หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 177 เข่นฆ่า ! (ต้น)

บทที่ 177 เข่นฆ่า ! (ต้น)

กระบี่ดั่งรับรู้จิตใจของผู้เป็นนาย !

เสียงแห่งกระบี่หลิงซิ่วดังสะท้านกึกก้อง สายตาของเยี่ยฉวนฉายความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด มุมปากยกยิ้มเริ่มแรก ก่อนที่ต่อมาแปรเปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียม เขาหันหลังกลับ มองมาทางหลังไม่ไกลออกไปเท่าใด ที่นั่นมีบุรุษรุ่นหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติง

ชายผู้สวมเสื้อคลุมยาวสีสะอ้านราวปุยหิมะ ด้านหลังของเสื้อคลุมทอดยาวทาบทับไปกับพื้นดิน เผยให้เห็นที่ชายปักรูปดอกเหมยฮวานับได้สี่แห่ง สายตาที่มาตรงมายังเยี่ยฉวนแทบไม่กระพริบ ริมฝีปากเม้มหุบมิมีวาจาเอ่ยออกแม้แต่คำเดียว

เยี่ยฉวนมองนิ่งตอบ ไม่เอ่ยวาจาเช่นเดียวกัน มีเพียงท่าทียืนประจันหน้า แววตาเฉยชาไร้รู้สึกอยู่เช่นนั้น

บางคราการเป็นฝ่ายริเริ่มจู่โจม อาจหมายถึงการฉกฉวยโอกาสความได้เปรียบ แต่ในขณะเดียวการเริ่มก่อนอาจเป็นการเผยจุดอ่อนของตนแก่คู่ต่อสู้ได้ด้วย !

ดังสถานการณ์ครั้งนี้ ทั้งสองจึงไม่มีใครยอมชิงลงมือก่อนใคร ถึงกระนั้น การณ์ไม่ได้หยุดชะงักเนิ่นนาน ด้วยเยี่ยฉวนเป็นฝ่ายขยับ !

เยี่ยฉวนคือผู้ฝึกกระบี่ สิ่งสำคัญในยามที่ผู้ฝึกกระบี่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคืออะไร ? คำตอบคือความเชื่อใจ ! เขาต้องมีความเชื่อใจใน ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ !

เยี่ยฉวนไม่ค่อยออกทักษะนี้ในการต่อสู้กับศัตรู ทว่าคราใดที่เขากวัดแกว่งอาวุธนี้เพียงหนึ่งครั้ง นั่นคือการตัดสินชะตาชี้เป็นชี้ตายแก่ศัตรูแล้ว !

ขณะที่เยี่ยฉวนขยับเคลื่อนที่ พลังกระบี่เคลื่อนไหวกระจายวาบตรงเข้าครอบงำร่างกายของชายสวมเสื้อคลุมยาว !

ราวกับคนผู้นี้เริ่มรู้สึกต่อพลังเข้าครอบคลุมจากกระบี่เคลื่อนไหวซึ่งกระจายออกจากกายของเยี่ยฉวน เขาหรี่ตาลงนิดหนึ่ง ท่าทางระแวงระวัง !

“แรงผลักดันแห่งกระบี่ ! …ยอดทักษะกระบี่เช่นนี้ !” ชายในชุดคลุมยาวพยายามควบคุมสติ ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ

เปรี้ยง ! พลังเคลื่อนที่แห่งชี่อันน่าสะพรึงกลัวกระจายวาบพุ่งจากร่างคนในชุดคลุมยาว ออกสกัดกั้นแรงผลักดันแห่งกระบี่ของเยี่ยฉวันทันควัน

พลังชี่เคลื่อนไหวประสานกับพลังมโนศิลป์ที่ไม่ประจักษ์ชัด พลังประสานสองชนิดอดทนต่อแรงปะทะจากพลังกระบี่เคลื่อนไหวของเยี่ยฉวนได้อย่างเหนียวแน่น ขณะเดียวกันชายสวมชุดคลุมยาวก็ได้ดันฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า “ขุนเขาโหยหา ธาราคร่ำครวญ”

เปรี้ยง ! เปรี้ยง !

ทางด้านหลังของเยี่ยฉวน น้ำในแม่น้ำเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นปรากฏลูกธนูสายน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งจากผิวน้ำเข้าหาเยี่ยฉวน จังหวะนั้นพื้นธรณีใต้ฝ่าเท้าของชายในชุดคลุมยาวปริแยกออกเป็นทางยาว ทำให้ก้อนหินที่อยู่ใต้ดินทะยานขึ้นสู่อากาศ ก่อนตกลงสู่พื้นเบื้องล่างถมทับฝังร่างของเยี่ยฉวนไว้ภายใน

ทันใดนั้น เสียงแห่งกระบี่ก้องกังวานสะท้านลานกว้าง !

ขณะที่เสียงกระบี่สะท้อนสะเทือนนั้น แสงกระบี่สะบัดตวัดวาบเข้าหาก้อนหินน้อยใหญ่ที่ถมทับจนเป็นกองพะเนินในเวลานี้

ฉัวะ !

เสียงวัตถุถูกฉีกออกด้วยพลังรุนแรงดังก้องไปทั่วลาน ! ฉับพลันนั้น เยี่ยฉวนปรากฎตัวทางด้านหลังชายสวมชุดคลุมห่างออกไปเพียงไม่กี่จั้ง

เบื้องบนอากาศ ลูกธนูสายน้ำที่กำลังพุ่งวาบกลับลดทอนลง อีกทั้งหินก้อนเล็กก้อนน้อยที่กำลังตกลงสู่พื้นดินก็น้อยลงเช่นกัน สรรพสิ่งโดยรอบราวกับกำลังถอยกลับคืนสู่ภาวะสงบนิ่ง

ด้านหลังเยี่ยฉวน หยาดโลหิตค่อยซึมไหลลงมากึ่งกลางหว่างคิ้วของชายสวมชุดคลุมยาว ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงมองเหม่อไปที่ไกลไร้จุดหมาย “เคล็ดวิชากระบี่…จะ เจ้าไม่ใช่ยอดผู้ฝึกกระบี่…” ทันใดนั้นเสียงคนพูดขาดห้วงลงกระทันหัน แววตาแห่งชีวิตสิ้นสุดฉับพลัน

เยี่ยฉวนสะบัดข้อมือข้างที่ถือกระบี่หลิงซิ่วออกหนึ่งครั้ง กระบี่ทะยานเข้าหาร่างคนสวมชุดคลุม ลำแสงแวบวาบรวดเร็วปานสายฟ้า ชั่วครู่ก็กลับทะยานคืนสู่อุ้งมือเยี่ยฉวนตามเดิม ที่ปลายกระบี่ปรากฏถุงใส่เงินห้อยติดมาอย่างหมิ่นเหม่

ชายหนุ่มดึงถุงใส่เงินออก แล้วโยนเข้าไปเก็บยังที่ชั้นหนึ่งของหอคอยแห่งเรือนจำ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าต่อไปอย่างธรรมดา

เพียงแต่เยี่ยฉวนคล้อยหลังออกไปไม่นาน ร่างของคนสองคนบุรุษหนึ่งและสตรีหนึ่งพลันเดินเข้ามายังจุดที่เกิดเหตุ

บุรุษร่างสูงตรง สะพายดาบแบนกว้างไว้ข้างหลัง บนใบหน้าด้านหนึ่งมีรอยแผลเป็นเห็นได้ชัดเจน ส่วนสตรีร่างเล็กแลดูบอบบาง บนศีรษะเส้นผมถักเป็นเปียพันทบกันหลายรอบ ที่เอวแขวนบางมีกระบี่สั้นไว้ข้างละหนึ่งเล่ม

คนเป็นหญิงเอ่ยขึ้นก่อนขณะสายตาจ้องมองที่ร่างไร้วิญญาณของชายในชุดคลุม “เสื้อคลุมหิมะดอกเหมยฮวา… คนผู้นี้น่าจะเป็นคุณชายเหมยฮวาแห่งแคว้นชู เขาสำเร็จขั้นสันโดษในวัยเพียงยี่สิบ ทั้งยังปราดเปรื่องในเคล็ดวิชาวิทยายุทธ์แห่งขุนเขาและสายน้ำอย่างหาตัวจับได้ยาก จนได้รับการเชิดชูในฐานะคนรุ่นใหม่ผู้มีอนาคตแห่งแคว้นชู… ไม่นึกว่าจะมาจบชีวิตด้วยหนึ่งกระบี่ของเยี่ยฉวนเช่นนี้ !”

พลันคนพูดเบนสายตามามองชายที่มีรอยแผลเป็น “พี่ใหญ่ ถึงแม้ว่าเยี่ยฉวนจะไม่ถูกจารึกชื่อในทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์ คิดว่าอีกไม่นานเขาคงจะได้รับการจารึกชื่อในทำเนียบเช่นเดียวกัน ข้าว่าพวกเรายกเลิกภาระกิจจะดีกว่า !”

คนนิ่งฟังหลับตาลงช้า ๆ “ถ้าพวกเราสามารถสังหารเยี่ยฉวนได้ ไม่เพียงแต่จะได้ชื่อเสียงไว้ประดับกาย ยังจะได้รางวัลค่าหัวจากสถานศึกษาฉางมู่ด้วย ค่าหัวมูลค่ามหาศาลเช่นนั้น ต่อไปพวกเราจะได้ไม่ต้องล่องลอยไม่เป็นหลักแหล่งแบบเดิมอีก อีกอย่าง ยังมีโอกาสกลับไปฟื้นฟูฐานะของตระกูลเราได้ เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยด้วยการยกเลิกแน่ !”

ฝ่ายหญิงสาวย่นหัวคิ้ว “พี่ใหญ่ แต่เยี่ยฉวนคนนี้ ไม่ใช่คนที่ท่านกับข้าจะต้านทานได้หรอกนะ !”

เสียงอีกฝ่ายเย้ยหยัน “ถ้าสู้ไม่ได้ ก็หาคนมาช่วยสิ อย่าชักช้าเลย รีบตามไปเถอะ…” กล่าวจบหันหลังเดินกลับออกไปทันที

ทิ้งให้สตรีร่างเล็กบางยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาทอดมองร่างไร้วิญญาณบนพื้นดินอย่างครุ่นคิด ก่อนจะมีเสียงถอนใจหนักหน่วง แต่สุดท้ายนางก็ต้องเร่งรีบตามชายคนก่อนไปแต่โดยดี

เยี่ยฉวนข้ามแม่น้ำแล้ว จึงออกวิ่งสุดกำลัง เขายิ่งปริวิตก ทำให้ยิ่งเร่งความเร็วของฝีเท้า จนกระทั่งบัดนี้ ยังไร้วี่แววเยี่ยหลิง ภายในจิตใจของเยี่ยฉวนร้อนรุ่มกระสับกระส่ายเต็มที ! ยิ่งเขาวิตก ก็ยิ่งเดือดดาล ด้วยในเวลานี้เขาปรารถนาจะตามเยี่ยหลิงให้พบก่อนเป็นอันดับแรก

หลังจากที่เยี่ยฉวนข้ามแม่น้ำมาได้ไม่นาน ก็มาพบบริเวณที่มีหนองน้ำกว้างขวางแห่งหนึ่ง จากการคะเนด้วยสายตาคร่าว ๆ ถ้าต้องเดินอ้อมหนองน้ำคงต้องเสียเวลามากโขทีเดียว เยี่ยฉวนจึงไม่เลือกการเดินอ้อมด้วยไม่ต้องการทอดเวลาให้เนิ่นนานไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามชายหนุ่มไม่ได้ผลุนผลันเดินลงไปในหนองน้ำ แต่ยังคงจับมองดูอยู่ห่าง ๆ บนชายฝั่ง

บนชายฝั่งของหนองน้ำมีต้นไม้น้อยใหญ่หนาแน่น มีบางส่วนเจริญเติบโตอยู่ในหนองน้ำ นอกจากนั้นยังมีไม้พุ่มกิ่งใบดกทึบอีกหลายแห่ง…

ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบ กระบี่หลิงซิ่วทะยานวาบออกจากอุ้งมือเยี่ยฉวน จากนั้นจึงพุ่งเข้าหาพุ่มไม้ใบหนาไม่ไกลทางขวามือ

เปรี้ยง ! ทันใดนั้นพุ่มต้นไม้แตกเปิดอ้าออก เผยให้เห็นว่ามีคนที่ซ่อนอยู่ภายใน และกำลังล่าถอยออกอย่างรวดเร็ว

กระบี่หลิงซิ่วไม่รั้งรอ ไล่ติดตามผู้นั้นอย่างกระชั้นชิด ความรวดเร็วแห่งกระบี่ประหนึ่งสายฟ้าแปลบปลาบ !

คนที่กำลังหนีออกมาเห็นเข้า พลันหน้าซีดด้วยความตื่นตระหนก ความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจจนเย็นวาบ ขณะเดียวกันเท้ายังกระถดถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ทว่าขณะนั้นมันคงหลงลืมว่ากำลังอยู่กลางหนองน้ำ เมื่อเท้าก้าวถอยหลังจึงพลาดท่าดิ่งพรวดลงสู่หนองน้ำทันที !

ค่ายกลหนองน้ำ เสียงมันตะโกนขึ้นมาจากในน้ำ “ทะ… ท่าน ข้าขอถอนตัว…”

ฉัวะ !

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงตะโกน ศีรษะคนได้ขาดสะบั้นออกจากคอของมันเสียแล้ว หลังจากนั้นร่างจึงค่อยจมลงสู่ก้นหนองน้ำ

กระบี่หลิงซิ่วทะยานคืนสู่เยี่ยฉวน ชายหนุ่มไม่รอช้า เขามุ่งหน้าต่อไปขณะที่กระบี่หลิงซิ่วโบยบินออกสำรวจเส้นทางในส่วนที่คิดว่าอาจมีอันตรายรออยู่ ดังนั้นเมื่อเยี่ยฉวนมาถึงช่วงกลางหนองน้ำ จึงปรากฏว่ามีซากร่างไร้วิญญาณของคนทิ้งไว้เบื้องหลังจำนวนหนึ่ง

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset