หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 164 พวกเขาอัตคัดขัดสนยิ่ง ! (ปลาย)

บทที่ 164 พวกเขาอัตคัดขัดสนยิ่ง ! (ปลาย)

“เจ้าเฟิงอี้ซิ่วคนนี้พลังขั้นสันโดษ ทว่าอาจจะเพิ่งบรรลุได้เพียงไม่นาน ดูเหมือนเขายังไม่สามารถควบคุมพลังในบรรยากาศได้ !”

“แต่ถ้าเมื่อใดที่เขาสามารถควบคุมพลังในบรรยากาศได้ด้วยแล้วล่ะก็…” คิดเช่นนั้น สีหน้าของเยี่ยฉวนกลับยิ่งเครียดขรึม !

เยี่ยฉวนไม่ใช่คนเย่อหยิ่งอวดดีมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งไม่หลงลืมความเป็นตัวเอง ภายในสมองเริ่มคิดวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองรวมทั้งของคู่ต่อสู้ไปพร้อมกัน

“ข้าต้องรีบบรรลุขั้นพลังให้เร็วที่สุด !” ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเริ่มรู้สึกถึงความไม่พร้อมของสมรรถนะแห่งพลัง หากยังไม่บรรลุทะยานสวรรค์โดยเร็ว คงไม่สามารถรับมือคู่ต่อสู้ในขั้นสันโดษในภายหน้าได้เป็นแน่ !

ฟากของคนที่อยู่ตรงกันข้าม เฟิงอี้ซิ่วก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ด้วยการปะทะที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าสมรรถนะและความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวนเป็นสิ่งที่ตนไม่คาดฝัน !

ไม่เคยแม้แต่จะคิดเผื่อใจ เนื่องด้วยนี่เป็นการปะทะกับคู่ต่อสู้ครั้งแรกด้วยทักษะยุทธ์ขั้นปฐพี !

ถึงกระนั้น ต่อให้ใช้ความกล้าแกร่งของตน มันก็มิอาจทำอันตรายต่อเยี่ยฉวนเลยแม้แต่น้อย !

ทั้งที่พลังของเยี่ยฉวนเพียงขั้นหลอมรวมลมปราณเท่านั้น ! “ถ้าเขาบรรลุทะยานสวรรค์หรือสันโดษแล้วล่ะก็…”

เมื่อคิดเช่นนั้น มือที่เกร็งหมัดแน่นของเฟิงอี้ซิ่วค่อยคลายออกจากกัน !

เจตนาสังหารอย่างนั้นหรือ ? ความคิดของเฟิงอี้ซิ่วพลุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เวลานี้เจตนาสังหารของเขากลับเลือนหายจนหมดสิ้น อันที่จริงเขากับเยี่ยฉวนล้วนไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ !

“ไม่มีแม้ความเคียดแค้นชิงชัง และเหตุใดพวกเราจึงต้องมาเข่นฆ่าอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ ?” เฟิงอี้ซิ่วหันไปมองอีกทาง ที่ที่ปรากฏร่างของชราถือไม้เท้ายืนสงบนิ่ง !

เยี่ยฉวนเองรวมทั้งคนอื่น เมื่อเห็นผู้ที่ยืนอยู่อีกด้าน ทั้งหมดพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน ด้วยชายชราผู้นี้ สถานะขั้นพลังเทียบเท่าอาจารย์ใหญ่จี้ของพวกเขา !

คนมาใหม่เดินตรงเข้าไปหาเยี่ยฉวน สายตาที่มองตรงลึกล้ำยากหยั่งรู้ถึงอารมณ์และความคิด “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยคิดเข้าเป็นศิษย์สถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียง จริงหรือไม่ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้าแทนคำตอบ

“พวกเขาปฏิเสธอย่างนั้นหรือ ?” เสียงคนแก่ถือไม้เท้าถามดังมาอีก

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่พยักหน้าอีกครั้ง

ครานี้ฝ่ายที่ถามส่ายหน้าช้า ๆ พลางถอนใจ “ไอ้พวกปัญญาอ่อน” จากนั้นจึงเบนสายตาไปทางเฟิงอี้ซิ่วและหันกลับมาพูดกับเยี่ยฉวน “ไม่บาดหมาง ย่อมไม่ได้มิตร พวกเจ้ามาเป็นสหายกัน จะไม่ดีกว่าหรือ ?”

เยี่ยฉวนนิ่งเงียบ

ผู้อาวุโสยิ้มในหน้า “เอาล่ะ ข้ารู้ว่าศิษย์ของข้าทำร้ายเหล่าสหายของเจ้า…” ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขายกนิ้วชี้ขึ้นและกดลง

ทันใดนั้นปรากฏขวดหยกสีขาวขึ้นต่อหน้าโม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อ พร้อมกันนั้นยังปรากฏมีดบินทองคำเบื้องหน้าโม่อวิ๋นฉีและดาบยาวประกายเพลิงโชติช่วงเบื้องหน้าจี้อันซื่อด้วย

ทั้งหมดเป็นสุดยอดศาสตราวุธ ! โม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อตะลึงลานต่อสิ่งที่ปรากฏออกตรงหน้าตนเอง

น้ำเสียงเป็นมิตรของชายชราดังต่อมาว่า “ขวดหยกนั่นคือโอสถเทพประสาน ราคาซื้อขายกันสูงลิบ เม็ดละสามแสนเหรียญทองแต่ละขวดมีห้าเม็ด ส่วนมีดบินทองคำ เป็นหนึ่งในสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณซึ่งข้าได้มาโดยบังเอิญ สำหรับดาบยาวเล่มนี้ชื่อว่าดาบเพลิงกัลป์ นับเป็นหนึ่งในสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน ถ้าเหล่าสหายของเจ้ามีโอกาส ก็อาจทำให้ทั้งสองสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณกลายเป็นศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสงได้”

ทันที่ที่ได้ฟังคนกล่าวจนจบ จี้อันซื่อคว้าหมับทั้งขวดหยกสีขาวและดาบเพลิงกัลป์โดยไม่รีรอ โดยเฉพาะสายตาที่มองดูดาบเพลิงกัลป์ที่วาวโรจน์อย่างไม่ปิดบัง

โม่อวิ๋นฉีเห็นเช่นนั้น เขาจึงรีบคว้าขวดหยกและมีดบินอย่างรวดเร็ว ขณะจ้องมองมีดทองคำในมือด้วยความพึงพอใจพลางยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงใบหู

สุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณ !

ในชีวิตไม่เคยได้สัมผัสของแบบนี้มาก่อน !

ไป๋เจ๋อซึ่งยืนใกล้เหลือบมองอย่างหมั่นไส้ “เก็บอาการหน่อย !”

ในขณะนั้น เยี่ยฉวนหันไปทางชายชรา สีหน้าของเขาแสดงความสงสัยเคลือบแคลงไม่มิดเม้ม “เหตุใดจึงทำเช่นนี้ ?”

ชายชรามองหน้าเยี่ยฉวนและยิ้ม “พวกเราแค่อยากเป็นมิตรด้วยเท่านั้นเอง !”

เยี่ยฉวนได้ยินดังนั้นก็นิ่งงันไป

ฝ่ายผู้อาวุโสเห็นเช่นนั้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มขณะกล่าวว่า “แต่ไม่เป็นไรหรอกถ้าเจ้าไม่ปรารถนาจะเป็นมิตรกับพวกเราในวันนี้ เอาไว้ถ้ามีโอกาส เจ้าค่อยทำความรู้จักกับศิษย์ของข้าก็ยังไม่สาย”

เยี่ยฉวนรีบสั่นศีรษะ “มิได้ เพียงแต่ข้า…” เขาหันไปมองโม่อวิ๋นฉีและจี้อันซื่อ ก่อนหันกลับมาพูดเร็ว

“เพียงแต่ข้าเห็นพวกเขาได้รับของกำนัลกันแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้…”

ชายชราได้ยินเช่นนั้น จึงนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่งแต่แล้วกลับเปล่งเสียงหัวเราะก่อนพลันกดนิ้วชี้ลงอีกครั้ง

ทันใดนั้นกระบี่งดงามเล่มหนึ่งก็ได้ปรากฏออกเบื้องหน้าเยี่ยฉวน

สุดยอดศาสตราวุธกระบี่จิตวิญญาณ ! เยี่ยฉวนฉวยคว้ากระบี่ทันที เขาเงยหน้าขึ้นทำท่าอ้าปากจะพูด พลันเสียงไป๋เจ๋อดังขัดจังหวะขึ้น “แล้วข้าเล่า ?”

เยี่ยฉวนรีบหุบปากลงแทบไม่ทัน “…” ส่วนโม่อวิ๋นฉีเบ้ปาก ได้ทีเหยียดหยามไป๋เจ๋อคืนบ้าง “เก็บอาการหน่อย เก็บอาการ !”

ชายชราผู้ถือไม้เท้าหันมาทางไป๋เจ๋อร่างใหญ่โต ทว่าครานี้กลับมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยพลันกล่าวกับเขาว่า “เจ้าฝึกฝนพลังทางกายเป็นหลัก ดังนั้นข้าจึงยังหาของกำนัลที่คู่ควรกับเจ้าไม่ได้… เอาอย่างนี้ ข้าจะมอบยาตันเถียนให้เจ้าเป็นของกำนัลก็แล้วกัน !”

จากนั้นเมื่อเขากดนิ้วชี้ ก็พลันปรากฏขวดหยกขาวเบื้องหน้าไป๋เจ๋อ เขาไม่ปฏิเสธ และรีบคว้าขวดหยกขาวซึ่งมีมูลค่าสูงลิบมากำไว้แน่น !

จากนั้นคนชราถือไม้เท้าหันไปพูดกับเยี่ยฉวนว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องของลาก่อน ถ้ามีเวลา คงมีโอกาสต้อนรับพวกเจ้าที่แคว้นชูของเราบ้าง !” พูดจบก็หันหน้ามองไปทางด้านขวาในที่ไกลออกไป แล้วจึงหันหลังออกไปโดยมีเฟิงอี้ซิ่วและสตรีในชุดดำตามหลัง

เยี่ยฉวนเห็นเข้า รีบร้องตะโกนไล่หลังอย่างมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ “พวกท่านเองก็ค่อยแวะมาบ้างนะ !”

ณ บนอากาศ ชายชรานั่งอยู่บนไม้เท้า… ก่อนที่เสียงลอยตามลมจะดังมาจากด้านข้าง เป็นเฟิงอี้ซิ่วที่เอ่ยถามอย่างสงสัย “อาจารย์ เหตุใดท่านจึงมอบของล้ำค่าเหล่านั้นให้พวกเขาล่ะขอรับ ?”

คนบนไม้เท้าตอบอย่างใจเย็น “เจ้าประมาทเยี่ยฉวน เหมือนที่ข้าเคยประมาทอาจารย์ใหญ่จี้”

เมื่อได้ยินอาจารย์ตอบ เฟิงอี้ซิ่วจึงเข้าใจความนัยนั้น เขาเงียบไปชั่วขณะ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้จึงมีเสียงพูดลอยมาว่า “พวกเขา… อัตคัดขัดสน ทั้งแข็งแกร่งอดทน…”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset