หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 159 คอยดูฝีมือข้าเสียบ้าง ! (ต้น)

บทที่ 159 คอยดูฝีมือข้าเสียบ้าง ! (ต้น)

ยากจน ! ยากจนข้นแค้น ! ล้วนเป็นความรู้สึกที่ผุดขึ้นในใจของเยี่ยฉวนเวลานี้ !

เมื่อครั้งที่อยู่เมืองชายแดน เยี่ยฉวนเคยรับรู้ว่าศาสตราวุธจิตวิญญาณมีมูลค่าไม่น้อยกว่าสองล้าน เหรียญ !

กระบี่แห่งจิตวิญญาณมูลค่าสูงยิ่งกว่า !

ตัวเขาเองในเวลานี้ไม่มีเงินพอที่จะใช้ซื้อกระบี่ จนต้องบอกว่าสถานะการเงินกรอบแกรบเสียจนอยาก ออกปล้นทีเดียว !

จากนั้นไม่นานหลังเยี่ยฉวนไปถึงสำนักอัปสรเมรัย ในทันทีที่ยื่นแผ่นป้ายแขกพิเศษ เขาพลันถูกเชิญให้ เข้าไปในห้องที่ตกแต่งอย่างหรู ก่อนที่ไม่นานจะมีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามา

เมื่อเห็นเยี่ยฉวน เขาค้อมตัวเล็กน้อยแสดงคารวะ “คุณชายเยี่ยให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีอะไรจะ ให้ข้ารับใช้ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้า จากนั้นจึงล้วงเอาหยกศิลาจิตวิญญาณทั้งเก้าชิ้นออกมา “ข้าต้องการขายทั้งหมด จะได้เท่าไร ?”

“นี่มันหยกศิลาจิตวิญญาณ !” แววตาของผู้ชรามีร่องรอยประหลาดใจยิ่ง “ในแคว้นเจียงจะหาหยกศิลาที่บริสุทธิ์เช่นนี้ยากยิ่ง”

เสียงพึมพำเบา ๆ กับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกกับเยี่ยฉวนว่า “หยกศิลาจิตวิญญาณทั้งหมดนี้มี ราคาชิ้นละห้าแสนเหรียญทอง !”

“ฮะ…ฮ้า ห้าแสน !” เยี่ยฉวนนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า “ท่านจะบอกว่า ทั้งหมดนี่มีมูลค่าถึง 4 ล้าน 5 แสนเหรียญทอง อย่างนั้นเหรอ ?”

คำตอบที่ได้คืออาการพยักหน้าน้อย ๆ

เยี่ยฉวนถามกลับมาอีก “แล้วกระบี่จิตวิญญาณเล่า ราคาเท่าไร ?”

คนถูกถามมองสบตาเยี่ยฉวนขณะที่ตอบกลับมาว่า “อย่างน้อยต้องสามล้าน แต่จะหาซื้อยากนักขอรับ !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันมุมปากปรากฏรอยยิ้มหยัน “ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่า เหตุใดจึงมีผู้ฝึกกระบี่น้อยนิด เช่นนี้ !”

“แม่มเอ๊ย ! คนธรรมดา ๆ จะมีปัญญาหากระบี่ดี ๆ มาใช้ได้ยังไง !”

“กระบี่จิตวิญญาณเล่มเดียว ปาเข้าไปตั้งสามล้านเหรียญทอง !”

“อย่าแต่คนทั่วไป ต่อให้เป็นพวกชนชั้นสูง พวกเขาก็คงมีน้อยคนนักที่จะมีเงินมากมายขนาดนั้น !”

“หยกศิลาเหล่านี้พวกผู้ฝึกกระบี่อยากได้ไว้ครอบครองเสียด้วย น่ากลัวจะโก่งราคาได้อีกโขทีเดียว !” เยี่ยฉวนนั่งคิดทบทวนไปมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะงัดเอาบรรดาสิ่งของที่ริบได้จากคู่ต่อสู้ออกมากองตรงหน้า

แน่นอนว่าของที่มูลค่าสูงที่สุดในบรรดาของที่เอาออกมากองเป็นของที่เพิ่งริบได้อย่างพัดด้ามจิ้ว

สายตาของผู้ชราเหลือบมองเห็นพัดด้ามจิ้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเยี่ย ข้าขอตอบด้วยความสัตย์จริง พัดด้ามจิ้วมีมูลค่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับของที่ท่านมีทั้งหมดนี่…”

เยี่ยฉวนถามสวนกลับทันควัน “ข้าสามารถนำสิ่งของทั้งหมดแลกกับกระบี่จิตวิญญาณสักสองเล่มเพียง พอหรือไม่ ?”

ชายชราได้ยินคำถาม เขามีทีท่าอึกอักด้วยความไม่แน่ใจ ทว่าในขณะที่ชะงักงัน พลันสายตาชำเลือง มองใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านนอก เขารีบหันกลับมาทางเยี่ยฉวน

“ท่านต้องการซื้อกระบี่จิตวิญญาณสองเล่มใช่ไหมขอรับ ?”

เยี่ยฉวนไม่ตอบ แต่พยักหน้า

สายตาคนแก่มองอย่างเข้าใจ

“ไม่ต้องห่วง แขกผู้มีเกียรติของสำนักอัปสรเมรัยประสงค์สิ่งใด ทางเราจะจัดการให้ท่านได้ทุกสิ่งที่ต้องการ โปรดคอยสักครู่ขอรับ คุณชายเยี่ย” พูดจบก็รีบรวบรวมสิ่งของทั้งกอง เสร็จแล้วจึงออกจากห้องไปทันที

ครึ่งชั่วยามต่อมา ชายแก่คนเดิมจึงกลับเข้ามาในห้อง คราวนี้เขาอุ้มหีบสีดำสองหีบไว้ในอ้อมแขนด้วย เขาเดินตรงเข้ามาหาเยี่ยฉวน “ขออภัยที่ทำให้ต้องคอยขอรับ คุณชายเยี่ย”

พูดพลางส่งหีบสีดำให้แก่เยี่ยฉวน “นี่คือกระบี่จิตวิญญาณสองเล่มตามที่ท่านต้องการ คุณชายเยี่ย กรุณาตรวจสอบอีกครั้ง !”

เยี่ยฉวนรีบเปิดหีบทันที ภายในบรรจุกระบี่คมปลาบเงาวับ มีความยาวประมาณสามสิบชุ่นและมี ความกว้างเท่ากับสองนิ้วมือ

แต่สิ่งสำคัญคือเขาสัมผัสได้คือจิตวิญญาณภายในกระบี่ทั้งสองเล่มอย่างชัดเจน !

ชายหนุ่มจึงมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่านี่คือกระบี่จิตวิญญาณ ! และเมื่อสำรวจจนแน่ใจแล้วจึงปิดหีบ ก่อนจะหันไปพูดกับชายชราว่า “ตอนนี้ข้ายังมีเงินไม่มากพอจะจ่ายเป็นค่ากระบี่ทั้งสองเล่มนี้น่ะซี !”

คนฟังยิ้มน้อย ๆ “คุณชายเยี่ย ท่านเป็นแขกพิเศษของสำนักอัปสรเมรัย ฉะนั้นทางเรายินดีที่จะมอบ สิ่งนี้ให้แก่ท่านขอรับ !”

ได้ยินเช่นนั้น เยี่ยฉวนพลันชะงักไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าได้แต่ขอบใจสำหรับทุกสิ่ง”คนอย่างเยี่ยฉวนมีหรือจะปฏิเสธความปรารถนาดีจากสำนักอัปสรเมรัย

เห็นชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ ชายชราพลันรู้สึกโล่งอก เขายิ้มกว้างด้วยความยินดี “อ้อ ข้ามีเรื่องจะบอกท่านอีกอย่าง เวลาไปไหนมาไหนท่านควรระมัดระวังให้มาก โดยเฉพาะกับคนของสถานศึกษาฉางมู่ ทางเรารู้มาว่าสถานศึกษาฉางมู่หมายปลิดชีวิตท่าน นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นชนวนเหตุของการระเบิดเรือเหาะลำที่ท่าน โดยสารมาด้วย แม้ครั้งนี้จะไม่สำเร็จ แต่พวกเขาย่อมไม่เลิกราง่าย ๆ อย่างไรเสียท่านอย่าได้วางใจเป็นอันขาด คุณชายเยี่ย !”

เยี่ยฉวนผงกศีรษะ “ขอบคุณในความหวังดีของท่าน ถ้ามีข่าวความเคลื่อนไหวใดอีก ขอให้ทางท่านแจ้งข้าด้วยจะขอบคุณยิ่งนัก !”

คนผู้มีอาวุโสกว่ายิ้มรับ “ไม่มีปัญหาขอรับ !”

จากนั้นเยี่ยฉวนค้อมตัวคารวะอำลาด้วยการห่อกำปั้น “ลาก่อน !” จากนั้นจึงหันกลับเดินออกจาก สถานที่ไปโดยหอบกระบี่จิตวิญญาณทั้งสองเล่มไว้ในอ้อมแขน

ทันทีที่เยี่ยฉวนลับกาย คนผู้หนึ่งในเครื่องแต่งกายผ้าคลุมสีดำพลันปรากฏตัวขึ้นในห้องพัก เขาผู้นี้คือ จ้าวหอชั้นที่เก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัย !

สายตามองตาหลังคนที่เพิ่งเดินลับสายตาไป จากนั้นจึงหันมาพูดกับชายชรา “เจ้าจงอำนวยความ สะดวกให้แก่คนผู้นั้น ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยู่ที่เมืองหลวงก็ตาม รวมทั้งคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของสถาน ศึกษาฉางมู่ ถ้าได้เรื่องให้รีบส่งข่าวแก่เขาโดยเร็วที่สุด !”

ชายชราค้อมตัวรับคำสั่ง “ขอรับ !”

จ้าวหอชั้นเก้าค่อยหลับตาลงช้า ๆ “สถานศึกษาฉางมู่… เวลาแห่งหายนะของพวกมันใกล้จะถึงแล้วสินะ !”

ทางด้านเยี่ยฉวน หลังเขาออกจากสำนักอัปสรเมรัยได้ ก็เร่งเดินตรงกลับสถานศึกษาฉางหลานทันที

อา ! กระบี่จิตวิญญาณสองเล่ม ! สถานะแห่งพลังของเขาในตอนนี้ หากได้ดูดกลืนกระบี่จิตวิญญาณ ทั้งสองนี้เพิ่มเข้าไปอีกเมื่อใด เท่ากับโอกาสที่จะก้าวสู่ขั้นทะยานสวรรค์ย่อมมีมากขึ้นถึงแปดจากสิบส่วนทีเดียว !

และเมื่อไหร่ที่เขาถึงขั้นทะยานสวรรค์ มิใช่เพียงการเพิ่มระดับของความกล้าแกร่งแห่งพลังอันเป็นสิ่งแน่นอนเพียงเท่านั้น หากยังหมายถึงเขาสามารถใช้กระบี่เป็นยานพาหนะทะยานสู่อากาศไปในที่ที่ต้องการได้อีก ด้วย !

“ถ้าข้าได้นั่งกระบี่ ขี่ชมเมืองหลวง คงจะมีความสุขไม่น้อย หึหึ !” เพียงแค่คิดเขาก็อดที่จะยิ้มออกมา กับตนเองไม่ได้

ความคิดโลดแล่น ฝีเท้ายิ่งเร่ง !

แต่แล้วเท้าที่กำลังก้าวอย่างเร่งรีบกลับสะดุดกึกหยุดนิ่งสนิทเมื่อสังเกตเห็นหนทางเบื้องหน้าเป็นเส้น ทางแคบ ๆ ที่ถนนกว้างเพียงหนึ่งจั้ง และด้านซ้ายขวาเป็นผนังทึบของอาคารทั้งสองฟากฝั่ง !

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset