หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 175 เสียใจนะ…ข้าไม่เห็นด้วย ! (ต้น)

บทที่ 175 เสียใจนะ…ข้าไม่เห็นด้วย ! (ต้น)

ณ ปากทางเข้าสู่หุบเขาลึก มีบานประตูผลึกแก้วสีฟ้าใสกระจ่างส่องสว่างขวางกั้น หากมองไปจะคล้ายห้วงน้ำกำลังหมุนเป็นเกลียวน้ำวนน่าพิศวง

ขณะนั้น ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งในมือถือกระบี่ยาวกำลังเดินตรงเข้ามาช้า ๆ คนที่ใครต่อใครจดจำได้อย่างแม่นยำ เขาผู้นั้นคือเยี่ยฉวน ที่ติดตามมาด้วยโม่อวิ๋นฉีและคนอีกสองคน

จี้อันซื่อกวาดสายตามาทางประตูที่มีแสงสว่าง พึมพำเสียงกระซิบพอให้ได้ยิน “ถึงแล้วสถานที่แห่งความลับ!”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจหลับตาลง “ข้าเองไม่อาจรู้ได้ว่าข้างในมีอะไรกำลังรอเราอยู่ แต่ถึงอย่างไรข้าก็จะเข้าไป และพวกเจ้า…”

“ตกลง ตกลง !” โม่อวิ๋นฉีโบกมือเป็นเชิงตัดบท “เจ้านี่ชอบพูดเยิ่นเย้อ เร็วเข้า พวกเจ้าพยายามถ่วงเวลาศัตรูไว้ ส่วนข้าจะไปตามหาน้องหลิงเอ๋อร์เอง”

ชายหนุ่มหันมามองโม่อวิ๋นฉี ก่อนเหลือบไปทางคนอื่นอีกสองคน เขาหันกลับเดินไปทางประตูโดยไม่พูดอะไร มีไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อตามมาติด ๆ จากนั้นคนทั้งสามจึงทยอยเดินหายเข้าประตูแสงสว่างไปทีละคน

ขณะนั้นโม่อวิ๋นฉีจับตาดูอยู่ เขาสูดลมหายใจ “น้องหลิงเอ๋อร์ โปรดรอดปลอดภัยโดยสวัสดิภาพด้วยเถิด… ข้าอยากกินอาหารฝีมือของเจ้าเต็มทีแล้ว…” กายสั่นสะท้านเล็กน้อย ขณะก้าวตรงไปที่ประตูแสงสว่าง

ในลานกว้าง

หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ปรากฏเงื่อมเงามากมายโฉบมาใกล้และในไม่ช้าเงื้อมเงาเหล่านั้นก็พากันทะยานผ่านเข้าสู่ประตูแสงสว่าง

ณ บนอากาศ ชายชราผู้หนึ่งเพ่งมองไปที่ประตูแสงสว่าง  เขาคือหลี่เสวียนชาง อาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ และคนอีกผู้หนึ่ง ชายในชุดดำ ! เสียงของคนชุดดำพูดว่า “คนผู้นี้ไม่ธรรมดา !”

ผู้ฟังยังคงสีหน้าเรียบเฉยเช่นที่เคย “เพราะไม่ธรรมดา จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเขาต้องตาย !”

ชายในชุดดำนิ่งเงียบ

หลี่เสวียนชางหลับตาลงช้า ขณะที่เสียงพูดดังมาว่า “เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ต้องทำทุกวิถีทาง…”

อีกด้านหนึ่งบนยอดไม้ ชายชราสองคนกำลังจับตามองที่ประตูแสงสว่างไม่ห่างออกไป

หนึ่งในสองชัดเจนว่าคืออดีตฮ่องเต้แห่งแคว้นเจียง เจียงเยว่เทียน และอีกคนคือจ้าวหอชั้นที่เก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัย !

เจียงเยว่เทียนหันไปสบตากับจ้าวหอชั้นเก้า ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเจือจาง “จ้าวหอชั้นเก้า ข้าแปลกใจนักที่คราวนี้ท่านกลับเลือกเข้าข้างเยี่ยฉวน”

จ้าวหอชั้นเก้าตอบอย่างใจเย็น “ข้าก็แปลกใจท่านไม่น้อยกว่ากัน หวังว่าท่านคงจะรู้ว่า หากท่านเป็นฝ่ายที่แพ้เดิมพัน ราชสำนักเจียงจะต้องเผชิญหน้ากับการล้างแค้นของสถานศึกษาฉางมู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”

เจียงเยว่เทียนยิ้มน้อย ๆ เช่นเคย “ถ้าให้เดาข้าว่าท่านก็เดิมพันสูงเช่นกัน ฉะนั้นท่านกับข้า พวกเรามาร่วมมือกันเสียเลยเป็นไง ?

จ้าวหอชั้นเก้านิ่งเงียบ

เสียงของเจียงเยว่เทียนพูดต่อไป “เวลานี้พวกยอดยุทธ์แก่ ๆ ทั้งหลายต่างมุ่งหน้ามาที่นี่ พวกเราอาจช่วยป้องกันเขาจากตาเฒ่าต่ำช้าเหล่านั้น เพราะถ้าคนเป็นในวัยไล่เลี่ยกัน เขาย่อมสามารถจัดการได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว”

คนฟังเงียบไปครู่ใหญ่ จึงหันมาพยักหน้าตอบ “ตกลง !”

เจียงเยว่เทียนหันกลับไปมองทางประตูแสงสว่างอีกครา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

การเดิมพัน ! ครั้งนี้นับเป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ของราชสำนักเจียง ! เขาเดิมพันด้วยเชื่อว่าเยี่ยฉวนมียอดปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุน !

ถ้าฉางมู่เป็นพ่ายแพ้ เขาจะเป็นผู้ได้ชัยชนะในการเดิมพัน เมื่อนั้นราชสำนักแห่งแคว้นเจียงจะได้ประโยชน์มหาศาล อีกทั้งยังได้สานสัมพันธ์กับเยี่ยฉวน ใครต่างรู้ดีว่าเยี่ยฉวนและองค์หญิงเก้าเป็นสหายสนิทสนม ตอนนี้ทางราชสำนักหันมาเลือกข้างเยี่ยฉวนอย่างเปิดเผย ย่อมจะเป็นการดีที่จะได้กระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ด้วยความเป็นยอดฝีมือของเยี่ยฉวน ในอนาคตเขาต้องประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไป ยิ่งเยี่ยฉวนกล้าแกร่งมากขึ้น ราชสำนักแห่งแคว้นเจียงก็มีแต่จะได้ประโยชน์ !

แต่ถ้าเขาเป็นฝ่ายแพ้เดิมพัน… ราชสำนักแคว้นเจียงจะต้องเผชิญหน้ากับสถานศึกษาฉางมู่โดยตรงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ถึงเวลานั้นสถานศึกษาฉางมู่จะต้องกระทำการตอบโต้ต่อราชสำนักอย่างโหดเหี้ยม ทั้งยังร่วมกันกับแคว้นถังทำสงครามกับแคว้นเจียง…

“เราจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด !” เจียงเยว่เทียนหลับตาลงเพื่อข่มสติ

ในความเป็นจริง เขาไม่จำเป็นต้องเลือกเดินสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับก็ได้ แต่จะว่าไปเพราะเขาไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเจียงจิ่วเองก็มาถึงแคว้นหนิงแล้ว นางเลือกที่จะยืนข้างเยี่ยฉวนอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งย่อมหมายถึงราชสำนักแคว้นเจียงเลือกข้างเยี่ยฉวนเช่นกัน เว้นเสียแต่แคว้นเจียงจะยอมทิ้งเจียงจิ่ว !

นึกถึงสิ่งนี้ เจียงเยว่เทียนได้แต่ส่ายหน้าและทอดถอนใจ “ผู้หญิงเติบใหญ่แล้ว วันหนึ่งต้องเป็นของคนอื่น…”

….

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง สตรีสวมผ้าคลุมสีดำปักลวดลายมังกรยืนอยู่บนเนินศิลา ท่าที่เอามือไพล่หลัง ผมยาวดำขลับปล่อยสยายทางเบื้องหลังปลิวกระจายตามแรงลม รัศมีแห่งอำนาจและบุคลิกมั่นใจฉายชัด

แท้ที่จริงแล้วนางคือ ทัวป้าเหยียน ! ด้านหลังติดตามมาด้วยคนอีกสองคน หนึ่งชายชราและหนึ่งหญิงชรา

ทัวป้าเหยียนชำเลืองมองประตูแสงสว่างด้วยท่าทีเมินเฉย “ชายหนุ่มผู้นั้นมาถึงที่นี่เพื่อช่วยน้องสาว ทั้งที่รู้ว่าตนเองแทบไม่มีทางชนะ พวกท่านคิดว่าเพราะความโง่หรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ?”

ชายชราทางเบื้องหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ความโง่ ! แน่นอนพะย่ะค่ะ ต่อให้ยอดฝีมือที่เป็นรองเพียงอันหลานซิ่ว หากไม่คิดเอาชีวิตมาทิ้ง ในกาลข้างหน้าย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เขาจะล้มล้างอำนาจของสถานศึกษาฉางมู่ เขา…”

“หุบปาก !” ทันใดนั้น หญิงชราซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเหลือบมองคนพูด สายตาแสดงความไม่พอใจ “ข้าว่าคนที่โง่คือเจ้านั้นล่ะ”

ชายชราสงบถ้อยคำลงฉับพลัน มุมปากบิดเบี้ยวทว่าไม่ตอบโต้ต่อวาจาว่ากล่าวนั้น ทำได้เพียงเสียงพ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างขุ่นเคือง

จากนั้นหญิงชราหันมองไปที่ประตูแสงสว่าง “ฝ่าบาทเท่าที่ข้าสังเกตชายผู้นี้ เขาเป็นคนที่เห็นคุณค่าทางความรู้สึก ทั้งยังมีความซื่อสัตย์ นับว่ามีความเป็นคนจริงโดยแท้ เพคะ

ทัวป้าเหยียนพูดเสียงเรียบ “ข้ากลัวแต่ว่า เขาจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าเท่านั้น !”

หญิงชราสั่นศีรษะเล็กน้อย “ข้าคิดว่านั่นไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าเขาจะเอาชีวิตมาสังเวยหรือไม่นั้น หาใช่สิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญคือเขากล้ามาหรือไม่ต่างหาก ถ้าเขาไม่กล้าและปล่อยให้น้องสาวต้องตาย เช่นนั้นต่อไปเขาจะได้ชื่อว่าเป็นเซียนกระบี่ขี้ขลาด !”

เสียงชายชราขัดจังหวะ “สุภาพบ้างได้ไหม ?”

สายตาคมปลาบของหญิงชราตวัดผ่านมามองหน้าชายชราคนพูด อีกฝ่ายเบ้ปาก หน้างอง้ำแต่ไม่กล้าพูดออกมา

คนที่ยืนอยู่บนโขดศิลา ทัวป้าเหยียนพูดอย่างใจเย็น “ท่านป้าเจียงพูดถูก ถ้าวันนี้เขาไม่กล้า ก็จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนจริงต่อให้ภายหน้าจะได้เป็นเซียนกระบี่ก็ตาม”

ขณะนั้นเอง บุรุษในชุดดำปรากฏกายในระยะไม่ไกลจากด้านหลังของทัวป้าเหยียน เขาทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ฝ่าบาท หลี่เสวียนชาง อาจารย์ใหญ่สถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียง ให้คนมาสอบถามว่าเหตุใดทางเราจึงปฏิเสธข้อตกลงและไม่ส่งคนเข้าร่วมสังหารเยี่ยฉวนพะย่ะค่ะ !”

ทัวป้าเหยียนได้ยินคนพูด นางจ้องเขม็งชายในชุดดำ “บอกมันว่า ไปตายเสีย”

ชายในชุดดำสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไปจากสถานที่

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset