หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 167 ข้าโง่เอง ! (ต้น)

บทที่ 167 ข้าโง่เอง ! (ต้น)

เยี่ยฉวนเปรียบเหมือนผู้ควบคุมบังเหียนกระบี่ หันหลังกลับและเหินเวหาจากไป แต่ความเร็วของกระบี่เรียกได้ว่าอืดอาด… ช้ามาก !

เป็นการเหินกระบี่ที่เชื่องช้าอืดอาด !

อย่างกับเต่าคลาน !

ไป๋เจ๋อมองตามหลังเยี่ยฉวน สายตาเต็มไปด้วยความพิศวง ! “เนี่ยเหรอ กระบี่เหินเวหา ? …จะว่าไปกระบี่กำลังเหินก็จริง …แต่ข้าว่ามันดูแปลก ๆ…”

ด้านเยี่ยฉวน ชายหนุ่มเหินกระบี่ต่อไปที่ชายป่า ขณะนั้นเองใครคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้ามา เมื่อเห็นคนที่กำลังเข้าใกล้พลันเขาหยุดชะงักกึก ! ถูกแล้ว ผู้นั้นคือโม่อวิ๋นฉี ซึ่งกำลังฝึกฝนพลังอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง !

โม่อวิ๋นฉีหยุดมองเยี่ยฉวน ผู้ควบคุมกระบี่เหินเข้ามาใกล้ด้วยสายตาแปลกประหลาด “พี่หัวขโมยเยี่ย… เจ้าทำบ้าอะไรอยู่กัน ?”

เยี่ยฉวนเอามือไพล่หลังเชิดหน้า ตวัดสายตามองโม่อวิ๋นฉี เหยียดยิ้มแค่น ๆ “กรุณาเรียกข้าว่า เยี่ยฉวนเซียนกระบี่ เข้าใจนะ ขอบใจ !”

กล่าวจบ คนพูดก็คุมบังเหียนกระบี่ค่อย ๆ ลอยห่างออกไปอย่างช้า ๆ…ช้า ๆ

โม่อวิ๋นฉียืนมองด้วยความพิศวง ครู่ต่อมาจึงได้กลับเป็นตัวของตัวเอง “ไอ้นี่ท่าจะเพี้ยน…”

ไม่รู้ว่าเยี่ยฉวนใช้เวลานานเท่าใด ในที่สุดก็มาจนถึงลานหญ้าหน้าที่พักของอาจารย์ใหญ่จี้ ทว่าโชคร้ายนิดหน่อย ที่ไม่สามารถเหินกระบี่ข้ามรั้วที่ขวางกั้น เพราะกระบี่เหินของเยี่ยฉวนลอยสูงจากพื้นดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

…ดังนั้น เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการเหินกระบี่ผ่านเข้าทางช่องประตู

อาจารย์ใหญ่จี้นอนเอ้เตอยู่บนม้านั่งกลางลาน ซึ่งเหมือนเช่นเคย เนื้อตัวมีแต่กลิ่นสุราคละคลุ้งตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

ขณะนั้นเอง อาจารย์ใหญ่ปรือตาขึ้นข้างหนึ่งมองมาทางเยี่ยฉวน เห็นเช่นนั้นเยี่ยฉวนยืดตัว อกผายไหล่ผึ่ง เอามือไพล่หลังชำเลืองมองไปทางชายชรา “อาจารย์ใหญ่จี้ กรุณาเรียกข้าว่าเยี่ยฉวนเซียนกระบี่ !”

“พรวดดด !” คนฟังกำลังยกไหสุราขึ้นซด พลันถึงกับพ่นพรวดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เขาลดไหสุราลงและหันมามองดูเยี่ยฉวน จากนั้นยกนิ้วชี้กดลงเบา ๆ พลันเหรียญทองอันหนึ่งหล่นปุลงบนพื้นเบื้องหน้าเยี่ยฉวน “เอานี่เงิน แล้วรีบไปให้หมอเขาตรวจสมองเสียหน่อย อย่าช้าล่ะ !”

เยี่ยฉวนอึ้ง “…”

อีกหนึ่งชั่วยามต่อมา เยี่ยฉวนนั่งอยู่บนขั้นบันไดหินหน้าหอโถงฉางหลาน เขามองกระบี่หลิงซิ่วที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้า สายตามีแววครุ่นคิดลึกซึ้ง ยามที่นั่งมองกระบี่ สีหน้าของเยี่ยฉวนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

จริงอยู่ว่าบัดนี้เขาสามารถควบคุมกระบี่ได้ แต่ไม่ว่าจะใช้ความพยายามหนักเท่าใด ชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถทำความเร็วให้ได้มากกว่านี้สักที ไม่เพียงเท่านั้นเขากลับรู้สึกว่าทักษะนี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน

“ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง !”

“แต่คำถามคือปัญหาอะไรล่ะ ?” เยี่ยฉวนได้แต่ครุ่นคิด ทว่าคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก !

เวลาผ่านไป เขาจึงเลิกล้มเก็บความคิดเกี่ยวกับปัญหาไว้ข้างหลัง ตนเองหันมาเริ่มต้นฝึกฝนเคล็ดควบคุมกระบี่อีกครั้ง !

เยี่ยฉวนยิ่งฝึกฝน เขากลับพบว่ากระบี่หลิงซิ่วลอยสูงขึ้น สูงกว่าระดับศีรษะและยังมีความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม ไม่เพียงเท่านั้น การควบคุมกระบี่ยังง่ายขึ้นด้วย ทำให้การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ได้เปรียบกว่าเดิม …จึงอาจกล่าวได้ว่าความกล้าแกร่งแห่งอำนาจของเคล็ดควบคุมกระบี่ ส่งผลอย่างน่าอัศจรรย์นัก !

น่าเสียดาย ที่ภายในส่วนลึกเขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปเสมอ ซึ่งตัวเองยังไม่กระจ่างว่าสิ่งที่ขาดหายไปนั้นคืออะไร เยี่ยฉวนเคยถามอาจารย์ใหญ่จี้ ทว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจจนแล้วจนรอด หรือไม่อาจารย์ใหญ่อาจไม่อยากสอนเคล็ดวิชากระบี่ให้กระมัง ?

เยี่ยฉวนสีหน้าสลดหดหู่ สตรีลึกลับยังไม่ละจากการบริกรรมจำศีล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถไต่ถามต่อผู้ใด ชายหนุ่มคงต้องครุ่นคิดหาหนทางแก้ไขด้วยตนเองเสียแล้ว !

ในป่าทึบหลังภูเขา เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิบนพื้นดิน ในอากาศมีกระบี่เล่มหนึ่งฉวัดเฉวียนโฉบไปมา แต่ละครั้งที่กระบี่หลิงซิ่วตวัดฉวัดเฉวียน ต้นไม้ต้นใหญ่ที่กระบี่เพิ่งผ่านไปกลับถูกตัดลงครึ่งต้น…

ในระหว่างนั้น โม่อวิ๋นฉีมักแวะเข้ามาปะทะฝีมือท้าชิงเป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่ผู้ท้าชิงพ่ายแพ้เสียทีให้กับเยี่ยฉวน อีกฝ่ายก็จะใช้ความไวให้เป็นประโยชน์ด้วยการเผ่นแผล็วหายเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ทุกวัน

กระทั่งในเช้าวันหนึ่ง ณ ลานหน้าที่พักของอาจารย์ใหญ่จี้ ชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ลานหญ้า คนผู้นี้คืออาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน หลี่เสวียนชาง !

อาจารย์ใหญ่จี้นอนแผ่อยู่บนม้านั่ง ด้วยเมาสุราเช่นเคยและไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่น หลี่เสวียนชางมองคนนอนบนม้านั่ง รอยยิ้มแย้มปรากฏบนริมฝีปาก “อาจารย์ใหญ่จี้ ดูท่าว่าชีวิตของเจ้าช่วงนี้ราบรื่นจนน่าอิจฉา !”

“จะมาเล่าเรื่องไร้สาระใดก็ว่ามา !” หางเสียงคนตอบอ้อแอ้เล็กน้อย

ผู้ฟังหาได้แสดงท่าว่าโกรธขึ้งต่อถ้อยคำไม่ เขาหันมองในทิศทางด้านหลังภูเขาพลางตอบยิ้มแย้ม “สถานที่แห่งความลับซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยแห่งหนึ่งอยู่ในเทือกเขาหยก ณ เมืองหลวงของแคว้นหนิง เคยเป็นสถานที่ของทัวป้าฝู่ อดีตสุดยอดผู้กล้าแกร่งแห่งแคว้นหนิง ใครต่างก็รู้ว่าคนผู้นี้สำเร็จขั้นสุดยอดผนึกยุทธ์ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าภายในสถานที่แห่งความลับอาจมีสิ่งล้ำค่าซุกซ่อนไว้มาก เวลานี้แคว้นหนิงเปิดพื้นที่ให้แก่ผู้คนจากต่างแคว้นที่บรรลุขั้นทะยานสวรรค์ก่อนยี่สิบขวบปีที่ต้องการทดสอบพลัง เจ้าจะว่าอย่างไร ? สถานศึกษาฉางหลานคิดเข้าร่วมกับเขาบ้างไหม ?

“ไม่ !” สิ้นเสียงพูด อาจารย์ใหญ่จี้สวนตอบทันควัน

หลี่เสวียนชางยังคงยิ้ม “ไม่งั้นหรือ ? ถึงไม่อยาก แต่เจ้าต้องเข้าร่วมอยู่ดี !”

ทันใดนั้น อาจารย์ใหญ่จี้ลืมตาขึ้นทันที

พลันร่างของคนที่กำลังนอนแผ่วาบหายจากที่ ทว่าหลี่เสวียนชางที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับผลักฝ่ามือออกต้านทาน

เปรี้ยง !

ฉับพลันพื้นในบริเวณลานหญ้าระเบิดเศษดินหินเกลื่อนกระจาย

ในที่ด้านหลังภูเขา เยี่ยฉวนรวมทั้งคนอื่น พลันสีหน้าตระหนกแตกตื่นจากเสียงที่ได้ยิน พวกเขาทุกคนต่างวิ่งถลันมุ่งกลับไปยังหอโถงฉางหลาน

บริเวณพื้นที่แตกหักเสียหาย หลี่ซ่วนชางและอาจารย์ใหญ่จี้ยืนประจันหน้าอยู่คนละด้านห่างออกไป และเบื้องหลังของชายชราปรากฏบุรุษสวมผ้าคลุมสีดำ ในอ้อมแขนของเขามีร่างน้อยของเด็กหญิง เยี่ยหลิง !

ยามนี้สายตาของหลี่ซ่วนชางที่มองคนตรงหน้าช่างเยือกเย็นแต่ปากคลี่ยิ้ม “ฝากไปบอกเยี่ยฉวน ถ้ามันไม่ยอมไปสถานที่แห่งความลับ รอไปเก็บศพน้องของมันที่นั่นได้เลย !” จากนั้นคนพูดพลันหันหลังกลับพร้อมกับบุรุษสวมผ้าคลุมดำ

ทันใดนั้น เสียงคำรามดังสนั่นทางเบื้องหลัง “ไอ้สุนัขเฒ่า ปล่อยน้องข้าเดี๋ยวนี้ !” สิ้นเสียงคน เส้นแสงแห่งกระบี่สว่างวาบ ตวัดฟาดลงจากท้องฟ้าเบื้องสูงมุ่งลงตรงหลี่เสวียนชาง !!

ที่บนอากาศ หลี่ซ่วนชางแสยะยิ้มมุมปาก ไม่รอช้าแม้เพียงนิด ทำการผลักฝ่ามือข้างขวาพลางกดลงเพียงเล็กน้อย

เปรี้ยง !

แรงปะทะนั่นทำให้แสงแห่งกระบี่พลันกระจายออก ขณะเดียวกันกระบี่ก็ได้พุ่งตกลงมาหาร่างของเยี่ยฉวนที่ยืนเบื้องล่าง !!!

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset