หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 170 เคล็ดวิชาเพลงกระบี่เป็นเช่นนี้หรือ ? (ปลาย)

บทที่ 170 เคล็ดวิชาเพลงกระบี่เป็นเช่นนี้หรือ ? (ปลาย)

ณ ยอดเขาฉางซาน

ภายในหอโถงสถานศึกษาฉางมู่

“ใคร ?” เสียงของใครคนหนึ่งคำรามแผดสนั่นไปทั้งหอโถง คนที่นั่งในตำแหน่งสูงสุด หลี่เสวียนชางใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด “ฝีมือใครทำให้ชาวเมืองนึกคิดไปเช่นนี้ ?”

ขณะนั้นเองหลี่ซิ่วซึ่งอยู่ในตำแหน่งรองลงมา ลุกขึ้นยืนพลางกล่าวว่า “บางทีคงจะเป็นฝีมือของสำนักอัปสรเมรัย หรือไม่เช่นนั้นก็ราชสำนักแคว้นเจียง ขอรับ…”

แววตาของหลี่เสวียนชางพลันลดความแข็งกร้าวลง “พวกชาวเมืองไม่มีทางหันไปเข้าข้างฉางหลาน ไม่มีเหตุผล !”

หลี่ซิ่วหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง “หน่วยข่าวของเรารายงานมาแล้ว ว่าจ้าวหอชั้นเก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัยติดตามไปอารักขาพวกเยี่ยฉวนในขณะเดินทางไปยังแคว้นหนิง… นอกจากนั้น อดีตฮ่องเต้แคว้นเจียงยังแอบให้ความช่วยเหลือพวกนั้นอย่างลับ ๆ ด้วยขอรับ !”

ข้อมูลที่ได้รับจากหลี่ซิ่วยังผลให้คนอื่นในที่นั้นพลันสีหน้าแปรเปลี่ยนแตกต่าง ด้วยการที่บุคคลทั้งสองยื่นมือเข้าช่วยเยี่ยฉวนเช่นนี้ มันก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาเลือกที่จะอยู่ข้างฉางหลาน !

อย่างที่รู้กันว่ากลุ่มอิทธิพลสามกลุ่มแห่งแคว้นเจียงคือ หนึ่งสถานศึกษาฉางมู่ สองสำนักอัปสรเมรัย และสามราชสำนักแห่งแคว้นเจียง ทว่าในตอนนี้ สองในสามกลับเลือกที่จะยืนอยู่ข้างสถานศึกษาฉางหลาน !

เหตุผิดวิสัย !

ทุกสายตาจับจ้องไปที่หลี่เสวียนชาง ขณะที่เขาหลับตาลงช้า ๆ “รองอาจารย์ใหญ่หลี่ซิว เจ้าสืบเรื่องของเยี่ยฉวนไปถึงไหนแล้ว ?”

หลี่ซิ่วรีบรายงาน “เขาเป็นคนเมืองชิง…”

“เหลวไหล !” เสียงตวาดแสดงความไม่พอใจของหลี่เสวียนชางดังขัดจังหวะ “เมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองชิงจะมีผู้ฝึกกระบี่อย่างนั้นหรือ ? ไอ้เด็กนั่นเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อนที่มันจะเป็นศิษย์ฉางหลานเสียอีก แสดงว่ามันต้องมีทักษะมาก่อนที่จะเข้าฉางหลาน ยิ่งคราวที่กลับจากเมืองชายแดน ดูเหมือนว่าขั้นพลังของมันจะก้าวหน้าขึ้นมากและกล้าแกร่งขนาดสามารถสังหารได้แม้เฟินเจี๋ย นี่หรือที่ว่าเป็นคนธรรมดา ? …ทั้งหมดนี้เป็นเพราะไอ้คนที่ส่งไปสืบข่าวแล้วมารายงาน หรือเป็นเพราะเจ้าที่ไร้ความสามารถกันแน่ ?!!”

หลี่ซิ่วหน้าซีดเป็นไก่ต้ม จะว่าไปเวลานี้เขากลายเป็นบุคคลที่ใครต่อใครในสถานศึกษาฉางมู่เกลียดชังมากที่สุดไปแล้ว ด้วยถ้าเขาใส่ใจและรับเยี่ยฉวนเข้าเป็นศิษย์ฉางมู่เสียในวันนั้น สถานศึกษาฉางมู่ของพวกเขาจะต้องรุ่งโรจน์โชติช่วงต่อไปอีกชั่วกัปกัลป์ ! ส่วนสถานศึกษาฉางหลานนั้น คงมีแต่จะต้องรอวันล่มสลาย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป !

ทว่าในเวลานี้ ฉางหลานกลับได้มองเห็นความหวังรำไร ขณะที่ฉางมู่จมดิ่งลงทุกขณะ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสถานศึกษาฉางมู่ละเลยเด็กนั่น !

เด็กหนุ่มที่ใฝ่ฝันมาโดยตลอดว่าจะต้องเข้าเป็นศิษย์แห่งฉางมู่ให้ได้ !

ครานั้นสถานศึกษาฉางมู่เคยหัวเราะเยาะต่อเยี่ยฉวนในฐานะเศษเดนที่ฉางมู่ไม่ต้องการและเขี่ยทิ้ง มาบัดนี้ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างพากันหัวเราะเยาะฉางมู่ ทั้งยังพูดกันว่าโรงกำจัดขยะอย่างสถานศึกษาฉางมู่ กำลังกำจัดขยะซึ่งเป็นศิษย์ที่กล้าแกร่งหลายต่อหลายคนของตนเองเสียแล้ว !

ท่ามกลางความเงียบงันในลานโถง พลันเสียงของหลี่เสวียนชางพูดขึ้นว่า “ช่างมันเถิด เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่อาจหวนคืน ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บ ด้วยยิ่งจะทำให้ยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีก”

เขาหยุดนิดหนึ่งพลางกวาดสายตาไปตามใบหน้าของทุกคนในหอโถง “เวลานี้ สิ่งที่เราทำได้คือต้องร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเยี่ยฉวน และไม่ว่ารากเหง้าของมันจะเป็นอย่างไร มันต้องตายสถานเดียว หวังว่าพวกเจ้าทุกคนคงรู้แล้วว่าเหตุใดฉางหลานจึงถูกปฏิเสธจนมีสภาพเช่นนี้ “

ทุกคนในลานหอโถงพยักหน้าตอบรับ เพราะเวลานี้ ไม่ควรก่อปัญหาภายในกันเอง !

หลี่เสวียนชางหันไปทางโม่ซ่ง รองอาจารย์ใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งนั่งในตำแหน่งใกล้ที่สุด “เตรียมการถึงไหน ?”

โม่ซ่งรีบหันมารายงาน “เกือบเรียบร้อยแล้วขอรับ ทัวป้าเหยียน ฮ่องเต้สตรีแห่งแคว้นหนิงตอบยืนยันพร้อมให้ความร่วมมือกับทางเราเต็มที่ !”

หลี่เสวียนชางพยักหน้า “ศิษย์แห่งอาณาจักรภูผาเมฆาล่ะ ว่าอย่างไร ?”

โม่ซ่งมีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “พวกเขามีข้อแม้ว่าหากทางเรารับปากจะส่งมอบคัมภีร์ยุทธ์ขั้นสวรรค์ ทางเขาก็จะส่งคนไปทันที”

“บอกไปว่า ตกลง !” จากนั้นหลี่เสวียนชางพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าฆ่าเยี่ยฉวนได้ ไม่เพียงคัมภีร์ยุทธ์ขั้นสวรรค์ระดับต้นเท่านั้น แต่พวกเขาจะได้ทั้งทักษยุทธ์ขั้นสวรรค์ระดับต้น และยังเพิ่มศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสงให้อีกด้วย !”

ทันทีที่อาจารย์ใหญ่พูดจบ ทุกคนในหอโถงพากันตะลึงงัน

ขั้นสวรรค์ !

สิ่งล้ำค่าที่ว่าล้วนประมาณค่ามิได้ !

ในช่วงหลายปีมานี้ สถานศึกษาฉางมู่ครอบครองคัมภีร์ยุทธ์ขั้นสวรรค์ได้ไม่เกินห้าเล่ม ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงสามเล่ม ! ขณะที่ศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสงทั้งสถานศึกษาฉางมู่มีอยู่เพียงหกชิ้นเท่านั้น ! และทั้งหกชิ้น ต่างก็ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่สถานศึกษาฉางมู่มาเป็นเวลาหลายพันปี !

การจะต้องเสียสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นไป ก่อให้เกิดความเจ็บปวดในจิตใจของทุกคนอย่างยิ่ง !

หลี่เสวียนชางจับตามองใบหน้าของทุกคน “ถ้าเยี่ยฉวนไม่ตาย เขาจะเป็นคนที่ช่วยให้ฉางหลานกลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง และเมื่อถึงตอนนั้น จะเป็นสถานศึกษาฉางมู่ของพวกเราที่ต้องย้อนรอยแห่งความพินาศของสถานศึกษาฉางหลาน การที่เรายอมเสียสิ่งล้ำค่าเพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่า มันก็ย่อมดีกว่าการที่สถานศึกษาล่มสลายและคนล่มสลายลง ด้วยสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นจะหาประโยชน์อันใดมิได้อีก”

สิ้นเสียงพูดของอาจารย์ใหญ่ บรรยากาศในหอโถงนิ่งงัน

หลังจากนั้น หลี่เสวียนชางหันไปถามโม่ซ่งต่อไป “ที่อื่นว่าอย่างไรบ้าง ?”

โม่ซ่งหันกลับมารายงานเสียงแหบแห้ง “นอกเหนือจากอาณาจักรภูผาเมฆา ยังมีแคว้นอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจเช่นเดียวกัน ในจำนวนนี้บางคนมีชื่อเสียงและเป็นยอดคนที่ถูกจารึกชื่อในทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ เช่นเดียวกับพวกจอมยุทธ์ไร้สังกัดบางคนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์พลังของเยี่ยฉวนมาก่อนที่ต่างก็สนใจ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่กล้ามาต้องย่อมมั่นใจในฝีมือพอควรขอรับ”

เมื่อกล่าวรายงานถึงตรงนี้ หลี่เสวียนชางมองหน้าโม่ซ่งก่อนจะถามว่า “ข้าเคยได้ยินว่ามีสำนักมือสังหารหลายแห่งสนใจ จงส่งคนไปแจ้งพวกเขาด้วย !”

หลี่เสวียนชางหรี่ตาลงเล็กน้อย เสียงถามสืบไป “มีใครแจ้งไปที่ดินแดนอันธกาลหรือยัง ?”

โม่ซ่งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ไม่ทราบขอรับ !”

คนถามนิ่งคิดชั่วขณะ ในที่สุดมีเสียงพูดขึ้นว่า “ส่งคนของเราไปแจ้งพวกเขา ถ้าใครฆ่าเยี่ยฉวนได้ จะได้รับคัมภีร์ยุทธ์ขั้นสวรรค์ระดับต้น ไม่สิ ส่งข่าวไปว่าใครที่ฆ่าเยี่ยฉวนได้ สถานศึกษาฉางมู่จะสมนาคุณให้คนผู้นั้นเป็นคัมภีร์ยุทธ์ขั้นสวรรค์ระดับต้น ทักษะยุทธ์ขั้นสวรรค์ระดับต้น และศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสง !”

โม่ซ่งมองหน้าหลี่เสวียนชาง สายตาเต็มไปด้วยความพิศวงงงงัน “รางวัลค่าหัวขนาดนี้… เทียบเท่าค่าหัวของผู้กล้าแกร่งขั้นผสานเทพทีเดียวนะขอรับ ! ถ้าเป็นอย่างนี้พวกยอดยุทธ์อาวุโส ก็คงจะมาเป็นแน่…”

ทุกคนในที่นั้นต่างหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ “ค่าหัวจำนวนมหาศาล อย่าว่าแต่เยี่ยฉวนเลย รางวัลค่าหัวระดับนี้ ต่อให้ผู้นั้นเป็นอาจารย์ใหญ่จี้ เชื่อได้ว่าสามารถล่อใจให้มีคนอยากลองเสี่ยง” แน่นอน รางวัลล่อใจก็เรื่องหนึ่ง อีกอย่างคือความกล้าหาญหรือไม่กล้าที่จะมา ที่ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง !

หลี่เสวียนชางสีหน้าดุดัน กล่าวเสียงเหี้ยมเกรียมไร้ปราณี “ในเมื่อฉางหลานอยากปกป้องมัน ฉะนั้นฉางหลานก็ต้องยอมเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก !”

ราวครึ่งชั่วยามต่อมา ประกาศการตั้งรางวัลค่าหัวของเยี่ยฉวนถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการ ไม่เพียงเฉพาะแคว้นเจียงเท่านั้น ทว่าแคว้นอื่นทั้งใกล้และไกลต่างตื่นตัวด้วยเช่นกัน !

รางวัลค่าหัว ! รางวัลค่าหัวยิ่งใหญ่จนขนหัวลุก ! ขณะเดียวกัน กลุ่มคนและกองกำลังน้อยใหญ่ระดับสูงในละแวกแคว้นเจียง ล้วนตื่นเต้นตื่นตัวไปกับค่าหัวรางวัล !

ณ เมืองหน้าด่าน ในค่ายทหาร

เจียงจิ่วนั่งพิจารณาสารลับซึ่งถูกส่งถึงมือเบื้องหน้าเนิ่นนาน ในที่สุดก็ผุดลุกขึ้นจากม้านั่ง “ส่งสาส์นไปยังท่านบิดาว่า ข้าขอให้พี่ใหญ่หลินเข้ามาทำหน้าที่รักษาการณ์แทนข้าที่นี่ !”

ออกคำสั่งเสร็จแล้ว จึงก้าวออกไปหน้ากระโจมพัก จัดการผิวปากส่งสัญญาณเรียกม้าศึกประจำกายทันที พลันทางเบื้องหลัง ปรากฏร่างของชายชราผู้หนึ่งทำท่าเอ่ยทัดทาน “องค์หญิง ท่านเป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นจะทิ้งกองทหารไปง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไรพะย่ะค่ะ ? องค์หญิง…”

เจียงจิ่วก้มลงมองแผ่นป้ายทองคำในมือซึ่งเยี่ยฉวนเคยมอบให้ไว้ ! นางเคยนำไปแลกเงินที่อยู่ในแผ่นป้ายแล้ว แต่ยังคงเก็บรักษาแผ่นป้ายไว้อย่างดี

สายตาจ้องมองแผ่นป้ายในมือ รอยยิ้มปรากฏบนเรียวปาก “เขาเคยช่วยเหลือข้า ดูแลข้าอย่างดี ไฉนเลยข้าจะสามารถดูดาย ปล่อยให้เขาตายเสียเล่า ?”

สิ้นเสียงคนพูด ม้าพลันควบออกไปอย่างรวดเร็ว !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset