หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 162 หาเงินจากการต่อสู้ได้นี่เอง ! (ปลาย)

บทที่ 162 หาเงินจากการต่อสู้ได้นี่เอง ! (ปลาย)

ชริ้ง !

ดาบสั้นโค้งจันทร์เสี้ยวปลิวหลุดจากมือ สะบัดไปไกลในอากาศ พลังต้านทานหนักแน่นนั้นสามารถระงับการพุ่งเข้ามาของมีดบินคู่ชะงักลงทันที ทว่าเพียงชั่วขณะ มีดบินอีกเล่มพลันตวัดข้ามมาจากด้านหนึ่งของลาน !

แสงสว่างวาบแปลบปลาบ  ฉึก ! ชายที่ถือดาบสั้นสะดุ้งเฮือกตัวเกร็งแข็งทื่อ ที่คอหอยปรากฏมีดบินปักคาอยู่มีความลึกราวหนึ่งนิ้วเศษ

ยามนี้เยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อเดินเข้ามามองโม่อวิ๋นฉีใกล้ ๆ จึงพบว่าสีหน้าของฝ่ายนั้นซีดเผือดไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงถามให้แน่ใจ “ไหวไหม ?”

พลันโม่อวิ๋นฉีจึงรู้สึกตัว เขายืดอกหลังตึง “คิดว่าข้าจะตายหรือไง ?”

เยี่ยฉวนเอื้อมมือไปตบบ่าโม่อวิ๋นฉีเบา ๆ “เอาน่า ไว้ถึงฉางหลานเมื่อไรข้าจะให้เจ้าได้พักยาว ๆ” จากนั้นคนพูดก็ก้มลงเก็บดาบสั้นโค้งจันทร์เสี้ยวและถุงเบี้ยที่เหน็บเอว หันมายื่นให้โม่อวิ๋นฉี

“ดาบสั้นนี่อย่างน้อยน่าจะมีค่าสักสองล้านเหรียญทอง จะเก็บไว้ไหม ? อือม ถ้าเจ้าไม่เอา…”

เพียงเท่านั้นโม่อวิ๋นฉีคว้าหมับทั้งดาบสั้นและถุงเงิน เขาหันมาทำตาประหลับประเหลือกใส่คนพูด “ทำไมถึงชอบทำตัวเป็นหัวขโมยนัก ?”

เยี่ยฉวน “…”

“สองล้านเหรียญทอง !” เสียงโม่อวิ๋นฉีพึมพำพลางก้มลงพิจารณาดาบสั้นในมือด้วยแววตาประหลาดใจ ถึงแม้ว่าตระกูลของเขาจะครอบครองศาสตราวุธจิตวิญญาณหลายสิ่ง แต่ไม่เคยได้สัมผัสหรือแตะต้องศาสตราวุธล้ำค่าเช่นนี้ อีกอย่างเงินสองล้านเหรียญทอง สำหรับตระกูลของเขาแล้วมันก็ถือว่ามีจำนวนมหาศาลทีเดียว

เขาทอดถอนใจ “เออนี่ หัวโขมยพี่เยี่ย ข้าเพิ่งรู้ว่าทำไมเจ้าถึงชอบต่อสู้ ! เพราะว่าสามารถหาเงินได้ด้วยวิธีนี้นั่นเอง !” จากนั้นหันไปจ้องหน้าเยี่ยฉวนเขม็ง

“คราวหน้าถ้าเจ้าออกไปต่อสู้ล่ะก็ เรียกข้าด้วยนะ.. นะ ไม่งั้นต่อไปพวกเราไม่ต้องนับถือกันเป็นพี่เป็นน้องอีก !”

เยี่ยฉวน “…”

ทันใดนั้นทุกสายตาหันไปมองบนหลังคาบ้านซึ่งห่างออกไป ที่นั่นจี้อันซื่อกำลังต้านทานลูกธนูพลางล่าถอย ก่อนที่สตรีสวมชุดดำพลันหยุดต่อสู้ นางหันกลับและทะยานขึ้นสู่อากาศออกไประยะไกล ความเร็วในการเคลื่อนที่ประดุจนกอินทรี

เมื่อเห็นเช่นนั้น เยี่ยฉวนหรี่ตาลงนิดหนึ่งก่อนตวาดเสียงดัง “ตามไปเลย !”

สิ้นเสียงคำราม เขากระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้นดินโครมใหญ่ พลันร่างทั้งร่างทะยานขึ้นสู่อากาศ ทว่าไม่นานร่างทั้งร่างก็ร่วงลงสู่พื้น…

ตุ้บ

ท่ามกลางสายตาเคลือบแคลงของโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ ขณะเดียวกันเยี่ยฉวนก็ได้สีหน้าเจื่อน ยิ้มแห้ง ๆ ด้วยตนเองเพิ่งขั้นหลอมรวมลมปราณ จะบินเหินเวหากับเขาได้เสียที่ไหน !

ไป๋เจ๋อบุ้ยปากไปทางโม่อวิ๋นฉีเพราะเทียบกันในสามคน โม่อวิ๋นฉีเป็นคนที่มีความเร็วเป็นเลิศ แต่โม่อวิ๋นฉีกลับส่ายหน้าดิก “ข้าใช้พลังไปมากแล้วชักหมดแรง เห็นท่าจะวิ่งตามไม่ไหว”

เยี่ยฉวนพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเข้าใจ “งั้นก็ช่างเหอะ” ก่อนที่จะพูดอะไรต่อ เขาทำท่านึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันมาถามเพื่อนทั้งสอง “พวกเจ้าตามข้ามาได้ยังไง ?”

โม่อวิ๋นฉีตอบเสียงเรียบ “อาจารย์ใหญ่น่ะซี บอกว่าเจ้าถูกรุม พวกเราจึงรีบตามมาสมทบนี่แหละ !” พลันเขาทำท่าเหมือนลังเลก่อนพูดต่อว่า “พี่หัวขโมยเยี่ย ถึงแม้ว่าพลังของเจ้าจะเป็นรองข้านิดหน่อย แต่ต่อไปต้องระวังตัวให้มากเพราะตอนนี้ใครใครต่างก็หมายเอาชีวิต เพราะฉะนั้นวันหน้าเมื่อจะลงจากเขาอย่าไปคนเดียว ให้ตามพวกเราไปด้วยครบทีม ! คนเดียวหัวหาย สามคนเพื่อนตาย !

เยี่ยฉวนมึนตึ้บกับข้อสรุปดื้อ ๆ ของอีกฝ่าย “…”

ไป๋เจ๋อเหลือบมองโม่อวิ๋นฉี ส่งสายตาเหยียด “พอกันเลย เจ้าทุเรศ !” เขายอมรับว่าเยี่ยฉวนหนังหนา หน้าก็หนา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีคนหนายิ่งกว่าคือโม่อวิ๋นฉี !

ได้ยินไป๋เจ๋อว่าดังนั้น โม่อวิ๋นฉีพลันเหลือบมองพลางพูดว่า “สารรูปอย่างเจ้าไม่เหมาะกับบทพระเอกหรอก รู้ไว้ด้วย !”

ไป๋เจ๋อหันมาจ้องหน้าโม่อวิ๋นฉี “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ ว่าข้าเตะทีเดียวเจ้าจะกระเด็นไปตกในป่านู้นนน… เลย !”

ยังไม่ทันไรร่างของโม่อวิ๋นฉีถอยห่างออกไปไกลหลายจั้งอย่างรวดเร็ว

เขากวักมือเรียกคนตัวใหญ่หยอย ๆ “ถ้างั้นก็มาเลย มาเซ่ !”

ไป๋เจ๋อเลิกคิ้วมองนิ่ง เขาละความสนใจจากโม่อวิ๋นฉีหันมาพูดกับเยี่ยฉวน “กลับกันเถอะ !”

เยี่ยฉวนพยักหน้าเห็นด้วย จึงหันไปพยักหน้ากับจี้อันซื่อซึ่งยืนมองคนทั้งสามเงียบ ๆ “แม่นางจี้จอมเขมือบ… อุ๊บตายละวา แม่นางจี้กลับกันเถอะ แหะแหะ !”

“ว่าไงนะ เรียกข้าว่าจอมเขมือบงั้นเหรอ ?” จี้อันซื่อมองเยี่ยฉวนด้วยสายตากราดเกรี้ยว

“เวรแล้วไง !” เขารำพึงในใจ จากนั้นจึงนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะหันไปชี้โม่อวิ๋นฉี

“เป็นเจ้านั่นที่บอกว่าเจ้าเป็นจอมเขมือบ !”

โม่อวิ๋นฉีชะงักกึก งงงัน

จากนั้นเยี่ยฉวนหันไปทางไป๋เจ๋อ “เจ้าโม่จอมกะล่อนเป็นคนพูด จริงไหม ?” ไป๋เจ๋อตาล่อกแล่กจ้องหน้าเยี่ยฉวนด้วยงุนงง พลันอ่านปากของอีกฝ่ายได้ความว่า ‘อยากกินอะไร ?’ ขณะเยี่ยฉวนทำปากขมุบขมิบไปทางตน ไร้เสียงพูดเล็ดรอดใด

ไป๋เจ๋อเข้าใจทันที เขาชี้มือไปทางโม่อวิ๋นฉีที่อยู่อีกด้าน “แหงเลย มันนั่นแหละ !”

“ซวยละตู !” โม่อวิ๋นฉีเห็นท่าไม่ดีกระโดดพรวดออกจากที่ ทันใดนั้น ลำแสงแห่งดาบพุ่งวาบจากท้องฟ้าลงเป้าหมายที่ตัวเขา

สีหน้าแปรเปลี่ยนจากภาพตรงหน้า ก่อนที่จะหันหลังวิ่งสุดฝีเท้า ยังไม่วายหันมาตะโกนสาปแช่งเพื่อนสองคนที่เป็นต้นเหตุ “จำไว้เลย… ไอ้เพื่อนชั่ว… !!”

เมื่อโม่อวิ๋นฉีลับตาไปแล้ว ไป๋เจ๋อหันมาพูดกับเยี่ยฉวนหน้าตาสดชื่น “มื้อค่ำนี้ข้าขอเป็นไก่อบฟางหอม ๆ!”

เยี่ยฉวนพยักหน้า “มิมีปัญหา !”

หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเดินย้อนกลับตามเส้นทาง ไม่นานต่อมาทั้งสองคนก็มาถึงชายป่า ซึ่งเมื่อพ้นจากป่าจะถึงเชิงเขาฉางหลาน

ทว่าไม่ทันไรเสียงระเบิดสองครั้งพลันดังสนั่นทั่วไปทั้งป่า ฉับพลันร่างคนสองคนล่าถอยออกมา พวกเขาคือโม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อ !

สภาพของคนทั้งสองที่ล่าถอยออกมามีโลหิตไหลซึมออกจากมุมปาก ไม่เพียงเท่านั้นที่ไหล่ข้างหนึ่งของจี้อันซื่อยังมีลูกธนูขนนกเสียบคา และลูกธนูขนนกอีกดอกปักคาอยู่ที่ต้นขาของโม่อวิ๋นฉี !

…และด้วยเพราะคนทั้งคู่หาได้มีกายาแข็งแกร่งเช่นเดียวกับเยี่ยฉวน ดังนั้นลูกธนูจึงสามารถทำอันตรายต่อคนทั้งสองได้ !

เมื่อเห็นเช่นนั้นสีหน้าของเยี่ยฉวนและไป๋เจ๋อแปรเปลี่ยนเคร่งเครียด ทั้งสองคนรีบตรงเข้าไปช่วยคนที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่ทันใดนั้นร่างของบุรุษและสตรีคู่หนึ่งจะทะยานออกมาจากป่าทึบ !!

สตรีนางนั้นคือคนในชุดดำที่แอบดูบนหลังคาบ้านก่อนหลบหนีไป ! ส่วนบุรุษรุ่นหนุ่มอีกคนดูอายุราวยี่สิบขวบปี สวมผ้าคลุมยาวทรงหลวมสีดำ ผมยาวประบ่าและมีงูสีดำมะเมื่อมคล้องที่คอและพาดเลยอยู่บนไหล่ทั้งสอง

เยี่ยฉวนก้มลงมองโม่อวิ๋นฉี เขากระซิบบอกมาเบา ๆ “ระวังตัว ไอ้หนุ่มนี่พลังกล้าแกร่งไม่ใช่เล่น !

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ตามองตรงไปที่คนในระยะไกลผู้กำลังแสยะยิ้มและพูดว่า “ข้าชื่อเฟิงอี้ซิ่ว เป็นศิษย์สายในสถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นชู อยู่อันดับที่สิบเก้าของทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแผ่นดินชิง !”

ทันทีนั้นเยี่ยฉวนก้าวเท้าออกไปข้างหน้า พลันในอุ้งมือปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ! สายตาของเขาจับแน่วแน่บนใบหน้าของเฟิงอี้ซิ่ว

“ชื่อของข้าเยี่ยฉวน ศิษย์สถานศึกษาฉางหลานแคว้นเจียง อันดับหนึ่งแห่งทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์แผ่นดินชิง !”

คนที่เดินตามหลังได้ยินเต็มสองหู โม่อวิ๋นฉีสะดุ้งเฮือก พลันเอื้อมมือไปสะกิด “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรกัน ?”

เยี่ยฉวนไม่ได้หันกลับมา เขาเอียงหน้านิดหนึ่ง “อันดับแรกจากล่างขึ้นบนไงเล่า สงสัยอะไร ?” จากนั้นไม่รอช้า เยี่ยฉวนเร่งความเร็วฝีเท้า เร็วขึ้นและเร็วขึ้น…

ทว่าโม่อวิ๋นฉีกลับหัวทิ่มพรวด “…”

Related

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset