หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 165 กรุณาเรียกข้าว่าเยี่ยฉวนเซียนกระบี่ ! (ต้น)

บทที่ 165 กรุณาเรียกข้าว่าเยี่ยฉวนเซียนกระบี่ ! (ต้น)

ณ เชิงเขาฉางหลาน เยี่ยฉวนและพรรคพวกต่างมีท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ละคนหน้าบานเป็นจานเชิง ก็จะไม่ให้พวกเขารู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร ดูของล้ำค่าที่ทุกคนได้มานั่นสิ กำไรเห็น ๆ!

ความขัดสน ! เผื่อบางคนจะสงสัย ทั้งสี่คนนับว่าฐานะขัดสน เพราะสถานศึกษาฉางหลานเองขาดวัตถุดิบจำเป็นที่บรรดาศิษย์สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาขั้นพลัง

มิใช่เพียงวัตถุดิบประการเดียว ทั้งอาหารการกินก็อัตคัด !

เช่นเดียวกับศาสตราวุธจิตวิญญาณและอะไรทำนองนั้น ไม่ต้องถึงกับสุดยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณหรอก !

ชั่วขณะหนึ่ง เยี่ยฉวนหยุดพักการคิดเรื่องกระบี่ไว้ก่อน เขาหันไปทางจี้อันซื่อและอีกสองคน ร้องบอกพวกเขาว่า “พวกเราหยุดตรงนี้ก่อนสักเดี๋ยว !” และเรียกให้ทั้งสี่คนเข้ามารวมกลุ่ม

ชายหนุ่มมองจี้อันซื่อและโม่อวิ๋นฉี “บาดแผลของพวกเจ้าเป็นยังไงบ้าง ?” คนถูกถามส่ายหน้าพร้อมกัน แต่โม่อวิ๋นฉีกลับตอบเพิ่มเติมว่า “แผลแค่นี้เรื่องเล็กไม่หนักหนาสักนิด”

เยี่ยฉวนพยักหน้า จากนั้นจึงทำสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง เมื่อคนทั้งหมดนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย ทั้งจี้อันซื่อและคนอื่นต่างมองมาที่เยี่ยฉวนเป็นตาเดียว เพื่อคอยดูว่าเขาจะบอกอะไร !

ชายหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง “พวกเราชนะการต่อสู้ในเมืองหลวงก็จริง แต่การต่อสู้ในป่าเมื่อครู่ พวกเราแพ้ราบคาบ !”

ผู้ฟังทั้งสามเงียบงัน เยี่ยฉวนมองเพื่อนเรียงทีละคน ๆ “หลังจากที่พวกเราปะทะกับศัตรูครั้งก่อนรวมทั้งครั้งนี้ด้วย ข้าเชื่อว่าศิษย์แห่งฉางมู่จากที่อื่น คงต้องหาวิธีรับมือพวกเราอย่างหนักทีเดียว นั่นก็หมายความว่าศัตรูที่พวกเราพบเจอต่อไปจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าเดิม !”

โม่อวิ๋นฉีแยกเขี้ยวพูดสวนขึ้นทันที “ไม่ยาก พวกเราก็ออกไปซัดกับมันซี !”

เยี่ยฉวนมองหน้าโม่อวิ๋นฉี “ถ้าเราไม่ชนะล่ะ ?”

คราวนี้คนถูกถามกลับเงียบกริบ

เยี่ยฉวนพูดเสียงเบา “นับวันศัตรูจะยิ่งแกร่งกล้า ทั้งยอดฝีมือและยอดคนมากความสามารถที่เกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการ ข้าขอยกตัวอย่างยอดฝีมือระดับผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่ว นั่นไง…” เพียงได้ยินชื่อที่เขาเอ่ยถึง สีหน้าของโม่อวิ๋นฉีและอีกสองคนพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันควัน

เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เพราะรางวัลมากมายมหาศาลที่สถานศึกษาฉางมู่จัดให้เป็นแรงจูงใจอย่างดี ด้วยมูลค่าของรางวัลทำให้ในที่สุดบรรดายอดฝีมือที่แท้จริงเปิดเผยตัวตน …การปรากฏตัวของเฟิงอี้ซิ่วเป็นหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน !

“ลองนึกดูสิว่า ถ้าคนที่มาต่อสู้กับเราเป็นยอดคนอันดับต้น ๆ ของทำเนียบ จะเป็นอย่างไร ?” เมื่ออยู่ในภาวะความกดดัน ทุกคนพากันสงบนิ่ง

เสียงเยี่ยฉวนดังขึ้นอีกครั้ง “อีกอย่าง สถานศึกษาฉางมู่มักใช้วิธีสกปรก ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายมีแต่แย่ลง พวกนั้นคงไม่เลิกราจนกว่าไม่ใครก็ใครล่มสลายลงไปข้างหนึ่งเป็นแน่”

เขายืนขึ้นก่อนจะพูดต่อไป “พวกเจ้าทั้งสามพึงระลึกไว้เสมอว่า ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรานับวันยิ่งอันตราย แต่จะถอยก็ไม่ดี จะไปต่อก็ไม่ได้ จริงอยู่อาจารย์ใหญ่จี้เป็นผู้กล้าแกร่งมากที่สุด แต่ลำพังเขาคนเดียวคงไม่สามารถรับมือคนทั้งหมด ถ้าพวกเราต้องการมีชีวิตอยู่ พวกเราจำต้องพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงและยืนหยัดต่อสู้ !” พูดจบเขาจึงหันกลับและเดินออกจากสถานที่ไป

ด้านหลังมีเสียงของโม่อวิ๋นฉีพึมพำ “หมอนี่ ชอบทำให้ข้าต้องเครียดอยู่เรื่อยเลยวุ้ย”

ไป๋เจ๋อฟังแล้วไม่พูดว่าอะไร เพียงเดินกลับขึ้นเขาไปเงียบ ๆ ทว่าไม่นานจากนั้น จู่ ๆ ก็หยุดเดินและหันมาพูดกับโม่อวิ๋นฉีหน้าตาเอาจริงเอาจัง

“ไม่ต้องกังวล ถ้าเจ้าตายข้าจะจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ !”

โม่อวิ๋นฉี “…”

 ณ หอโถงฉางหลาน

ทันทีที่ร่างของเยี่ยฉวนปรากฏกายขึ้นภายในหอโถง เยี่ยหลิงพลันวิ่งถลันออกมาโผเข้ากอดพี่ชายแน่น โดยไม่มีเสียงพูดจากปากสักคำเดียว ด้วยนางได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเยี่ยฉวนและเฟิงอี้ซิ่วก่อนหน้าแล้ว

และแม้ว่าก่อนหน้าเด็กหญิงยังไม่ค่อยจะเข้าใจสถานการณ์ของเยี่ยฉวนและคนอื่นเท่าใดนัก แต่สิ่งหนึ่งที่คนเป็นน้องรู้คือนับวันมีแต่คนนำพาปัญหามาให้ท่านพี่ของตนมากขึ้นทุกที !

เยี่ยฉวนยกมือลูบศีรษะเล็ก ๆ อย่างเอ็นดู พลางพูดว่า “พี่ไม่เป็นไรแล้ว !” เยี่ยหลิงยังคงเกาะเกี่ยวเหนียวแน่นไม่ยอมปล่อยโดยไม่ปริปากเช่นเดิม ทว่าแววตากลับฉายประกายเย็นชาชวนพิศวง

ครึ่งชั่วยามถัดมา เยี่ยฉวนเดินกลับเข้าห้องพัก หลังจากปิดประตูลงกลอนแน่นหนาดีแล้ว เขาจึงเข้าสู่หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นห้อง กระบี่สามเล่มวางเรียงอยู่ที่พื้นเบื้องหน้า ทั้งหมดล้วนเป็นกระบี่จิตวิญญาณ !

ชายหนุ่มค่อยหลับตาลง ตั้งจิตแน่วแน่โคจรปราณตามวิถีแห่งกายาไร้เทียมทาน จากนั้นจึงกำหนดที่กระบี่เล่มหนึ่งด้วยการแบมือข้างขวาออก

พลันกระบี่เปล่งแสงแวบวาบและทะยานเข้าหาตัวคน ก่อนจะเลือนหายไปในหน้าอกของเยี่ยฉวน !

ทันใดนั้นร่างของเยี่ยฉวนสั่นเทิ้มรุนแรง !

เช่นเดียวกับภายในกายที่กระบี่หลิงซิ่วสั่นไหว !

ทว่าไม่นานจากนั้น กระบี่หลิงซิ่วก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นก้อนพลังมหาศาลหวนกลับมาบรรจบรวมในกาย

ฉับพลันบังเกิดรัศมีเปล่งประกายรายรอบตัวคน ประกอบกับมีแสงแห่งกระบี่ทอประกายเจิดจ้าออกมาภายนอก !

ในขณะนั้นเขารู้สึกเสมือนเป็นกระบี่ !

ขณะที่ร่างกายยังสั่นสะท้าน เริ่มขึ้นจากทีละน้อย ค่อยเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น จนพลังชี่ถูกผลักออกแน่นขึ้น หนักขึ้น

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม เยี่ยฉวนเริ่มกำหนดจิตไปที่กระบี่จิตวิญญาณเล่มที่สองเบื้องหน้า เพียงไม่นานกระบี่ก็ทะยานหายเข้าสู่ร่างกายเช่นเคย

เปรี้ยง !

ครานี้พลังแสงแห่งกระบี่สาดกระจายสู่ภายนอกร่างกาย ส่องรัศมีกวาดไปรอบทิศทาง

ทว่าทันทีที่ลำแสงสัมผัสเข้ากับผนังหอคอยแห่งเรือนจำ แสงแห่งกระบี่พลันวูบดับลงอย่างรวดเร็ว

กระบี่หลิงซิ่วภายในกายของเยี่ยฉวน สะท้านอย่างรุนแรงอีกครั้ง !

และที่เกิดขึ้นเช่นนี้ย่อมแสดงว่ากระบี่หลิงซิ่วกำลังดูดกลืนกระบี่จิตวิญญาณ !

การดูดซึมกระบี่จิตวิญญาณครั้งนี้เกิดขึ้นโดยง่าย !

ธรรมดาแล้วกระบี่หลิงซิ่วไม่อาจกระทำได้ แต่เพราะเยี่ยฉวนได้รับความสามารถนี้มาจากสตรีลึกลับ จึงเกิดเป็นข้อได้เปรียบ อาจกล่าวได้ว่าความสามารถนี้ช่วยให้กระบี่หลิงซิ่วดูดกลืนกระบี่ง่ายขึ้นนั่นเอง !

…จังหวะนั้น ปรากฏการณ์อีกอย่างพลันเกิดขึ้น ณ จุดตันเถียนในกาย ด้วยมันแข็งแกร่งขึ้นมาก ซึ่งความมากนั้นก็ทำให้เยี่ยฉวนสามารถก้าวหน้าในขั้นพลังได้ด้วยตนเอง !

นับว่าวิธีการบ่มเพาะพลังชี่ฉบับเยี่ยฉวนนี้พิสดารอยู่มาก ถ้าเรื่องราวเหล่านี้เผยแพร่ออกไปภายนอก ไม่แน่ว่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวายอลหม่านไม่น้อย

พลันกระบี่ทะยานขึ้นสู่อากาศออกมาเบื้องหน้าของเยี่ยฉวน จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงกระบี่ก่อนกลืนหายไปภายในกาย !

เปรี้ยง !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset