หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 182 ข้าคอยเจ้ามานานเต็มทีแล้ว ! (ปลาย)

บทที่ 182 ข้าคอยเจ้ามานานเต็มทีแล้ว ! (ปลาย)

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ทำเอาโม่อวิ๋นฉีหน้าถอดสีซีด !

พลังที่ปรากฏแสดงว่าอย่างน้อยชายชุดดำต้องมีทักษะยุทธ์ขั้นปฐพีระดับกลาง และแน่ชัดว่าต้องถึงขั้นสันโดษ !

“ยอดคนแท้จริง !”  แววตาของโม่อวิ๋นฉีเริ่มปรากฏแววหวั่นวิตกเลือนราง !

ใครกันที่จะอ่อนด้อยกว่า !!

ปัง !

สิ้นเสียงปะทะสนั่น ปรากฏมีร่างของคนผู้หนึ่งกระเด็นออกจากที่ !

โม่อวิ๋นฉีรีบกวาดตามองตามเสียง แล้วเขาก็ถอนใจเฮือกเมื่อเห็นหน้าคนที่ล่าถอยถนัดชัดตา !

ด้วยคนผู้นั้นมิใช่เยี่ยฉวนอย่างที่นึกกังวล กลับเป็นชายในชุดดำ !

ชายในชุดดำล่าถอยไกลห่างไปหลายจั้ง และการกระถดถอยของเขาแต่ละก้าวก็ทำให้คนกระอักโลหิตออกมาทุกครั้ง ทว่ามิเพียงเท่านั้น เพราะพื้นพสุธาใต้เท้าที่ย่ำถอยยังเกิดเป็นรอยร้าวลึกในทุกก้าวย่าง !

ทั้งหมดล้วนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เกี่ยวเนื่องกัน !

ชายชุดดำผลักพลังออกอย่างเต็มที่เพื่อต้านทานโดยตรงกับพลังปะทะซึ่งรุนแรงยิ่งแห่งกระบี่ของเยี่ยฉวน ดังนั้นเมื่อคนล่าถอย ก็เท่ากับทำให้พลังตีกลับมาทำอันตรายต่อตัวเอง !

เมื่อคนในชุดดำหยุดนิ่งลง จึงพบว่าผ้าคลุมสีดำที่เคยห่อหุ้มร่างกายส่วนบนฉีกขาดเกือบทั้งหมด จนเผยให้เห็นเกราะสีเงินภายใต้ผ้าสีดำขาดวิ่น ทั้งยังปรากฏรอยแตกบนเสื้อเกราะสีเงินนั้นจนสามารถมองเห็นผิวเนื้อใต้เสื้อเกราะได้อย่างชัดเจน

เสื้อเกราะศาสตราวุธขั้นประกายแสง !

เพราะเสื้อเกราะเงินนี่เองจึงต้านทานกระบี่ของเยี่ยฉวนไว้ มิเช่นนั้นเขาคงสิ้นชื่อไปแล้ว !

สายตาของชายในชุดดำจ้องแน่วนิ่งที่เยี่ยฉวนซึ่งอยู่ไม่ไกล ก่อนที่เขาจะอ้าปากพูด ทันใดนั้นเยี่ยฉวนพลันหายวับไปจากที่

เมื่อเห็นเช่นนั้นลูกตาดำของชายชุดดำหดเล็กลงด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ในทันทีนั้นเขายกเท้าข้างขวาถีบลงบนพื้นดิน

ปัง !

สิ้นเสียงระเบิด ก้อนหินขนาดเล็กใหญ่จำนวนมากมาย พร้อมทั้งฝุ่นดินฟุ้งกระจายจากพื้นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและพัดเข้าหาร่างของเยี่ยฉวนทันที !

ถึงกระนั้น ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งกระบี่ของเยี่ยฉวนได้อีกต่อไป กระบี่หลิงซิ่วทะยานฝ่ากลุ่มก้อนหินและฝุ่นคละคลุ้ง ตรงเข้าหาชายในชุดดำ

คนในชุดดำหน้าถอดสีนัยน์ตาเบิกโพลง เขาถอยหลังก้าวหนึ่งฉวยจังหวะยกฝ่าเท้าตวัดฟาดกระบี่หลิงซิ่ว แต่ที่คนผู้นั้นเตะออกมิได้มุ่งตรงเข้าหากระบี่โดยตรง กลับมุ่งเป้าหมายที่สันกระบี่หาใช่ส่วนปลายกระบี่หลิงซิ่ว

ผัวะ !

พลังเตะผลักกระบี่หลิงซิ่วออกไปข้างหนึ่ง ทว่าในเวลาเดียวกัน เยี่ยฉวนปรากฎขึ้นประจันหน้าคนเสียแล้ว

เยี่ยฉวนออกพลังหมัดพุ่งตรงร่างของชายชุดดำ ! ‘หนึ่งหมัดดับชีพ !’

พลังหมัดมิได้มีแค่พลังหมัดทลายภูผา แต่ผสานทักษะการต่อสู้เข้าไว้จนเต็มเปี่ยม !

ชายในชุดดำตระหนักถึงพลังมหาศาลแห่งพลังหมัดของเยี่ยฉวน เขาเขม้นมองลูกตาดำหดเล็ก “เจ้าประสานทั้งกระบี่และทักษะยุทธ์สินะ !”

เสี้ยววินาทีต่อมา

ผัวะ !

ร่างของชายชุดดำกระเด็นหวือออกไป !

เยี่ยฉวนเกือบจะออกปะทะ ทันใดนั้น จู่ ๆ มีแสงสว่างประหลาดพุ่งวาบเข้าหาเยี่ยฉวนทางเบื้องหลังโดยไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย ฉับพลันเขาหมุนตัวกลับหลังขณะเดียวกันก็ผลักหมัดออกปะทะลำแสง !

เปรี้ยง !

แสงสว่างแตกกระจายไม่มีชิ้นดี !

ทว่ากลับไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดอยู่ข้างหลัง !

เยี่ยฉวนกวาดตาไปทั่วบริเวณ สัญชาตญาณยืนยันกับตนเองว่าไม่มีบุคคลอื่นอยู่ในละแวกนั้น !

เขาจึงเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจึงหันไปทางโม่อวิ๋นฉีพร้อมบอกว่า “ระวังหลังให้ด้วย !” พูดจบ เขากระโดดก้าวเพียงไม่กี่ครั้งและมุ่งหน้าไปทางเยี่ยหลิง !

โม่อวิ๋นฉีจับตามองทางเบื้องหลัง ที่หว่างนิ้วมือทุกนิ้วมีมีดสั้นทองคำเตรียมพร้อมใช้งาน ขณะนั้นเอง ลำแสงซึ่งไม่ปรากฏแหล่งที่มาพุ่งเข้าหาเยี่ยฉวน !

แต่ในครั้งนี้เยี่ยฉวนไม่หันกลับมองหลังอีก ด้วยมีดบินทองคำทะยานเข้าป้องกันทางด้านหลังของเยี่ยฉวนแทนแล้ว

ผัวะ !

มีดบินทองคำทะยานเข้าตัดลำแสงจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ทว่าทันใดนั้น มีลูกธนูขนนกสีดำพุ่งมาจากทิศทางอื่น ตรงเข้าหาเยี่ยฉวนทางด้านข้าง !

ครานี้เยี่ยฉวนจำต้องหันไปรับมือ ด้วยหลิงซิ่วในมือทะยานออกต้านทานอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยง !

ชายหนุ่มทำลายลูกธนูขนนกดำลงได้อย่างรวดเร็ว ทว่าขณะหนึ่งต่อมา มีลูกธนูอีกดอกหนึ่งพุ่งเข้าหาทางเบื้องหน้า และยิ่งกว่านั้น ยังมีลูกธนูอีกสองดอกไล่กันมาติด ๆ!

ลูกธนูทั้งสามจ่อหัวท้ายเรียงกันมา !

จนกลายเป็นเส้นตรงลูกธนู !

เยี่ยฉวนแบมือยื่นออกไปข้างหน้า กระบี่หลิงซิ่วทะยานลงสงบนิ่งบนฝ่ามือ จากนั้นเยี่ยฉวนขยับกระชับกระบี่ก่อนฟันลงไปเบื้องหน้าอย่างรุนแรง  ยามนี้กระบี่หลิงซิ่วส่องประกายวาบวาว !

ฉัวะ !

เมื่อเยี่ยฉวนฉวยกระบี่ฟันออกไปหนึ่งครั้ง ลูกธนูขนนกเบื้องหน้าก็แหลกละเอียดในพลัน ทว่ายังมีลูกธนูอีกดอก ซึ่งดอกนี้กลับปะทะเข้ากับส่วนปลายกระบี่หลิงซิ่วเข้าอย่างจัง

ชิ้งงงง !

กระบี่หลิงซิ่วสั่นสะท้านจากแรงปะทะ แต่ลูกธนูขนนกแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี !

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะกระบี่หลิงซิ่วเป็นศาสตราวุธขั้นประกายแสง !

แต่ในครั้งนี้ ลูกธนูดอกที่สามซึ่งเป็นดอกสุดท้าย กลับเปลี่ยนทิศทางที่พุ่งตรง กลายมาเป็นพุ่งเข้าหาบริเวณลำตัวช่วงบนของเยี่ยฉวน ที่หน้าอก !

เยี่ยฉวนผลักหมัดตรงออกไปเบื้องหน้า !

เปรี้ยง !

ลูกธนูตรงหน้าแตกละเอียด !

ขณะนั้นลำแสงพุ่งเข้าทางเบื้องหลังของเยี่ยฉวนอีกครั้ง แต่เยี่ยฉวนไม่หันหลังกลับ เมื่อเห็นเงาปีศาจวูบตัดผ่านเข้าลานกว้าง โม่อวิ๋นฉีวิ่งถลันเข้าขวางด้านหลังเยี่ยฉวน ทันใดนั้นมีดสั้นตวัดฟันลงตรงหน้า !

เปรี้ยง !

ลำแสงระเบิดกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย !

โม่อวิ๋นฉีกวาดสายตาอย่างระแวดระวังเต็มที่ เขามองหาเท่าไรก็ยังไม่เห็นแม้เงาของใครสักคน !

ภายหลังจากเยี่ยฉวนทำลายลูกธนูขนนกทั้งสามแล้ว เขาเพ่งมองไปที่โขดหินทางด้านซ้ายซึ่งอยู่ห่างออกไป ที่นั่นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ ด้านหลังสะพายคันธนู !

สายตาของชายสะพายคันธนูจับจ้องมองเยี่ยฉวนแน่วแน่ “เจ้ามีทั้งพลังกระบี่และทักษะยุทธ์ !”

ทว่าเยี่ยฉวนไม่สนใจจะฟังแต่อย่างใด เวลานี้ร่างของเขาสั่นน้อย ๆ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปที่เยี่ยหลิง ซึ่งบัดนี้สีหน้าของเด็กน้อยซูบเซียวทั้งออกจะหน้าซีดผิดปกติ เชือกที่มัดพันรอบข้อมือกดลึกลงบนผิวเนื้อจนเกิดรอยห้อเลือดแดงช้ำ

เยี่ยฉวนสีหน้าปราศจากความรู้สึก ชั่วแวบนั้นกระบี่หลิงซิ่วเหินออกจากมือของผู้เป็นนาย ตรงเข้าตัดเชือกที่ผูกข้อมือของเยี่ยหลิงออกทันที

ทันใดนั้นเยี่ยฉวนพลันเหยียดแขนออกประคองร่างของเยี่ยหลิง ขณะนั้นเองบังเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด เมื่อเงาหนึ่งปรากฏออกทางด้านหลังเยี่ยหลิงอย่างเงียบเชียบ และเงากลับโผล่ขึ้นเบื้องหน้าเยี่ยฉวนฉับพลัน ทั้งในเวลาเดียวกันกระบี่สีดำเล่มหนึ่งก็ได้พุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายที่จุดตันเถียนของเยี่ยฉวน ขณะที่เสียงพูดดังกรอกเข้ามาในหูของชายหนุ่ม “ข้าคอยเจ้ามานานเต็มทีแล้ว”

เยี่ยฉวนร่างแข็งเกร็ง หลังจากนิ่งงันไม่ชั่วครู่ เขาเงยมองไปที่ชายในผ้าคลุมสีดำที่อยู่เบื้องหน้า “เจ้าสู้อุตส่าห์มาคอย… กระบี่ประกายแสงระดับต้น…น่าซึ้งใจนัก… !!!”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset