หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 181 ข้าคอยเจ้ามานานเต็มทีแล้ว ! (ต้น)

บทที่ 181 ข้าคอยเจ้ามานานเต็มทีแล้ว ! (ต้น)

เยี่ยฉวนมองไปที่คนซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ บุรุษในชุดสีดำคล้องด้วยเชือกสีม่วงไขว้กันในลักษณะรวงข้าวมัดรวบไว้ด้วยหินหยกขาว หน้าตาคมสันแต่ไม่ถึงกับหล่อ นัยน์ตาคมวาววับทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

เขายังคงลอยตัวนิ่งอยู่ในอากาศขณะเดียวกันสายตามองเขม็งมาที่เยี่ยฉวนเบื้องล่าง แววตาเป็นประกายปราศจากร่องรอยหวาดวิตก

เยี่ยฉวนเบนสายตาจากคนตรงหน้าไปถามโม่อวิ๋นฉี “เป็นยังไงบ้าง ?” อีกฝ่ายค่อยพยุงกายขึ้นยืน ที่บริเวณมุมปากยังปรากฏคราบโลหิตเล็กน้อย ตอบมาว่า “ข้าประมาทเอง”

เยี่ยฉวนพยักหน้า บอกว่า “ถ้างั้น เจ้าหยุดพักก่อน”  โม่อวิ๋นฉีรีบพูดสำทับมาว่า “ระวังตัวด้วย ! ไอ้คนนี้เป็นยอดฝีมือแท้จริง !”

จากนั้นเยี่ยฉวนหันไปมองคนที่อยู่บนนอากาศอีกครั้ง “ลงมาไหม ?”

โดยไม่เสียเวลา เขาทะยานลงจากบนอากาศรวดเร็ว ความรวดเร็วดุจพายุพุ่งปะทะเยี่ยฉวน พลังรุนแรงราวกับภูเขาทั้งลูกถล่มก็ปาน จนเกิดความรู้สึกกระวนกระวายยากจะบรรยาย !

“ยอดยุทธ์ !” เยี่ยฉวนเริ่มเล็งเห็นความเสียเปรียบของตน ด้วยรู้ตัวแล้วว่าสูญเสียโอกาสในการเป็นฝ่ายลงมือ อันที่จริงตำแหน่งที่เขายืนอยู่ตอนนี้ทำให้เสียเปรียบอยู่แล้ว !

แต่ชายหนุ่มไม่เคยคิดถอย !

เมื่อใดก็ตามที่คนสองคนเกิดการปะทะฝีมือ โดยเฉพาะถ้าเป็นระดับยอดยุทธ์ด้วยกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะสำแดงพลังเคลื่อนไหวของตนให้อีกฝ่ายได้ประจักษ์ และผู้ที่ด้อยกว่าจะเป็นฝ่ายปราชัย !

และในเวลานี้ เยี่ยฉวนจะไม่ยอมเป็นฝ่ายปราชัยเด็ดขาด !

ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลง

ปัง !

พลังรุนแรงทว่าที่มองไม่เห็นสามารถมองด้วยตา ระเบิดจากกายรอบทิศทาง !

แรงผลักแห่งกระบี่ !

พลังกระบี่ผสานแรงผลักดันระเบิดออกต้านทานพลังผลักดันซึ่งพุ่งตรงจากเหนือศีรษะของเยี่ยฉวน ถึงกระนั้นชายในชุดดำหาได้ยุติลงทันที ตรงกันข้ามร่างคนยังทะยานเข้าหาเยี่ยฉวนด้วยความเร็วทะลุพิกัด !

เมื่อคนทะยานในอากาศเข้ามาใกล้จนระยะห่างราวครึ่งจั้งเหนือศีรษะขึ้นไป ชายหนุ่มจึงกระทืบเท้าลงบนพื้นดินอย่างแรง

ปัง !

พลังครอบงำที่เหนือกว่า รุนแรงกว่า หลากทะลักออกทางปลายเท้าราวหินหลอมละลายปะทะปากปล่องภูเขาไฟก็ปาน พลังรุนแรงสุดขั้วนั้นก่อให้เกิดรอยพื้นดินปริแตกจนพื้นผิวโลกใต้ฝ่าเท้าของเยี่ยฉวนเปิดออก

ขณะเดียวกัน กระบี่หลิงซิ่วในมือเริ่มเคลื่อนไหว !

หึ่ม !

เสียงคำรามแห่งกระบี่กระหึ่มดังสะท้านนภาอากาศ ขณะลำแสงแห่งกระบี่ทะยานสู่เวหา !

พลันบรรยากาศโดยรอบ กลับเงียบกริบลงกระทันหัน

เปรี้ยง !

เสียงพื้นพสุธาสะเทือนเลื่อนลั่นดังสนั่นทั่วทั้งลาน วินาทีถัดมา ระลอกคลื่นแห่งพลังกระเพื่อมมาในอากาศราวกับกระแสคลื่นถาโถม !

ขณะเดียวกันร่างของคนทั้งสองที่อยู่ท่ามกลางกระแสพลัง ถึงผงะถอยหลังต่อเนื่องไปคนละหลายก้าว

…ส่งให้คนซึ่งอยู่คนละฟาก แยกห่างออกจากกันไกลหลายจั้ง !

โม่อวิ๋นฉีหาใช่คนดูดาย เมื่อเห็นว่าเยี่ยฉวนกำลังต่อสู้พันตูกับชายในชุดดำ เขารีบผุดลุกขึ้นและโผทะยานขึ้นสู่อากาศตรงไปทางเยี่ยหลิงโดยไม่รอช้า ทว่าเมื่อเข้าใกล้ร่างของเด็กน้อย สีหน้าของโม่อวิ๋นฉีพลันเปลี่ยนแปลงกระทันหัน

โม่อวิ๋นฉีพลิกกลับหลังกลางอากาศทันที เคราะห์ดีที่เขาเป็นคนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ด้วยลำแสงสว่างวาบผ่านใบหูเฉียดเพียงกระเบียดเดียว !

โม่อวิ๋นฉีชะงักกึก เขากวาดตามองไปรอบทิศทาง ทว่าไร้เงาผู้คน !

ใครบางคนแอบซุ่มจู่โจม !

เขานิ่วหน้าคิ้วขมวดมุ่น เพราะยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แม้ว่าจะเข้าไปช่วยเยี่ยหลิงลงมาได้ แต่กลับยิ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ด้วยไม่อาจแน่ใจว่าจะสามารถพาเยี่ยหลิงหลบหนีออกไปได้ตลอดรอดฝั่ง !

เขานิ่งคิดครู่หนึ่งจากนั้นก็บ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด “ไอ้ไป๋เจ๋อ เจ้าบ้า ทำไมไม่รู้จักรีบมา ? เวร… หรือว่ามันหลงทาง ?!”

ด้านล่าง จังหวะนั้นเยี่ยฉวนและชายชุดดำหยุดชะงักในเวลาเดียวกัน  ชายในชุดดำเขม็นตามองเยี่ยฉวน “ข่าวที่ได้ยินมา ไม่จริงเลยสักนิด เจ้าหาใช่เพียงเป็นยอดผู้ฝึกกระบี่เสียแล้ว”

เยี่ยฉวนแสยะยิ้ม “แปลกใจนักหรือไง ?” อีกฝ่ายขยับจะพูด ทว่าเสียงของเยี่ยฉวนดังขัดจังหวะ ขณะเดียวกันคนพูดหายวับไปจากที่ “ข้าไม่ได้จะมานั่งเจรจากับเจ้าน่ะเว้ย !”

คำพูดนั้นจบลง คนปรากฏออกเบื้องหน้าชายชุดดำทันที ทันใดนั้นลำแสงเย็นวาบพุ่งตรงเข้ากึ่งกลางหว่างคิ้วของคนชุดดำ !

ชายในชุดดำหรี่ตาลง ขณะเดียวกันเขากดปลายเท้ากับพื้นเพียงแผ่วเบา ร่างคนหายวาบไป ขณะนั้นเอง เยี่ยฉวนยกกระบี่ตวัดฟาดลงไปอย่างดุดัน

ชั่วพริบตา ชายในชุดดำออกปรากฏกายทางเบื้องหลังของเยี่ยฉวน !

เขาจ้องเขม็งขณะรูม่านตาหดเล็ก เห็นได้อย่างชัดว่าเขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองอันฉับไวนั่น ทว่าด้วยไม่ประสงค์จะให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ จึงเร่งกดปลายเท้าสัมผัสที่พื้นดินเพียงนิดเดียว ส่งร่างคนลอยขึ้นสู่อากาศสูงหลายจั้ง !

แต่คนยังมิทันยั้งหยุด กระบี่บินโผล่ขึ้นขวางเบื้องหน้าปัจจุบันทันด่วน ! ความว่องไวปานสายฟ้าเช่นนั้นจึงยากนักที่ชายชุดดำจะทันหลีกหลบ !

เช่นนั้นเขาจึงไม่คิดหาหนทางเลี่ยงหลบ แต่เหวี่ยงขาข้างขวาออกและตวัดฝ่าเท้าผลักขึ้นทันที ทำให้บังเกิดแรงลมปะทะดุเดือดราวสามารถฉีกสรรพสิ่งที่อยู่ใกล้ให้ย่อยยับฉับพลัน !

เหตุที่ชายในชุดดำเลือกที่จะใช้การกวาดขาออกต้านทานกระบี่ของเยี่ยฉวน ด้วยมั่นใจในพลังขาแห่งตนอย่างยิ่งยวด !

ทว่าในตอนนั้นกระบี่ของเยี่ยฉวนทะยานถึงตัวคนแล้ว !

ปัง !

พลันที่ท่อนขาปะทะกับพลังแห่งกระบี่ จนกระบี่ของเยี่ยฉวนสะท้านอย่างรุนแรง ทั้งแสงแห่งกระบี่กลับวูบวาบราวใกล้แตกทำลาย ทว่ายังมิทันไรแ มือของคนพลันเอื้อมคว้าด้ามกระบี่ฉวยจับจนแน่น !

เยี่ยฉวนกุมกระชับกระบี่หลิงซิ่วในอุ้งมือ ก่อนดันกระบี่พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ! “หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !” เขาตัดสินใจเผยไม้ตายของตนในคราวนี้ !

ครั้งใดที่เยี่ยฉวนมั่นใจว่าสามารถต้านทานศัตรูจนพ่ายแพ้ได้ เขาไม่รอช้าและใช้กระบี่เดียวปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามนั้นเสียเพื่อตัดช่องโอกาสการถูกตอบโต้กลับคืนโดยเร็ว ทว่ามิใช่วันนี้ เพราะเขาไม่มั่นใจในการเอาชนะต่อศัตรู ณ จุดนี้จึงจำต้องใช้ไม้ตาย ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ เป็นตัวตัดสิน !

และจังหวะนี้นับว่าเหมาะที่สุดที่จะใช้ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !’ ขณะที่เขาใช้ ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ ทำให้แรงผลักแห่งกระบี่ผสานเข้ากับกระบี่หลิงซิ่ว ทั้งยังกระตุ้นพลังขั้นสุดสุดในทันที !

แรงผลักแห่งกระบี่ !

คลื่นพลังปะทะแห่งกระบี่ไม่อาจเทียบได้กับแรงผลักนี่แม้แต่น้อย !!!

เมื่อเห็นเยี่ยฉวนใช้พลัง ‘หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา’ พลันสีหน้าของชายในชุดดำแปรเปลี่ยนสิ้นเชิง ถึงกระนั้น เขายังไม่คิดถอยหนีแม้สักก้าวเพราะรู้ว่าถึงหนี ก็คงไม่รอดอยู่ดี !

คิดเช่นนั้นแล้ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดดุร้าย ทันใดนั้นเขากระทืบเท้าลงบนพื้นดินเต็มแรง

โครม !

ปัง !

เสียงพื้นดินโดยรอบบริเวณแตกร้าวรานไกลออกไปนับสิบสิบจั้ง เว้นส่วนตรงกลางเฉพาะคนสองคน ทันใดนั้น ร่างของชายชุดดำเลือนพร่าไป พริบตาต่อมา เงาท่อนขาจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าหาเยี่ยฉวน !

และถึงแม้เป็นเพียงแค่เงา ทว่าอานุภาพพลังออกปะทะหนักหน่วงรุนแรงยิ่งนัก ซึ่งพลังเหล่านี้ช่วยจุดระเบิดพลังชี่ให้ดังสนั่นทุ่งกว้าง

เสียงฉีกอากาศธาตุสะท้านสะเทือน !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset