หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 172 น้องข้าอยู่ที่ไหน ? (ปลาย)

บทที่ 172 น้องข้าอยู่ที่ไหน ? (ปลาย)

ภายในวังหลวงแห่งแคว้นหนิง

สตรีผู้ประทับนั่งอยู่เหนือบัลลังก์มังกร สวมผ้าคลุมปักลวดลายมังกรทองคำ ด้วยท่วงท่าและสีหน้าซึ่งสงบเรียบเฉยมิได้ไยดีต่อน้ำหนักของอาภรณ์บนเรือนกาย แต่กลับทำให้เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นดูเหมาะสมสอดคล้องกับผู้สวมใส่ยิ่งนัก ทั้งยังส่งเสริมให้เรือนร่างที่งดงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น เส้นผมดำขลับปล่อยสยายทิ้งตัวตามความยาวทางเบื้องหลัง นางกำลังมองภาพวาดเบื้องหน้า หัวคิ้วค่อยหย่อนคลายด้วยอารมณ์ที่สงบเย็นลง

สตรีผู้นี้แท้ที่จริงแล้วคือ ทัวป้าเหยียน ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นหนิง !  หลังจากนั้น ทัวป้าเหยียนปิดภาพวาด “เรื่องเยี่ยฉวนที่ข้าให้เจ้าไปสืบได้ความว่าอย่างไร ?”

พลันมีเสียงตอบดังมาจากมุมมืด “พะยะค่ะฝ่าบาท ข้าสืบได้รากเหง้าของคนผู้นี้มา ว่าแท้จริงแล้วเขามาจากเมืองชิงแห่งแคว้นเจียง แต่ไม่ปรากฏว่าใครคือบิดามารดา ชีวิตเติบโตมากับน้องสาวอีกหนึ่งคน ในวัยเด็กค่อนข้างลำบาก จำต้องอยู่ด้วยตนเองกับน้องสาว ณ ตระกูลเยี่ย ก่อนที่ต่อมาผู้อาวุโสแห่งตระกูลจะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบทอดตระกูลเยี่ยนับตั้งแต่นั้น…”

ในไม่ช้าข้อมูลของเยี่ยฉวนได้ถูกถ่ายทอดจนหมดสิ้น นับตั้งแต่ที่เมืองชิงกระทั่งเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นกับเยี่ยฉวน แน่นอนไม่หมดเสียทุกอย่าง ยกเว้นบางเรื่อง

หลังจากนิ่งฟังจนจบ ทัวป้าเหยียนเอนกายพิงพนักบัลลังก์มังกร ค่อยปิดเปลือกตาลง “สิ่งที่เจ้าพูดมาทั้งหมด เป็นเพียงผิวเผิน !”

ดังนั้น เสียงจากมุมมืดจึงรีบกล่าวตอบว่า “เท่าที่พวกข้าไตร่ตรองดู นอกจากสถานศึกษาฉางหลาน น่าจะมีคนระดับปรมาจารย์อยู่เบื้องหลัง ด้วยเพราะเหตุการณ์ที่เยี่ยฉวนสังหารคนระดับหัวหน้าของสำนักอัปสรเมรัยตายบนเรือเหาะ แต่เขากลับยังอยู่รอดปลอดภัย ซึ่งไม่เพียงสำนักอัปสรเมรัยจะไม่ทำอันตรายเขาเท่านั้น ทว่ายังขอโอกาสแก้ตัวต่อเขา ดังนั้นทางเราจึงได้ข้อสรุปว่า อีกฝ่ายจะต้องมีปรมาจารย์สักคนที่คอยหนุนหลัง อีกทั้งคนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือเยี่ยมยอดอีกด้วย !”

เยี่ยมยอด!

เมื่อทัวป้าเหยียนลืมตา เผยให้เห็นประกายตาคู่นั้นวับวาวราวคมกระบี่ พลันนางรำลึกถึงเหตุการณ์ที่แสงกระบี่ทำให้ร่างของนางตรึงติดกับโคนไม้ใหญ่จนไม่อาจขยับเขยื้อน อีกทั้งยังไม่สามารถตอบโต้พลังเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับสองลำแสงแห่งกระบี่ตวัดผ่าน !

ขณะนั้นมีเสียงของคนพูดดังขึ้นอีกครา “สถานศึกษาฉางมู่ประสงค์ที่จะให้ทางเราร่วมมือในการสังหารคนผู้นี้ ฝ่าบาท ในฐานะตัวแทนคณะที่ปรึกษาแห่งองค์ฮ่องเต้ ข้าน้อยขอแนะนำให้พระองค์ทรงตอบปฏิเสธคำขอจากสถานศึกษาฉางมู่เถิดพะย่ะค่ะ”

ทัวป้าเหยียนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เพราะเหตุใด ?”

เสียงกังวานตอบมาจากมุมมืด “คนผู้นี้ออกจากเมืองชิงเดินทางสู่เมืองหลวง และจากเมืองหลวงต่อไปยังเมืองหน้าด่าน จากนั้นจึงเดินทางจากเมืองหน้าด่านกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง เพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน เยี่ยฉวนผู้นี้กลับมีความกล้าแกร่งก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับในช่วงหลังทั้งราชสำนักแคว้นเจียงและสำนักอัปสรเมรัยเปลี่ยนหันมาให้การสนับสนุนต่อชายผู้นี้ ทางเราจึงควรเชื่อว่าน่าจะมีระดับปรมาจารย์หรือยอดฝีมือเยี่ยมยุทธ์คอยหนุนอยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นแคว้นหนิงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นศัตรูกับเยี่ยฉวน”

ทัวป้าเหยียนชำเลืองมองรูปวาดของเยี่ยฉวนนิ่งเฉยมิได้กล่าวอันใดอีก

พลันบุรุษสวมชุดดำปรากฏกายขึ้นภายในท้องพระโรง มองเห็นคนบนบัลลังก์ เขาจึงย่อเข่าลงข้างหนึ่งแสดงความเคารพ “ฝ่าบาท เวลานี้มีคน 76 คนให้ความสนใจล่ารางวัลค่าหัวเยี่ยฉวน ซึ่งทั้ง 76 คนต่างก็เป็นเหล่าอัจฉริยะยอดฝีมือและยอดคนจากหลายแคว้น อีกทั้งในกลุ่มนั้น ยังมีสามคนที่ถูกจารึกชื่อไว้ในทำเนียบแห่งผู้เยี่ยมยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น ได้ข่าวว่าสถานศึกษาฉางมู่สาขาแห่งอาณาจักรภูผาเมฆายังได้ส่งคนมาที่นี่ด้วย แต่ทางเรายังไม่รู้แน่ชัดว่าคนที่ถูกส่งมาเป็นใคร อีกอย่างแม้แต่ดินแดนอันธกาลก็ส่งคนมาด้วย ทว่าพวกเรายังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นใครเช่นกันพะย่ะค่ะ !”

“ดินแดนอันธกาล !” หัวคิ้วของทัวป้าเหยียนขมวดมุ่น “สำนักมือสังหารไม่วายยากมาร่วมสนุกด้วย อย่างนั้นหรือ ?”

บุรุษชุดดำกล่าวเสียงแหบห้าว “รางวัลค่าหัวก้อนใหญ่ที่สถานศึกษาฉางมู่ตั้งไว้นั้น เป็นสิ่งล่อใจที่ยากจะปฏิเสธพะย่ะค่ะ”

ทัวป้าเหยียนพยักหน้าเบา ๆ “เอาล่ะ เจ้าออกไปได้ !”

ชายชุดดำแสดงความเคารพก่อนจะหันกลับไปทันที

ภายในท้องพระโรงเงียบสงบลงอีกครั้ง

ชั่วครู่หนึ่ง ทัวป้าเหยียนเอ่ยขึ้นว่า “หลังจากนี้แคว้นเราจะเปิดสถานที่แห่งความลับ แต่ทางเราจะไม่ร่วมในการล่าสังหารคน แจ้งไปยังเหล่าขุนนางตระกูลสูงในแคว้นหนิง รวมทั้งคนในราชสำนักว่าแคว้นเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในการล่าค่าหัวสังหารเยี่ยฉวน ใครฝ่าฝืนคำสั่ง มีโทษประหาร !”

“รับบัญชาพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท !”

ณ ใจกลางเมืองหลวงแคว้นหนิง กลุ่มคนท่าทางมอซอ เยี่ยฉวนและพวกอีกสามคนเดินอยู่บนท้องถนนในเมืองหลวง รอบตัวแวดล้อมไปด้วยฝูงชนคลาคล่ำ !

พลันทางเบื้องหน้าพวกเขา ปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งราวสิบกว่ายืนขวางเต็มถนน ทุกคนต่างสวมเสื้อแบบและชนิดเดียวกัน ปักตราสัญลักษณ์บนอกเสื้อ ! สถานศึกษาฉางมู่ !

ทั้งสองฟากฝั่งถนน มีผู้คนทยอยจับกลุ่มห้อมล้อม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกคนเหล่านั้นคาดหวังจะได้เห็นสิ่งตื่นเต้นเร้าใจ

เสียงศิษย์ฉางมู่คนหนึ่งที่ยืนตรงกันข้ามกับเยี่ยฉวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคงเป็นเยี่ยฉวนจากสถานศึกษาฉางหลานแห่งแคว้นเจียง สินะ ได้ยินว่าค่าหัวแพงระเบิดระเบ้อ…”

ฉับพลันนั้นเยี่ยฉวนหายวับจากที่ไปต่อหน้าต่อตา

ขณะต่อมานั้นเอง

ฉัวะ ! เสียงพูดของคนผู้นั้นขาดลงกระทันหัน ขณะเดียวกัน ที่ลำคอส่วนคอหอยฉีกขาด โลหิตพุ่งออกจากบาดแผลฉกรรจ์สาดกระจายทั่วพื้นผิวถนน !

ในลานกว้าง ชาวเมืองและทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่แตกต่าง

เยี่ยฉวนมิได้ยั้งหยุดเพียงแค่นั้น เขาหงายฝ่ามือออก และกระบี่หลิงซิ่วในอุ้งมือพลันเหินทะยานออกจากที่อุ้งมือไป

ฉัวะ ! ฉัวะ ! ฉัวะ !

ทั่วทั้งลาน มีเพียงลำแสงแห่งกระบี่พุ่งทะยานเข้าหากลุ่มศิษย์ฉางมู่ มองผาดเผินราวหมู่มวลผีเสื้อเริงระบำโฉบชิมเกสรดอกไม้…

“โอ๊ะ อ๊ากกก…” เสียงตื่นตระหนกตามด้วยเสียงกรีดร้องครวญครางดังต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ในเวลาเดียวกันศีรษะของกลุ่มศิษย์ฉางมู่กระเด็นตกลงบนพื้นถนน คนแล้วคนเล่า ! ไร้ผู้รอดชีวิต !

ทุกคนมองดูเหตุการณ์ด้วยความตระหนกอกสั่น ไม่เว้นแม้แต่จี้อันซื่อ รวมทั้งคนอื่นต่างตกตะลึงจนได้แต่นิ่งขึง ทุกคนหันมองหน้ากันอ้าปากค้าง แววตาเต็มไปด้วยความปริวิตก ด้วยการเป็นไปเช่นนี้ แสดงว่าเยี่ยฉวนออกจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว !

เขาดูเปลี่ยนเป็นอีกคน ! กระบี่หลิงซิ่งทะยานกลับสู่ผู้เป็นเจ้าของ หยาดโลหิตที่ค้างอยู่บนคมมีดรินไหลสู่ปลายกระบี่

เยี่ยฉวนเก็บกระบี่ของเขาคืนสู่ฝัก ก่อนจะออกเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ทว่าก้าวออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวต้องพลันชะงักฝีเท้าลง ด้วยบุรุษวัยกลางคนออกยืนขวางอยู่เบื้องหน้า สายตาดุดันจ้องเขม็งที่ใบหน้าของชายหนุ่ม “ที่นี่คือแคว้นหนิง ไม่ใช่แคว้นเจียง ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะแสดงพฤติกรรมป่าเถื่อน…”

ขณะนั้นเยี่ยฉวนพลันหายวับไปอีกครา ทันใดร่างของเขาปรากฏทะยานอยู่เบื้องเหนือศีรษะของชายวัยกลางคน และฉับพลันนั้นกระบี่หนึ่งฟาดฉับลงโดยแรง !

ความว่องไวดุจสายฟ้าของกระบี่ ฟันฉับลงตรง ๆ ชายวัยกลางคน ตัดกึ่งกลางกะโหลกศีรษะผู้นั้นออกเป็นสองซีก ! ยามนี้โลหิตสด ๆ สาดกระจายจนแดงฉานไปทั่วบริเวณ !

เยี่ยฉวนสีหน้านิ่งเฉย ขณะเก็บคืนกระบี่เข้าฝัก ! พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่โดนหยาดโลหิตกระเซ็นใส่ เสียงพึมพำเล็ดลอดจากปากพอจับได้ว่า “ข้าแค่จะมารับน้องของข้ากลับไปเท่านั้น…”

จากนั้นเขากวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่เข้ามามุงดู สีหน้าว่างเปล่า “น้องของข้าอยู่ไหน ?” ชาวเมืองที่มุงดูยามนี้มองเยี่ยฉวนด้วยสีหน้าสีตาตื่นกลัวเต็มเปี่ยม

ทันใดนั้น สีหน้าของเยี่ยฉวนพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดันมุ่งร้าย ชั่วขณะต่อมากระบี่หลิงซิ่วในมือของเขาสะท้านสะเทือนรุนแรง ลำแสงกระบี่พุ่งวาบสว่างไสวไปทั่วลานบริเวณ

เปรี้ยง ! ระเบิดรุนแรง เกิดแรงสะเทือนจนเป็นเหตุให้บ้านเรือนหลังที่อยู่ละแวกใกล้เคียงหลังหนึ่งพังถล่มลงในบัดดล !

“ไอ้คนนั้นมันบ้าไปแล้ว หนีเร็ววว !”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset