หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 166 กรุณาเรียกข้าว่าเยี่ยฉวนเซียนกระบี่ ! (ปลาย)

บทที่ 166 กรุณาเรียกข้าว่าเยี่ยฉวนเซียนกระบี่ ! (ปลาย)

ยามนั้นปรากฏกระแสคลื่นเป็นเส้นสายของแสงแห่งกระบี่แผ่กระจายออกมาภายนอกร่างกาย ขณะเดียวกันกระบี่หลิงซิ่วก็พลันทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน

เปรี้ยง !

ฉับพลันกระแสแห่งพลังชี่ก็ได้ปรากฏรอบตัวของชายหนุ่ม !

ขั้นทะยานสวรรค์ !

เปลือกตาของเยี่ยฉวนกระพือเปิดขึ้นทันที กระบี่หลิงซิ่วทอประกายระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า

ทว่าเพียงไม่นานแสงระยิบระยับกลับเลือนหาย !

ด้วยเคล็ดกายาไร้เทียมทานทำให้ร่างกายของเขาผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจจนเต็มปอด บัดนี้เขารู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง !

ระหว่างจ้องมองไปยังกระบี่หลิงซิ่ว จากนั้นจึงแบมือข้างขวาออกและงอเข้าหาตัวเล็กน้อย เรียกหากระบี่หลิงซิ่วทะยานมาสงบนิ่งบนฝ่ามือนั้น ชั่วขณะหนึ่งที่อุ้งมือกระชับกระบี่ ชายหนุ่มพลันรับรู้ถึงแรงสั่นของกระบี่อย่างเบาบาง ก่อนจะบังเกิดเสียงเสียดสีด้วยของมีคมดังแหลมลากยาว !!

กระบี่ประกายแสงระดับสูง !

กระบี่ประกายแสงมีสามระดับ ได้แก่กระบี่ประกายแสงระดับต้น กระบี่ประกายแสงระดับสูง และสุดยอดกระบี่ประกายแสง !!!

ทั้งพลังและกระบี่ได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น !

ภายหลังจากที่บรรลุขั้นทะยานสวรรค์แล้ว นอกจากความกล้าแกร่งที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม กระบี่ยังพัฒนาขึ้นด้วย ดังนั้นเยี่ยฉวนจึงเกิดความมั่นใจว่าหากเข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างเฟิงอี้ซิ่วในเวลานี้ โอกาสที่เขาสามารถสังหารอีกฝ่ายมีราวหกถึงแปดส่วนเลยทีเดียว !

ส่วนเหตุผลที่ความมั่นใจไม่เต็มร้อย ก็เพราะกังวลใจว่าเฟิงอี้ซิ่วอาจไม่ได้แบไต๋ทั้งหมดในการปะทะครั้งที่ผ่านมา ด้วยยอดอัจฉริยะหรือยอดคนทั้งหลาย พวกเขามักเก็บงำไม้เด็ดของตนไว้เป็นไพ่ใบสุดท้ายเสมอ

เยี่ยฉวนนิ่งคิดชั่วครู่ จากนั้นเขาเงยมองขึ้นไปที่ประตูทางขึ้นชั้นที่สอง นั่งมองอยู่เช่นนั้นพลางทำเสียง “ฮึ่ม ฮึ่ม” พร้อมทำท่าขัดใจ…

เพี้ยะ !

ทันใดนั้น เสียงตบวัตถุดังฉาดใหญ่แหวกอากาศลอยมา ทำเอาใบหน้าของเยี่ยฉวนหงายเงิบ ร่างทั้งร่างกลิ้งหลุน ๆ อย่างไม่เป็นท่า

เยี่ยฉวนกลิ้งไปหยุดบนพื้นดินด้านนอกหอคอย ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าทิ่มปักลงกับพื้น ร่างกายสั่นเทิ้ม และหลังเสียงเงียบลงสักครู่หนึ่ง เขาจึงค่อย ๆ พลิกกายกลับขึ้นมา

ก่อนจะค่อยยกมือขึ้นลูบใบหน้าและสลัดศีรษะอย่างมึนงง พร้อมเหยียดยิ้มมุมปาก เขาเคยคิดว่าหลังจากบรรลุขั้นทะยานสวรรค์แล้ว ควรจะได้ขยับขึ้นชั้นสองเสียที !

หากทว่านี่เป็นข้อพิสูจน์ ว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นได้แค่คนชั้นล่าง ! ด้วยตนเองก็ไม่อาจต้านทาน หากบางสิ่งบนนั้นเกิดความขุ่นเคืองใจขึ้นมา !

เยี่ยฉวนเก็บของให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงออกไปยังด้านหลังภูเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ในการฝึกฝน ครั้งนี้เขาเดินขึ้นไปบนยอดหรือในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ สำหรับการเหินเวหา !

ขั้นทะยานสวรรค์ !

เวลานี้พลังชี่ในกายก้าวหน้าขึ้นจนสามารถเหินเวหา !

จึงเป็นที่แน่นอนว่าความตั้งใจของเยี่ยฉวนคือการเหาะเหินบนอากาศในฐานะของผู้ฝึกกระบี่ !

การเหินเวหาโดยควบคุมกระบี่ !

นี่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำมาเนิ่นนานแล้ว

ไม่นานนัก เยี่ยฉวนเดินมาถึงจุดสูงที่สุดของภูเขา มองจากจุดที่ยืนอยู่ขณะนี้คะเนว่าสูงไม่น้อยกว่า 180 จั้ง ! นับว่าสูงเอาการ ! เยี่ยฉวนชักลังเล “กระโดดจากความสูงขนาดนี้ ถ้าไม่สามารถบังคับกระบี่ได้เล่า ?”

ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจจะไม่กระโดดลงจากหน้าผาโดยตรง ด้วยคิดแผนการบางอย่างขึ้นได้ ทันใดนั้นกระบี่หลิงซิ่วทะยานออกมาภายนอก และลอยตัวนิ่งอยู่เบื้องหน้า

เยี่ยฉวนออกคำสั่งให้กระบี่หลิงซิ่วทะยานในแนวนอนลงมาอยู่ในระดับเดียวกับฝ่าเท้า ก่อนที่คนจะก้าวขึ้นไปยืนบนกระบี่ที่ลอยตัวอยู่ แต่ทว่ากระบี่หลิงซิ่วเหมือนจะไม่สามารถทนรับน้ำหนักได้ จึงร่วงหล่นลงไปแตะพื้นดินในพลัน !

เห็นเช่นนั้น เขาก็ย่นหัวคิ้วอย่างสงสัย “แปลกจริง…” เห็นได้ชัดว่ากระบี่หลิงซิ่วไม่อาจรองรับน้ำหนักตัวได้ !

“ข้าควรทำยังไง ?” เยี่ยฉวนหน้ามุ่ย อยากถามสตรีลึกลับแทบใจจะขาด ถ้าเป็นนางเขาต้องได้คำตอบอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่นางยังคงอยู่ในสภาวะจำศีล ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากรบกวนบางสิ่งบนชั้นสองให้เกิดความระคายเคือง ! เพราะสิ่งนั้นมักลงโทษด้วยการตบสั่งสอนโดยไม่ทันตั้งตัว…

เช่นนั้นจึงมีเพียงวิธีเดียว คือช่วยเหลือตนเอง !

ณ ยอดเขาแห่งนั้น เยี่ยฉวนจับตามองกระบี่หลิงซิ่วในมือเป็นเวลาเนิ่นนาน ชั่วครู่เปลือกตากระพือเปิด “กระบี่สามารถตัดภูเขาและบดขยี้หินผา ฉะนั้นจึงมีความแข็งแกร่งเป็นเลิศ แต่เหตุไฉนถึงไม่อาจรองรับน้ำหนักของคนเพียงคนเดียวได้กัน ?” เมื่อคิดเช่นนั้น ราวกับปัญญาทางสร้างสรรค์เริ่มเปิดออก ความคิดมากมายหลั่งไหลภายในหัวสมอง !

“ถ้าข้าบังคับกระบี่เหินเวหาไม่สำเร็จ งั้นแล้วข้าก็ควรสร้างความกล้าแกร่งให้กับกระบี่ !” ชายหนุ่มกระชับกระบี่หลิงซิ่วซึ่งกำลังสั่นรุนแรง ก่อนที่ในไม่ช้ากระบี่พลันเปล่งประกายรัศมีออกโดยรอบจนบังเกิดเป็นลำแสงกระบี่วูบวาบ !!

เยี่ยฉวนค่อยคลายมือออกจากกระบี่ ถึงกระนั้นเขาก็มิได้ปล่อยกระบี่อย่างสิ้นเชิง ด้วยได้ถ่ายพลังสู่กระบี่หลิงซิ่วมากขึ้น

ไม่นานนัก ร่างของเยี่ยฉวนค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้นดินและขึ้นไปยืนบนกระบี่หลิงซิ่วทั้งตัว และแม้กระบี่จะลดระดับลงฮวบหนึ่งทว่ายังคงลอยอยู่เหนือพื้นดิน จึงบอกได้ว่าเวลานี้กระบี่สามารถทานน้ำหนักคนได้แล้ว !

เมื่อเห็นเช่นนั้น เยี่ยฉวนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก “ข้าทำได้ !”

ก่อนที่จะล่าช้าไปมากกว่านี้ เขาจึงพยายามข่มสติอารมณ์ จากนั้นเริ่มกำหนดพลังปราณบังคับกระบี่หลิงซิ่วที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้กระบี่สั่นสะท้านอย่างชัดเจน ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ ในเวลาเดียวกัน !

เมื่อเห็นว่ากระบี่เริ่มเคลื่อนตัว ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มอย่างยินดี จนกระทั่งกลายเป็นยิ้มกว้างขวางเต็มที่ในที่สุด…

จากจุดที่เคยอยู่ตอนนี้ เยี่ยฉวนสามารถเหินเวหาไปพร้อมกระบี่หลิงซิ่วไกลออกไป กระบี่ยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ และช้ามาก ความเร็วพอกับเขาเมื่อเดินเท้า ถึงกระนั้น เวลานี้เยี่ยฉวนสามารถบังคับกระบี่เหินเวหาได้สำเร็จแล้ว… !!

พักใหญ่ต่อมา เยี่ยฉวนเหินกระบี่มาถึงบริเวณตีนน้ำตก ซึ่งเมื่อนับเวลาเดินทางทั้งหมด มันก็ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามต่อระยะทางไม่ถึง 150 จั้ง ! อีกทั้งกระบี่ยังลอยสูงจากพื้นดินเพียงเล็กน้อย ไม่เกินศีรษะของผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำไป

ไป๋เจ๋อซึ่งฝึกพลังอยู่ที่น้ำตกแห่งนั้น เขาทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือผิวน้ำทันทีที่เห็นเยี่ยฉวนเหินกระบี่เฉียดเข้าไปใกล้ เสียงทักทายของคนในน้ำดังขึ้น “พี่หัวขโมยเยี่ย… เจ้า…”

เยี่ยฉวนตวัดมือไพล่หลังทำท่ายืดอก ชำเลืองมองไป๋เจ๋อด้วยหางตา “กรุณเรียกข้าว่าเยี่ยฉวนเซียนกระบี่ เข้าใจตรงกันนะ !”

ไป๋เจ๋อหน้าเหวอ  “…”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset