บทที่ 167 ข้าโง่เอง ! (ต้น)
เยี่ยฉวนเปรียบเหมือนผู้ควบคุมบังเหียนกระบี่ หันหลังกลับและเหินเวหาจากไป แต่ความเร็วของกระบี่เรียกได้ว่าอืดอาด… ช้ามาก !
เป็นการเหินกระบี่ที่เชื่องช้าอืดอาด !
อย่างกับเต่าคลาน !
ไป๋เจ๋อมองตามหลังเยี่ยฉวน สายตาเต็มไปด้วยความพิศวง ! “เนี่ยเหรอ กระบี่เหินเวหา ? …จะว่าไปกระบี่กำลังเหินก็จริง …แต่ข้าว่ามันดูแปลก ๆ…”
ด้านเยี่ยฉวน ชายหนุ่มเหินกระบี่ต่อไปที่ชายป่า ขณะนั้นเองใครคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้ามา เมื่อเห็นคนที่กำลังเข้าใกล้พลันเขาหยุดชะงักกึก ! ถูกแล้ว ผู้นั้นคือโม่อวิ๋นฉี ซึ่งกำลังฝึกฝนพลังอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง !
โม่อวิ๋นฉีหยุดมองเยี่ยฉวน ผู้ควบคุมกระบี่เหินเข้ามาใกล้ด้วยสายตาแปลกประหลาด “พี่หัวขโมยเยี่ย… เจ้าทำบ้าอะไรอยู่กัน ?”
เยี่ยฉวนเอามือไพล่หลังเชิดหน้า ตวัดสายตามองโม่อวิ๋นฉี เหยียดยิ้มแค่น ๆ “กรุณาเรียกข้าว่า เยี่ยฉวนเซียนกระบี่ เข้าใจนะ ขอบใจ !”
กล่าวจบ คนพูดก็คุมบังเหียนกระบี่ค่อย ๆ ลอยห่างออกไปอย่างช้า ๆ…ช้า ๆ
โม่อวิ๋นฉียืนมองด้วยความพิศวง ครู่ต่อมาจึงได้กลับเป็นตัวของตัวเอง “ไอ้นี่ท่าจะเพี้ยน…”
ไม่รู้ว่าเยี่ยฉวนใช้เวลานานเท่าใด ในที่สุดก็มาจนถึงลานหญ้าหน้าที่พักของอาจารย์ใหญ่จี้ ทว่าโชคร้ายนิดหน่อย ที่ไม่สามารถเหินกระบี่ข้ามรั้วที่ขวางกั้น เพราะกระบี่เหินของเยี่ยฉวนลอยสูงจากพื้นดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
…ดังนั้น เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการเหินกระบี่ผ่านเข้าทางช่องประตู
อาจารย์ใหญ่จี้นอนเอ้เตอยู่บนม้านั่งกลางลาน ซึ่งเหมือนเช่นเคย เนื้อตัวมีแต่กลิ่นสุราคละคลุ้งตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
ขณะนั้นเอง อาจารย์ใหญ่ปรือตาขึ้นข้างหนึ่งมองมาทางเยี่ยฉวน เห็นเช่นนั้นเยี่ยฉวนยืดตัว อกผายไหล่ผึ่ง เอามือไพล่หลังชำเลืองมองไปทางชายชรา “อาจารย์ใหญ่จี้ กรุณาเรียกข้าว่าเยี่ยฉวนเซียนกระบี่ !”
“พรวดดด !” คนฟังกำลังยกไหสุราขึ้นซด พลันถึงกับพ่นพรวดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เขาลดไหสุราลงและหันมามองดูเยี่ยฉวน จากนั้นยกนิ้วชี้กดลงเบา ๆ พลันเหรียญทองอันหนึ่งหล่นปุลงบนพื้นเบื้องหน้าเยี่ยฉวน “เอานี่เงิน แล้วรีบไปให้หมอเขาตรวจสมองเสียหน่อย อย่าช้าล่ะ !”
เยี่ยฉวนอึ้ง “…”
อีกหนึ่งชั่วยามต่อมา เยี่ยฉวนนั่งอยู่บนขั้นบันไดหินหน้าหอโถงฉางหลาน เขามองกระบี่หลิงซิ่วที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้า สายตามีแววครุ่นคิดลึกซึ้ง ยามที่นั่งมองกระบี่ สีหน้าของเยี่ยฉวนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
จริงอยู่ว่าบัดนี้เขาสามารถควบคุมกระบี่ได้ แต่ไม่ว่าจะใช้ความพยายามหนักเท่าใด ชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถทำความเร็วให้ได้มากกว่านี้สักที ไม่เพียงเท่านั้นเขากลับรู้สึกว่าทักษะนี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน
“ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง !”
“แต่คำถามคือปัญหาอะไรล่ะ ?” เยี่ยฉวนได้แต่ครุ่นคิด ทว่าคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก !
เวลาผ่านไป เขาจึงเลิกล้มเก็บความคิดเกี่ยวกับปัญหาไว้ข้างหลัง ตนเองหันมาเริ่มต้นฝึกฝนเคล็ดควบคุมกระบี่อีกครั้ง !
เยี่ยฉวนยิ่งฝึกฝน เขากลับพบว่ากระบี่หลิงซิ่วลอยสูงขึ้น สูงกว่าระดับศีรษะและยังมีความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม ไม่เพียงเท่านั้น การควบคุมกระบี่ยังง่ายขึ้นด้วย ทำให้การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ได้เปรียบกว่าเดิม …จึงอาจกล่าวได้ว่าความกล้าแกร่งแห่งอำนาจของเคล็ดควบคุมกระบี่ ส่งผลอย่างน่าอัศจรรย์นัก !
น่าเสียดาย ที่ภายในส่วนลึกเขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปเสมอ ซึ่งตัวเองยังไม่กระจ่างว่าสิ่งที่ขาดหายไปนั้นคืออะไร เยี่ยฉวนเคยถามอาจารย์ใหญ่จี้ ทว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจจนแล้วจนรอด หรือไม่อาจารย์ใหญ่อาจไม่อยากสอนเคล็ดวิชากระบี่ให้กระมัง ?
เยี่ยฉวนสีหน้าสลดหดหู่ สตรีลึกลับยังไม่ละจากการบริกรรมจำศีล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถไต่ถามต่อผู้ใด ชายหนุ่มคงต้องครุ่นคิดหาหนทางแก้ไขด้วยตนเองเสียแล้ว !
ในป่าทึบหลังภูเขา เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิบนพื้นดิน ในอากาศมีกระบี่เล่มหนึ่งฉวัดเฉวียนโฉบไปมา แต่ละครั้งที่กระบี่หลิงซิ่วตวัดฉวัดเฉวียน ต้นไม้ต้นใหญ่ที่กระบี่เพิ่งผ่านไปกลับถูกตัดลงครึ่งต้น…
ในระหว่างนั้น โม่อวิ๋นฉีมักแวะเข้ามาปะทะฝีมือท้าชิงเป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่ผู้ท้าชิงพ่ายแพ้เสียทีให้กับเยี่ยฉวน อีกฝ่ายก็จะใช้ความไวให้เป็นประโยชน์ด้วยการเผ่นแผล็วหายเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ทุกวัน
กระทั่งในเช้าวันหนึ่ง ณ ลานหน้าที่พักของอาจารย์ใหญ่จี้ ชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ลานหญ้า คนผู้นี้คืออาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน หลี่เสวียนชาง !
อาจารย์ใหญ่จี้นอนแผ่อยู่บนม้านั่ง ด้วยเมาสุราเช่นเคยและไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่น หลี่เสวียนชางมองคนนอนบนม้านั่ง รอยยิ้มแย้มปรากฏบนริมฝีปาก “อาจารย์ใหญ่จี้ ดูท่าว่าชีวิตของเจ้าช่วงนี้ราบรื่นจนน่าอิจฉา !”
“จะมาเล่าเรื่องไร้สาระใดก็ว่ามา !” หางเสียงคนตอบอ้อแอ้เล็กน้อย
ผู้ฟังหาได้แสดงท่าว่าโกรธขึ้งต่อถ้อยคำไม่ เขาหันมองในทิศทางด้านหลังภูเขาพลางตอบยิ้มแย้ม “สถานที่แห่งความลับซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยแห่งหนึ่งอยู่ในเทือกเขาหยก ณ เมืองหลวงของแคว้นหนิง เคยเป็นสถานที่ของทัวป้าฝู่ อดีตสุดยอดผู้กล้าแกร่งแห่งแคว้นหนิง ใครต่างก็รู้ว่าคนผู้นี้สำเร็จขั้นสุดยอดผนึกยุทธ์ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าภายในสถานที่แห่งความลับอาจมีสิ่งล้ำค่าซุกซ่อนไว้มาก เวลานี้แคว้นหนิงเปิดพื้นที่ให้แก่ผู้คนจากต่างแคว้นที่บรรลุขั้นทะยานสวรรค์ก่อนยี่สิบขวบปีที่ต้องการทดสอบพลัง เจ้าจะว่าอย่างไร ? สถานศึกษาฉางหลานคิดเข้าร่วมกับเขาบ้างไหม ?
“ไม่ !” สิ้นเสียงพูด อาจารย์ใหญ่จี้สวนตอบทันควัน
หลี่เสวียนชางยังคงยิ้ม “ไม่งั้นหรือ ? ถึงไม่อยาก แต่เจ้าต้องเข้าร่วมอยู่ดี !”
ทันใดนั้น อาจารย์ใหญ่จี้ลืมตาขึ้นทันที
พลันร่างของคนที่กำลังนอนแผ่วาบหายจากที่ ทว่าหลี่เสวียนชางที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับผลักฝ่ามือออกต้านทาน
เปรี้ยง !
ฉับพลันพื้นในบริเวณลานหญ้าระเบิดเศษดินหินเกลื่อนกระจาย
ในที่ด้านหลังภูเขา เยี่ยฉวนรวมทั้งคนอื่น พลันสีหน้าตระหนกแตกตื่นจากเสียงที่ได้ยิน พวกเขาทุกคนต่างวิ่งถลันมุ่งกลับไปยังหอโถงฉางหลาน
บริเวณพื้นที่แตกหักเสียหาย หลี่ซ่วนชางและอาจารย์ใหญ่จี้ยืนประจันหน้าอยู่คนละด้านห่างออกไป และเบื้องหลังของชายชราปรากฏบุรุษสวมผ้าคลุมสีดำ ในอ้อมแขนของเขามีร่างน้อยของเด็กหญิง เยี่ยหลิง !
ยามนี้สายตาของหลี่ซ่วนชางที่มองคนตรงหน้าช่างเยือกเย็นแต่ปากคลี่ยิ้ม “ฝากไปบอกเยี่ยฉวน ถ้ามันไม่ยอมไปสถานที่แห่งความลับ รอไปเก็บศพน้องของมันที่นั่นได้เลย !” จากนั้นคนพูดพลันหันหลังกลับพร้อมกับบุรุษสวมผ้าคลุมดำ
ทันใดนั้น เสียงคำรามดังสนั่นทางเบื้องหลัง “ไอ้สุนัขเฒ่า ปล่อยน้องข้าเดี๋ยวนี้ !” สิ้นเสียงคน เส้นแสงแห่งกระบี่สว่างวาบ ตวัดฟาดลงจากท้องฟ้าเบื้องสูงมุ่งลงตรงหลี่เสวียนชาง !!
ที่บนอากาศ หลี่ซ่วนชางแสยะยิ้มมุมปาก ไม่รอช้าแม้เพียงนิด ทำการผลักฝ่ามือข้างขวาพลางกดลงเพียงเล็กน้อย
เปรี้ยง !
แรงปะทะนั่นทำให้แสงแห่งกระบี่พลันกระจายออก ขณะเดียวกันกระบี่ก็ได้พุ่งตกลงมาหาร่างของเยี่ยฉวนที่ยืนเบื้องล่าง !!!