเดินเข้าไปภายใน เยี่ยฉวนจึงได้เห็นว่าบริเวณกลางหอโถงมีเสาตั้งตระหง่านจำนวนเก้าต้น เสาแต่ละต้นสูงลิบคะเนว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าสองจังเศษ ทั้งรอบเสาทุกต้นปรากฏอักขระที่ไม่รู้ความหมาย

หญิงสาวชี้มือไปยังเสาทั้งเก้ากลางหอโถง “เสาทั้งเก้าต้น พวกมันเคยเป็นมรดกล้ำค่าจากสำนักใหญ่ ของสถานศึกษาฉางหลานแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ ที่ส่งมายังที่แห่งนี้ทุกปี ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ที่ ต้องการบรรลุขั้นพลังจะต้องผ่านด่านเสาทั้งเก้าต้น…”

“ทว่านับตั้งแต่ฉางหลานถูกปฏิเสธความช่วยเหลือลงอย่างสิ้นเชิง ทางสำนักใหญ่ก็ได้มีคำสั่งยกเลิกสถานะของที่นี่ รวมทั้งไม่ปรากฏเสาแห่งมรดกล้ำค่าส่งมาอีกเลย” คนพูดเจือเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น “พวกเราคงถูกลืมไปเสียแล้ว !”

เยี่ยฉวนนิ่งอั้น เขารู้สึกคอหอยตีบตันไปหมด อันที่จริงฉางหลานจะมีอดีตความเป็นมาแต่หนหลังขมขื่น อย่างไร เยี่ยฉวนไม่ใส่ใจ สำหรับเขารู้เพียงว่าอาจารย์ใหญ่จี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเยี่ยหลิง และต้อนรับพวกเขาพี่น้อง ซึ่งกำลังลำบากเอาไว้เท่านั้น ! นี่นับเป็นหนี้บุญคุณที่เยี่ยฉวนต้องทดแทน ! เพราะเขาก็เหมือนคนอื่นทั่วไปที่ถือคติ บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ !

โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง จี้อันซื่อชักดาบออกมาและฟันฉับลงไปตรงหน้าบริเวณโคนเสาต้นหนึ่ง

ฉัวะ !

เสาถล่มครืนลงมา ทว่าเท่านั้นยังไม่พอ หญิงสาวตวัดแกว่งอาวุธอีกครั้ง ในที่สุดเสาทั้งเก้าต้นก็ได้ถล่มลงมากองบนพื้นทั้งหมด เมื่อเสาพังถล่มลงมาหมด กลับเผยให้เห็นหินแร่ขนาดใหญ่เก้าก้อนปรากฏแทนที่ภาย ในหอโถง

“หะ… หินอะไร ?” เยี่ยฉวนหน้าเหลอหลา

จี้อันซื่อตอบเสียงแห้ง “เหล่านี้คือหยกศิลาจิตวิญญาณ เป็นศิลาฐานรากของเสามรดกล้ำค่าทั้งเก้า แต่ละชิ้นมีราคาสูงเป็นของมีค่าที่สุดของเรา เจ้าจะนำไปขายและเอาเงินมาซื้อกระบี่จิตวิญญาณก็ย่อมได้ !”  พูด จบคนพูดพลันหันหลังกลับเดินออกจากหอทักษะยุทธ์ไปอย่างไม่เหลียวหลัง

ชายหนุ่มไม่ได้เดินตามนางออกไปทันที ทว่าเขายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ตาจ้องมองหยกศิลาจิตวิญญาณ ทั้งเก้าชิ้นเบื้องหน้าอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน เกือบครึ่งก้านธูป เยี่ยฉวนจึงรีบรุดลงจากภูเขา

ณ ลานหญ้า อาจารย์ใหญ่จี้ท่าทางหายเมาเป็นปลิดทิ้ง เขานั่งทอดถอนใจเฮือก ๆ “หลานเอ๋ย หยกศิลาพวกนั้นคือค่าสุราของปู่เลยนะจะบอกให้… เฮ้อ”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset