หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 158 พบเจอศิษย์ฉางมู่ที่ไหนจะเก็บให้เรียบ ! (ปลาย)

บทที่ 158 พบเจอศิษย์ฉางมู่ที่ไหนจะเก็บให้เรียบ ! (ปลาย)

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เยี่ยฉวนก็กำลังตรงดิ่งไปสำนักอัปสรเมรัย ! หอแห่งการค้าขายใหญ่ที่สุดของ เมืองหลวง ไม่ว่าต้องการซื้อหรือขายสิ่งใด มาที่นี่เถิดแล้วจะไม่ผิดหวัง !

ณ ถนนสายหนึ่ง เยี่ยฉวนนิ่งหยุดชะงักกับที่ด้วยเบื้องหน้ามีร่างของบุรุษยืนขวางอยู่กลางถนนห่างออกไป เขาสวมเสื้อทอด้วยผ้าไหมปักดิ้นเงินทองหรูหรา ในมือถือพักขนนกคลี่สะบัดโบกเบา ๆ วางท่าสง่างดงาม

เยี่ยฉวนเขม้นมองคนท่าทางภูมิฐาน พลันถามออกไป “เจ้าคือศิษย์ฉางมู่ใช่ไหม ?”

บุรุษสง่างามยกมุมปากยิ้ม “ไม่ผิด ส่วนเจ้าก็คือ เยี่ยฉวน…”

ทันใดนั้น ร่างของเยี่ยฉวนหายวับไปจากที่ในพริบตา และยังมิทันที่ร่างคนจะปรากฏ พลังหมัดหนัก หน่วงน่าสะพรึงของหมัดก็ได้โถมกระหน่ำคนสง่างามผู้นั้น !

เขาหรี่ตาลง แต่ไม่อาจปกปิดประกายหวาดหวั่นในแววตา แต่ไม่กล้าผลีผลามตอบโต้ เพียงพลิกข้อมือสะบัดพัดขนนก ทันใดนั้นเกิดกระแสลมวูบไหวพุ่งออกคมกริบราวใบมีด !

ตู้ม !

เสียงระเบิดดังสนั่น พลันปรากฏร่างสองร่างถูกพลังผลักจนถอยกรูดรวดเร็ว สองคนคือทั้งเยี่ยฉวน และชายฝ่ายตรงข้าม ไม่นานเยี่ยฉวนหยุดเคลื่อนถอย วินาทีต่อมาร่างจึงไปปรากฏเบื้องหน้าอีกฝ่าย

ชายในชุดคลุมหรี่ตาเหลือบมองแวบหนึ่ง ก่อนสะบัดพับพัดในมือและตวัดพัดพุ่งออกอย่างรุนแรง บังเกิดแสงสว่างราวกับฟ้าแล่บแปลบปลาบ !

ฟิ้วว !

 เสียงฉีกแหวกอากาศดังสนั่นสะท้อนไปทั้งลานโล่ง ! กระนั้นร่างของชายชุดคลุมล่าถอยออกอีกไกล หลายจั้ง !

เยี่ยฉวนชำเลืองมองสันหมัดด้วยปรากฏรอยโลหิตซิมไหลบนหลังมือ ! เขาสะบัดมือเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยกำมือข้างนั้นเข้าหากันช้า ๆ

เปรี้ยง ! พื้นดินใต้ฝ่าเท้าแตกแยกออกทีละน้อย ทันใดนั้นพลังเคลื่อนไหวก้อนมหึมาก็ได้ทะยานจาก เบื้องล่างพุ่งเข้าสู่ร่างคนฝ่ายตรงข้าม !

ชายชุดคลุมชำเลืองมา “หมัดทลายภูผา พลังทำลายรุนแรงเช่นนี้เอง !”

ไม่ทันขาดคำ พัดขนนกปลิวหวือออกจากอุ้งมือในพลัน ก่อนทีต่อมามันจะทะยานเข้าหาเป้าหมายราว ใบมีดคมกริบฉับไว !

ฟิ้ววว !

เสียงวัตถุแหวกอากาศสนั่นลั่นทั่วลาน !

พัดขนนกสีขาวมิได้เพียงแหวกอากาศสกัดกั้น แต่ยังสามารถทำลายพลังเคลื่อนไหวของเยี่ยฉวนจน กระจัดกระจาย ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของเยี่ยฉวนกลับปรากฏออกขวางเบื้องหน้าชายชุดคลุมแล้ว

ทันใดนั้น เยี่ยฉวนพลันออกหมัดสวนเข้าปะทะเป้าหมายตรงหน้าเต็มแรง !

รุนแรง !

ตรงเผง !

ผัวะ !

ยามนี้ร่างคนกระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง เยี่ยฉวนจึงใช้โอกาศนี้เอื้อมมือคว้าจับพัดขนนกทันท่วงที ครั้งแรกก็คิดจะหักทิ้งเสียแต่พอกลับคิดอีกที ด้วยพัดพับเป็นศาสตราวุธจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง ! ดังนั้นจึงตัดสินใจเก็บพัดขนนกไว้ก่อนโดยไม่ลังเล !

เห็นเช่นนั้น คนที่เพิ่งผุดลุกขึ้นยืนพลันรู้สึกจนด้วยถ้อยคำ

เมื่อเก็บพัดพับเข้าที่เรียบร้อยดี เยี่ยฉวนจึงเงยหน้ามองคนที่ยืนห่างออกไป “หัวของเจ้าดูท่าจะไม่ยอมหลุดจากบ่าง่ายดายเหมือนกันนะ ! เจ้า…” ทันใดนั้นเสียงกลับชะงักหยุดกระทันหัน ด้วยเพราะเขาทะยาน พรวดเดียวไปปรากฏเบื้องหน้าคนผู้นั้นเสียแล้ว !

เขากระแทกหมัดออกอีกครา ! ถึงกระนั้น หมัดที่ออกล่าสุดกลับแตกต่างจากหมัดที่ผลักออกไปก่อนหน้าด้วยครานี้พลังหมัดดุดันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนหลายเท่า !

เมื่อเจอพลังปะทะรุนแรง สีหน้าของอีกฝ่ายพลันแปรเปลี่ยนสิ้นเชิง ! เขาคิดออกต้านทานโดย สัญชาตญาณ ทว่าพลังนั่นกลับเหนือกว่าหมัดทลายภูผานัก ทั้งยังพุ่งปะทะแม่นยำตรงเป้าหมาย !

“หนึ่งหมัดดับชีพ !” หนึ่งหมัดเคลื่อนไหวผลักออกรวดเร็ว จนคนเป็นเป้าหมายไร้สิ้นความหวังจะ ต้านทาน !

ความเงียบครอบงำชั่วขณะ !

ผลัวะ !

ศีรษะของชายคนดังกล่าวกระดอนหลุดออกจากตัว อีกทั้งร่างของเยี่ยฉวนยังทะยานทะลุผ่านด้านหลังตัวคนไปไกลกว่าสี่จั้ง !

เขาหันไปมองพยานรู้เห็นรอบตัว พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นับแต่นี้ไป หากพบเจอศิษย์ฉางมู่ที่ ไหน ข้าจะเก็บไม่ให้เหลือ !” สิ้นถ้อยวาจา ชายหนุ่มเดินจากไปหน้าตาเฉย

นับตั้งแต่ศิษย์ฉางมู่กระทำการอุกอาจข้ามเขตไปลักพาตัวน้องสาวของเขาในครั้งนั้น ความเกลียดชัง ในใจของเยี่ยฉวนที่มีต่อสถานศึกษาแห่งนี้ดูจะเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ !

ถ้าพวกมันทำกับเขา คงไม่ทำให้รู้สึกรุนแรงเท่ากับมันทำกับเยี่ยหลิงเช่นนั้น !

ชาวเมืองหลวงหรือพยานรู้เห็นที่เฝ้าดูการปะทะพากันหันไปมองหน้ากัน ทว่าไร้สรรพเสียงด้วยกำลัง ตะลึงลานไม่หาย ในที่สุดก็มีเสียงพึมพำเบา ๆ ดังขึ้น

“บุรุษหนุ่มคนที่ใช้พัดพับเป็นอาวุธนั่น อย่างน้อยขั้นพลังทะยานสวรรค์ระดับสูงสุดเชียวนะ !”

“แล้วยังไงเล่า ? แค่พลังหมัดเดียว เยี่ยฉวนสามารถสยบเขาได้โดยง่ายเช่นนี้เหรอ ?”

ณ สถานที่ลับสายตา คนสามคนกำลังยืนมองตามหลังของเยี่ยฉวนที่เดินออกไปจนไกลลิบ ทั้งหมด เป็นศิษย์แห่งฉางมู่จากสาขาอื่น ! ในตอนนั้นเอง บุรุษผู้สวมผ้าคลุมปักลวดลายวิจิตรงดงามส่ายหน้าน้อย ๆ “ถอยกลับแคว้นของพวกเราก่อน !”

พลันผู้ที่ยืนเคียงข้างหันมามองคนพูด หน้าเครียดเคร่งพูดเสียงต่ำ “กลับไปทั้งที่ยังกำจัดคนผู้นี้ไม่ได้งั้นหรือ ? คิดดูสิ ถ้าเราช่วยกันสังหารมัน พวกเราจะได้ทักษะยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพี คัมภีร์ยุทธ์ขั้นปฐพี และยังมี สุดยอดศิลาจิตวิญญาณอีกเยอะแยะ…”

คนสวมผ้าคลุมลวดลายวิจิตรได้ยินเช่นนั้น เขาหันขวับมามองพลางพูดด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าจะมีชีวิตรอดจนรับรางวัลพวกนั้นหรือ ?” อีกฝ่ายจึงเงียบเสียงลง แต่หน้าตาบูดบึ้งแสดงความไม่พอใจชัดเจน

จากนั้นคนสวมผ้าคลุมพลันหันไปมองร่างไร้ศีรษะกลางลานไกลออกไป “ดูเสียให้เต็มตา ขั้นพลังของ คนผู้นี้ไม่ได้ด้อยกว่าพวกเราทั้งสาม ทว่ายังไม่อาจต้านทานหมัดเดียวของเจ้าเยี่ยฉวนได้ !”

พูดพลางกวาดตาไปยังเทือกเขาฉางซาน “เจ้าเยี่ยฉวนคนนี้ไม่ใช่แค่อัจฉริยะ ไม่อย่างนั้นสถานศึกษา ฉางมู่แห่งแคว้นเจียงคงไม่ต้องยืมมือคนอื่นสังหารมัน ลำพังพวกเราสามคนคงไม่อาจต้านทานแน่ อีกอย่างขั้นพลังของเราเวลานี้ก็ไม่ควรเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ฉะนั้นถอยก่อนดีที่สุด !” กล่าวจบผู้พูดหันกลับทันทีโดยไม่ลังเล !

คนที่มาด้วยกันอีกสองคนทำท่าลังเล ในที่สุดก็ตัดสินใจหันหลังตามคนแรกไป แม้ว่าของรางวัลจะน่า ดึงดูดใจเพียงใด แต่พวกเขายังไม่กล้าที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อของรางวัล !

ยามนี้คงต้องบอกว่า ให้รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ! เท่านั้น

ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งบุรุษในชุดคลุมสีดำกำลังมองร่างไร้ศีรษะบนพื้น รอยยิ้มเหยียดเยาะปรากฏที่มุมปาก “เยี่ยฉวนผู้นี้กล้าแกร่งยิ่งนัก !” สิ้นเสียงคนพูด ร่างคนนั้นเลือนหายไปจากจุดที่ยืน !

เยี่ยฉวนเดินเรื่อยมาตามทาง พลันฝีเท้าของเขาหยุดชะงักเมื่อสังเกตเห็นที่สุดปลายถนนเบื้องหน้า ปรากฏร่างของบุรุษในผ้าคลุมสีดำ

สายตามองแน่วแน่ตรงมา พลางเอ่ยถามเยี่ยฉวน “เจ้าบอกว่าจะสังหารศิษย์สถานศึกษาฉางมู่ทุกคนที่ได้พบเจอ อย่างนั้นหรือ ?” คนพูดถึงตอนนี้ เขาโบกมือข้างหนึ่ง “ข้าเป็นศิษย์ฉางมู่ ว่าอย่างไรเจ้าจะฆ่าข้า ใช่ไหม ? ข้า…”

ฉับพลัน ร่างเยี่ยฉวนหายวับไปทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้นคนพูดยกมุมปากนิด ๆ ทันใดนั้นปรากฏการณ์พลังชี่ทะยานออกจากร่างกาย

“นั่น… ขั้นสันโดษ ใช่ไหม ?”

“ไม่สิ พลังขั้นสันโดษระดับกลางต่างหาก…” เสียงเอะอะของใครบางคนดังขึ้น !

“แสดงว่าเขาบรรลุขั้นสันโดษระดับกลางแล้วจริง ๆ มิน่าถึงได้กล้าหาญเช่นนี้ !”

“…”

ขณะเดียวกันเสียงกระบี่พลันสะท้านก้องไปทั่วบริเวณ ! “หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !”

ครั้งนี้เยี่ยฉวนไม่รีรอ เขาหมายเผด็จศึกศัตรูด้วยสุดยอดวิชาอันกล้าแกร่งยิ่ง !

หลังกระบี่ปรากฏ ชายในชุดดำหน้าถอดสีทันที ไม่เพียงสีหน้าหากแม้แววตาของเขายังแฝงความ ประหวั่นพรั่นพรึงไม่ปกปิด ชั่วแว่บนั้นพลังขั้นสันโดษระเบิดจากกายของเขา พร้อมกับผลักออกหมัดตรงเข้า เป้าหมาย !

เปรี้ยง ! พลังมหาศาลชนิดหนึ่งพุ่งออกจากหมัดรุนแรงจนเกิดประกายไฟ ! ที่สำคัญพลังหมัดยังผสาน เคล็ดวิชาเพลงมวยไว้ภายใน !

เมื่อเคล็ดวิชาเพลงมวยปรากฏเช่นนี้ มันก็ทำให้เกิดเสียงอุทานเอะอะจากฝูงคนที่อยู่รายรอบลานนั้น

เขาเผยพลังหมัดผสานเคล็ดวิชาเพลงมวย ย่อมหมายความว่าชายชุดดำมีชั้นเทียบเท่าปรมาจารย์ วิทยายุทธ ! หรือไม่เขาก็กำลังมุ่งสู่ขั้นปรมาจารย์วิทยายุทธ !

ในตอนนั้นเอง กระบี่ของเยี่ยฉวนได้พุ่งเข้าถึงตัวคนแล้ว ! ทำให้ในฉับพลันนั้นเกิดความเงียบเข้าครอบคลุมจนทั่ว

ฉับ !

กะโหลกใบหนึ่งกระเด็นขึ้นสู่อากาศ ! ที่แท้เป็นศีรษะของชายในชุดดำคนนั้น !

เบื้องหลังร่างของคนไร้ศีรษะ เยี่ยฉวนแบมือออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นกระบี่เล่มหนึ่งทะยานลงสงบนิ่ง บนฝ่ามือ เมื่อลำแสงแห่งกระบี่ฉายวาบ กระบี่หลิงซิ่วปรากฎ !

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว ร่างของเขาจึงได้เดินลับไปจากสายตา หากสามารถยุติปัญหาได้ในกระบี่ เดียว เวลาในการต่อสู้ก็จะยิ่งสั้นลง ! ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้พลังกล้าแกร่งที่สุดของตนเอง

แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกลับสร้างความฉงนฉงายในสายตาของผู้เฝ้าชม “เสี้ยววินาทีเท่านั้นหรือ ?”

“แค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ?!”

ในบรรดาผู้ชม ณ ลานกว้าง มีศิษย์ฉางมู่ร่วมปะปนแฝงในเงามืด ทว่าสีหน้าพวกเขาเหล่านั้นมีแต่ ความว่างเปล่า ! ด้วยถึงแม้คู่ต่อสู้จะมีขั้นพลังสันโดษและกำลังจะขึ้นเป็นปรมาจารย์วิทยายุทธ ทว่ากลับถูก สังหารอย่างรวดเร็วเช่นนี้หรือ ?!

เยี่ยฉวนไม่ได้ปะทะกับคนผู้นี้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับมุ่งสังหารภายในเสี้ยววินาที ! เยี่ยฉวนกำจัดศัตรูด้วยการตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ! และอันที่จริงอีกหลายคนยังคลุมเครือว่าเยี่ยฉวนนำกระบี่ออกปะทะเมื่อ ใด ! พวกเขาได้เห็นแสงแห่งกระบี่สว่างวาบขึ้นในลานครั้งหนึ่ง ก่อนภาพที่ปรากฏถัดมาคือศีรษะคนกระเด็น หลุดจากบ่าแล้วเท่านั้น !

ขั้นพลังของเยี่ยฉวนเล่า ?

แต่แล้วเยี่ยฉวนกลับวกกลับมายังสถานที่เกิดเหตุ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่มองดูด้วยความสงสัย เขาเดินตรงไปที่ร่างของชายในชุดดำและก้มลงหยิบถุงผ้าที่เหน็บเอวออก จากนั้นชายหนุ่มจึงหันหลังกลับไปทางเดิมไม่พูดไม่จา

สายตาทุกคู่มองอย่างประหลาดใจระคนสงสัย “…”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset