หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 171 น้องข้าอยู่ที่ไหน ? (ต้น)

บทที่ 171 น้องข้าอยู่ที่ไหน ? (ต้น)

ณ บนเรือเหาะ ภายในห้องพักผู้โดยสาร

ร่างของเยี่ยฉวนในท่านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น กระแสพลังชวนพิศวงแห่งเคล็ดวิชาหมุนวนรอบตัว

…ความน่าพิศวงแห่งกระแสเคล็ดวิชาบังเกิดบรรยากาศคลุมเครือและแสงเรื่อเรือง…

ณ ปากทางขึ้นชั้นที่สอง กระดาษแผ่นหนึ่งละล่องลอยลงมาและตกลงบนพื้นสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าเยี่ยฉวน บนกระดาษ…ปรากฏภาพของกระบี่ ขณะที่เบื้องหลังมีเครื่องหมาย ‘?’ ขนาดใหญ่

หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เยี่ยฉวนลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตาจับจ้องไปยังภาพที่ปรากฏบนกระดาษ เสียงพึมพำผ่านริมฝีปาก “ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี…”

เมื่อเยี่ยฉวนผุดลุกขึ้นยืน ฉับพลันกระบี่หลิงซิ่วก็ได้ทะยานออกมาภายนอก จนเกิดลำแสงสว่างเป็นเส้นสายสาดส่องไปทั่วบริเวณพื้นที่ชั้นหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้นทั่วร่างของชายหนุ่มยังปรากฏแสงเรืองรองแห่งแสงกระบี่ อีกทั้งยังไหวระริกจากกระแสแห่งเคล็ดวิชา !

ฉับพลันนั้น ระดับการผสานระหว่างกระบี่หลิงซิ่วและเยี่ยฉวนพุ่งทะยานสู่เก้าส่วนในสิบส่วน !

บัดนี้เยี่ยฉวนไม่จำเป็นต้องอาศัยการหลอมรวมลมปราณในการควบคุมกระบี่ต่อไป ด้วยสามารถใช้ทักษะ ‘เคล็ดวิชา’ ในการควบคุมกระบี่ทดแทน !

ความเร็วของกระบี่เพิ่มขึ้นห้าเท่าจากเดิม !

ที่สุดเขาก็สามารถควบคุมกระบี่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ !

เรือเหาะลำนั้น พาพวกเยี่ยฉวนเดินทางเข้าใกล้แคว้นหนิงขึ้นทุกขณะ

แคว้นหนิง !

แคว้นหนิงมีอาณาเขตติดกับแคว้นเพื่อนบ้านสองแคว้นคือแคว้นเจียงและแคว้นถัง เมื่อพิจารณาจากแนวเขตแดนของทั้งสามแคว้นจะเห็นได้ว่าบรรจบกันเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่แคว้นหนิงมีข้อได้เปรียบมากกว่าแคว้นเจียงและแคว้นถัง จึงนับเป็นแคว้นที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามแคว้น !

ทั้งนี้เพราะความขัดแย้งระหว่างแคว้นถังและแคว้นเจียงที่มีมาโดยตลอด ทำให้แคว้นทั้งสองไม่หยุดการสู้รบซึ่งยังผลให้คู่ต่อสู้จำต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอันเป็นผลพวงจากสงคราม แตกต่างจากแคว้นหนิง !

เพราะในขณะนั้นแคว้นหนิงได้มุ่งเน้นการพัฒนาภายในแคว้นให้เจริญรุ่งเรือง ! อีกทั้งแคว้นหนิงยังมีข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศทางธรรมชาติ อันเป็นแหล่งแร่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังปราศจากภัยทางธรรมชาติ จึงส่งผลให้แคว้นหนิงเป็นชนชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแคว้นเพื่อนบ้าน

แต่แคว้นหนิงยังคงดำรงตนเป็นกลางมาอย่างสม่ำเสมอโดยตลอด ทั้งไม่เคยเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยปราศจากเหตุผล ! จึงทำให้หลายแคว้นประสงค์อยากที่จะเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตกับแคว้นหนิงอยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นแคว้นเจียง แคว้นถัง รวมทั้งแคว้นอื่นด้วย !

รุ่งอรุณของวันใหม่

เรือเหาะค่อยลอยลำเข้าสู่น่านฟ้าเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง ระยะทางเหลือเพียงร้อยห้าสิบจั้งก่อนจะเข้าสู่เขตเมืองหลวง ชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณด้านหน้าเรือเหาะซึ่งเตรียมจะเข้าเทียบท่า สีหน้าของคนเฉยชาไร้ความรู้สึก ขณะเอ่ยเสียงดังฟังชัด “แสดงป้ายผ่านทาง ?”

“แผ่นป้ายผ่านทางงั้นหรือ ?” ผู้โดยสารทั้งที่สี่คนยืนเรียงหน้ากระดานอยู่บนดาดฟ้า เยี่ยฉวนหันไปมองจี้อันซื่อและเอ่ยถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย นางจึงต้องอธิบายให้ฟังว่า “เรือเหาะที่ไม่มีป้ายผ่าน จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่แคว้นหนิง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรือเหาะของสำนักนักอัปสรเมรัยก็ตาม”

คนพูดนิ่งชั่วครู่ ก่อนเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยต่อไป “ไม่ว่าจะเป็นสำนักอัปสรเมรัยหรือสถานศึกษาฉางมู่ หาได้มีความสลักสำคัญต่อแคว้นหนิง เหตุเพราะราชสำนักแห่งแคว้นหนิงมีความเข้มแข็ง แม้ว่าในอดีตทั้งสองแห่งนี้เกือบถูกกวาดล้างทำลายโดยทัวป้าฝู่ ผู้ซึ่งเป็นยอดยุทธ์ที่กล้าแกร่งที่สุดในแคว้น แต่ในที่สุดแม้จะไม่ถูกกวาดล้างแต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร จะเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ต้องกระทำอยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักแคว้นหนิง !”

คำพูดบอกกล่าวของจี้อันซื่อ สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ฟังไม่น้อย เมื่อเป็นที่ทราบกันดีว่าในแคว้นเจียง ทั้งสำนักอัปสรเมรัยและสถานศึกษาฉางมู่ ต่างเป็นกลุ่มอำนาจที่ทั้งเอาแต่ใจและหยิ่งผยอง !

ครู่ต่อมา หัวหน้าหลีปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าชายวัยกลางคน เขาทำท่าดีดนิ้ว พลันแผ่นป้ายชนิดหนึ่งปรากฏออกเบื้องหน้า หลังจากชายวัยกลางคนพิจารณาดูแล้ว อีกฝ่ายจึงหันหลังเดินย้อนกลับไป

จากนั้นเรือเหาะก็เคลื่อนต่อไปข้างหน้า เพียงไม่นานต่อมา เรือเหาะก็ได้ทะยานร่อนลงจอดเทียบท่าได้อย่างปลอดภัยในเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง

บนดาดฟ้า หัวหน้าหลีเดินตรงมาหาเยี่ยฉวนและพรรคพวกทั้งสาม ชายชราค้อมตัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องจะแจ้งคุณชายเยี่ย ทางเราสืบจนทราบแผนการของสถานศึกษาฉางมู่แล้ว ในเวลานี้ทางฉางมู่ทำการป่าวประกาศและตั้งรางวัลค่าหัวของท่านด้วยมูลค่าสูงลิ่ว อาจเป็นไปได้ว่า พวกมันหวังให้ผู้กล้ามากมายมุ่งไปยังสถานที่แห่งความลับ อีกทั้งบรรดาคนที่ไปเหล่านั้น แต่ละคนล้วนกล้าแกร่งไม่มีใครอ่อนด้อย ทั้งนี้เป้าหมายของพวกเขาหาได้มุ่งบุกเข้าไปในสถานที่แห่งความลับถ่ายเดียว แต่มุ่งไปเพื่อล่ารางวัลค่าหัวของท่าน !”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับทราบด้วยท่าทีเรียบเฉย “ข้าเข้าใจแล้ว และขอบคุณสำหรับข้อมูล !”

หัวหน้าหลีเหลือบมองใบหน้าของเยี่ยฉวน ได้เห็นแต่ความสงบเยือกเย็น เขาจึงมีท่าทางลังเลก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาว่า “คุณชายเยี่ย ข้ารู้มาว่าพวกคนที่จะไปยังสถานที่แห่งความลับนั้นล้วนไม่ใช่ธรรมดา มิหนำซ้ำบางคนยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกจารึกขึ้นทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์อีกด้วยน่ะขอรับ !”

เยี่ยฉวนยกฝ่ามือขึ้นห่อกำปั้นแสดงคารวะ “ท่านนับว่ามีเมตตาต่อข้ายิ่งนัก ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ ลาก่อน !”

จากนั้นจึงหันไปทางจี้อันซื่อและคนอีกสอง ก่อนคนทั้งหมดจะพากันเดินลงจากเรือเหาะ ไม่นานนักคนกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งสามก็กลืนหายไปกับฝูงชนชาวเมืองบนท้องถนน

บนดาดฟ้าของเรือเหาะลำเดิม หัวหน้าหลีหันไปมองชายชราอีกด้านหนึ่ง ! ไม่ต้องสงสัยว่าเขาก็คือจ้าวหอชั้นเก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัย !

หัวหน้าหลีเอ่ยเสียงแห้ง “ท่านจ้าวหอขอรับ ดูท่าเวลานี้สถานศึกษาฉางมู่ได้แสดงเจตนารมณ์อย่างโจ้งแจ้งเสียแล้วว่าต้องการสังหารคุณชายเยี่ยฉวน การที่ทางเราเลือกที่จะในการสนับสนุนเขา… เช่นนี้จะเสี่ยงเกินไปนะขอรับ”

จ้าวหอชั้นเก้ากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งปานกัน “เสี่ยงงั้นหรือ ? ถ้าเราไม่ช่วยในวันที่คนตกระกำลำบาก เราจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสำนักอัปสรเมรัยกับคนผู้นี้…” คนพูดเบนสายตา มองไกลไปจนสุดที่ปลายขอบฟ้า “มีเซียนกระบี่ อยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่มนั่น !”

“เซียนกระบี่ ! ไม่เคยปรากฏว่ามีเซียนกระบี่ในแผ่นดินชิง ! แม้แต่จ้าวกระบี่แห่งโลกฉาง จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครบรรลุถึงขั้นเซียนกระบี่ !” เสียงพูดยังดังต่อไป

“อย่าว่าแต่สถานศึกษาฉางมู่สาขาย่อยแห่งนี้ แม้สำนักใหญ่แห่งฉางมู่ยังต้องก้มหัวให้แก่เซียนกระบี่ ! ทว่าในตอนนี้ พวกคนของฉางมู่กำลังมุ่งมั่นในการแก้แค้นต่อเยี่ยฉวนอย่างเอาเป็นเอาตาย…” เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว พลันคนพูดส่ายหน้าน้อย ๆ ริมฝีปากเหยียดยิ้ม “สถานศึกษาฉางมู่… ช่างปราชญ์เปรื่องยิ่งนัก…”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset