หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 183 พี่จะพาน้องกลับ ! (ต้น)

บทที่ 183 พี่จะพาน้องกลับ ! (ต้น)

กระบี่ !

อย่างน้อยเยี่ยฉวนก็มีอะไรที่ทำให้คนกลัว ?!

ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งนั้นคือกระบี่ !

เยี่ยฉวนมิได้ฝึกฝนหลักโคจรพลังชี่จากสตรีลึกลับโดยไม่มีเป้าหมายหรือฝึกไปวัน ๆ แต่ถึงกระนั้นกายากระบี่ของเขาใช่ว่าจะไร้เทียมทานในทุกกรณี ถ้าระดับศาสตราวุธกระบี่ของศัตรูสูงกว่า เยี่ยฉวนก็มีข้อจำกัดว่าไม่สามารถดูดกลืนได้เหมือนกัน

แต่ถ้าศาสตราวุธของทั้งสองฝ่ายมีระดับทัดเทียมกัน จึงเป็นไปได้กว่าห้าในสิบส่วนที่เยี่ยฉวนสามารถดูดกลืนกระบี่ได้ !

แต่แม้ว่าศาตราสตราวุธมีระดับเดียวกัน หากยังมีความแตกต่างกันในด้าน ทำให้บางศาสตราวุธอาจอ่อนด้อยและบางศาสตราวุธอาจแข็งแกร่งกว่า !

ดังนั้น กระบี่ที่เยี่ยฉวนสามารถดูดกลืนได้แน่นอนจึงจำต้องมีระดับพลังด้อยกว่ากระบี่หลิงซิ่ว !

นี่คือข้อได้เปรียบของสิ่งที่เขาฝึกฝน !

เวลานี้กระบี่สีดำที่ปรากฏเบื้องหน้าเยี่ยฉวน เพิ่งซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย มันก็ได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นพลังอนันต์และถูกกายาของเยี่ยฉวนดูดซับจนสิ้น

ชายสวมผ้าคลุมสีดำประจักษ์ชัดต่อเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยตาของตนเอง ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงฉายออกทางแววตา “ไม่น่าเชื่อ…”

จากนั้นเขาคิดถอยออกห่าง ทว่าทันใดนั้น เยี่ยฉวนกำหมัดแน่นและผลักออกอย่างรุนแรง เป้าหมายคือตำแหน่งมรณะบนศีรษะทั้งสองด้านของอีกฝ่าย !!

ผัวะ !

กะโหลกศีรษะของคนแหลกระเบิดทันที !

เยี่ยฉวนผละไปอีกทาง ที่ข้างล่างกระบี่หลิงซิ่วเหินเข้ารองรับร่างอ่อนระทวยของเยี่ยหลิงซึ่งตกลงมาจากต้นไม้ไว้อย่างทันท่วงที !

ขณะนั้นเยี่ยฉวนค่อย ๆ หลับตาลง !

ขณะนั้นร่างกายบังเกิดอาการสะท้านเล็กน้อย !

เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะบรรลุขั้นพลังอีกครั้ง !

และกระบี่ขั้นประกายแสงเทียบก็ได้กับสุดยอดกระบี่จิตวิญญาณถึงสิบเล่มด้วยกัน !

อย่างไรก็ตาม เยี่ยฉวนไม่อาจบรรลุขั้นพลังในตอนนี้ เขาจำต้องระงับสัญญาณกระตุ้นนั้นโดยการข่มลงไว้ก่อน เพราะการบรรลุขั้นพลังท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เท่ากับรนหาที่ตาย !

ชายหนุ่มทะยานพรวดเดียวถึงร่างของน้อง จากนั้นจึงเข้าประคองเด็กหญิงที่ยังไม่ได้สติวางลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล เขาล้วงหยิบเอายาโอสถเทพประสานออกมาเม็ดหนึ่งและป้อนใส่ปากเยี่ยหลิงทันที ผ่านไปสักครู่จึงสังเกตเห็นอาการของนางเริ่มทุเลาลง ก่อนที่ต่อมาเปลือกตาเริ่มกระพริบถี่และลืมตาขึ้น

เมื่อสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าของพี่ชาย เยี่ยหลิงน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนในที่สุดจะรินไหลแต่ยังคงมองนิ่งที่เยี่ยฉวนไม่วางตา

เยี่ยฉวนเห็นน้องฟื้นขึ้นมาได้ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจ พลางเอามือลูบศีรษะเล็ก ๆ อย่างปลอบโยน “พี่จะพาเจ้ากลับ !”

จากนั้นจึงค่อยช้อนร่างน้อยขึ้นมาและเดินออกไปช้า ๆ แต่แล้วเยี่ยฉวนกลับต้องหยุดชะงักกระทันหัน

มีคนยืนขวาง เขาคือชายชุดดำซึ่งประมือกับเยี่ยฉวนก่อนหน้า ในตอนนี้ชุดสีดำของอีกฝ่ายขาดวิ่นไปจนหมดสิ้น มันได้เผยให้เห็นเกราะอ่อนสีเงินที่ร่างกายส่วนบนเท่านั้น

ด้วยความที่เยี่ยฉวนมุ่งที่จะช่วยเยี่ยหลิงเพียงอย่างเดียว จึงรามือในการติดตามคนผู้นี้ แต่คนนั้น ๆ กลับไม่ได้หนีไปไหน ซ้ำมีผู้ที่ขนาบอยู่ทางซ้ายมือของชายสวมเกราะสีเงิน คือคนถือธนูยาวซึ่งเคยดักซุ่มประทุษร้ายต่อเยี่ยฉวนก่อนหน้านี้เช่นกัน อีกทั้งทางด้านขวามือของชายถือธนู ยังมีบุรุษร่างอ้วนเตี้ยควงขวานอันใหญ่สีดำในมือทั้งสองข้าง ทว่าชายร่างอ้วนคนนี้เพิ่งจะเปิดเผยตัว !

โม่อวิ๋นฉีเดินขึ้นมายืนข้างชายหนุ่ม สายตาจับจ้องไปยังคนทั้งสามทางเบื้องหน้า เอ่ยพูดกับเยี่ยฉวนว่า “ระวังตัวมีคนแอบซุ่มอยู่ ก่อนหน้านี้พวกมันคงแค่อยากทดสอบ ไม่ได้คิดจะลงมือจริง”

เยี่ยฉวนพยักหน้า เขาต้องระมัดระวังอย่างแน่นอน ด้วยก่อนนี้เขาไม่คิดว่าจะมีคนแอบลักลอบจู่โจม !

อาจเป็นพวกนักฆ่า ! 

คิดแล้วเยี่ยฉวนเหลือบมองคนที่ด้านข้าง พูดด้วยว่า “ถ้ามีจังหวะ วานเจ้าช่วยพาเยี่ยหลิงหลบไปก่อน ข้าเกรงว่าคนพวกนี้จะมุ่งเป้ามาที่น้องของข้า ซึ่งจะทำให้ข้าทำอะไรลำบากขึ้น !”

เยี่ยหลิงได้ยินคำพูดนั้นชัดเจน แต่นางนิ่งเฉยไม่พูดอะไร โม่อวิ๋นฉีหันมามองเยี่ยหลิง ท่าทางลังเลในตอนแรก ทว่าในที่สุดจำต้องพยักหน้า ด้วยหากเยี่ยหลิงยังอยู่ บรรดาคนเหล่านี้จะต้องมุ่งเป้าใช้นางตอบโต้เยี่ยฉวน และเยี่ยหลิงเองก็จะเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้น !

แต่ถ้าโม่อวิ๋นฉีพาเยี่ยหลิงหลบออกไป เยี่ยฉวนจะต้องรับมือกันคนทั้งหมดเพียงลำพัง !

สถานการณ์ของชายหนุ่มเวลานี้… พูดได้เลยว่าเลวร้าย !

ขณะเดียวกัน ชายสวมเกราะเงินซึ่งอยู่ไม่ห่างไปเท่าใด หันมองไปรอบด้าน “คนผู้นี้กล้าแกร่งยิ่งนัก ลำพังพวกเราคนใดคนหนึ่งไม่สามารถรับมือกับเขาได้ แต่ถ้าเรามาร่วมด้วยช่วยกัน รับรองว่าเราชนะแน่”

ทันใดนั้น คนอีกราวหกหรือเจ็ดคนทยอยเดินออกมาจากทุกทิศทาง และมาหยุดอยู่ยืนด้านหลังชายสวมเสื้อเกราะเงิน ซึ่งคนหกเจ็ดคนที่เพิ่งออกมาสมทบนั้น เกือบทั้งหมดมีพลังทะยานสวรรค์ อีกทั้งหนึ่งในเจ็ดมีพลังขั้นสันโดษ ! ไม่มีใครด้อยกว่า !

“หมาหมู่งั้นหรือ ? ไร้ยางอายสิ้นดี !”  ทันใดนั้น จู่ ๆ มีเสียงคนพูดดังขึ้น สายตาทุกคู่ในที่นั้นหันมองไปทางที่มาของเสียง บนหินก้อนใหญ่เยื้องทางขวามีร่างของบุรุษผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดผ้าลินิน ในมือถือดาบสั้นห่อด้วยเศษผ้าเก่า ๆ ที่มุมปากคาบต้นหญ้าชนิดหนึ่ง สายตาที่มองมายังกลุ่มคนฝั่งเดียวกับชายสวมเกราะเงินฉายแววดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปกปิด

ชายสวมเสื้อเกราะได้ยินเช่นนั้น เขามองคนตาขวาง “แล้วเจ้าเป็นใคร ?” เสียงตวาดถาม

ชายที่สวมผ้าลินินเหลือบมองทางคนสวมเกราะเงินด้วยสายตาดูแคลนไม่เจือจาง “ข้าเป็นบิดาของเจ้าไง !”

ใบหน้าของชายสวมเกาะเงินบิดเบี้ยวเหยเก ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนเป้าหมายจู่โจม หันเหไปที่ชายสวมผ้าลินิน เสียงดังแหวกอากาศผ่านข้ามลานกว้างเข้าหาชายสวมผ้าลินินอย่างรุนแรง

ฟิ้ววว !

เงาขาตวัดวาบ พร้อมพุ่งเข้าหาร่างของคนสวมผ้าลินิน !

ทว่าเขากลับเพียงเหลือบมองชายสวมเกาะเงิน สายตาสงบเยือกเย็นยิ่งนัก ก่อนถ่มต้นหญ้าที่คาบไว้มุมปากทิ้ง ฉับพลันนั้นห่อผ้าเก่าสะบัดพรึ่บส่งให้ดาบที่ห่อหุ้มทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยง !

เงาขากระจายไร้ทิศทาง !

ดาบที่ห่อหุ้มไว้ภายในห่อผ้าเก่าทะยานเข้าหาคนสวมชุดเกราะด้วยระดับความเร็วที่เพิ่มขึ้นสุดพิกัด คนสวมชุดเกราะเขม้นมองขณะที่จอประสาทตาหดเล็กลง พลันร่างของเขาพร่าเลือน ขณะนั้นปรากฏเงาหลายเงาเข้าสกัดดาบในห่อผ้าที่กำลังพุ่งตรงมายังชายสวมเกราะเงิน

เปรี้ยง !

เสียงปะทะระเบิดรุนแรงดังสนั่น ขณะเดียวกันร่างของคนสวมเกราะเงินลอยกระเด็นไกลออกไปหลายจั้ง !

เมื่อร่างคนหยุดนิ่ง จึงเห็นว่าที่ขาข้างขวาสั่นสะท้าน !

ท่ามกลางสายตาทุกคู่ แต่ละคนทั้งสีหน้าสีตาราวกับมีสิ่งเหลือเชื่อปรากฏขึ้นต่อหน้า !

ชายสวมเกราะเงินหยุดนิ่งตาจ้องเขม็งที่คนสวมชุดลินิน ขณะที่อีกฝ่ายไม่สนใจจะติดตาม ทั้งยังยกมือขึ้นสะบัดเบา ๆ ดาบในห่อผ้าขี้ริ้วเหินกลับมาหยุดนิ่งบนฝ่ามือเจ้าของที่ยื่นออกมารอรับ จากนั้นคนสวมลินินหันไปหาเยี่ยฉวนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลออกไป

“ข้าเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ชอบอ้อมค้อม ตัวของข้าชื่อเจี้ยนเสี่ยวหวาง มาที่นี่ด้วยเจตนาเพื่อล่าค่าหัวของเจ้า ! แต่เผอิญกลับมาเจอว่าคนเหล่านี้กำลังทำสิ่งไร้ยางอายด้วยการรุมเจ้าคนเดียว ข้าจึงเปิดโอกาสให้เจ้าสู้กับพวกมันก่อน ถ้าเจ้าชนะจากนั้นค่อยมาสู้กันตัวต่อตัว แต่ถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง”

คนพูดมองเยี่ยฉวนอย่างพิจารณา “อย่างเจ้านี่จึงเหมาะจะเป็นคู่ต่อสู้ !”

โม่อวิ๋นฉีซึ่งยืนอยู่ข้างเยี่ยฉวนอดรนทนไม่ได้ จนต้องยกนิ้วให้กับคนพูด “เจ้านี่แน่จริง เอางี้ ถ้าเจ้าถูกพี่หัวขโมยเยี่ยสังหาร ก็จงสบายใจเสีย เพราะข้าจะรับหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องศพของเจ้าเอง !”

เจี้ยนเสี่ยวหวางเหลือบตามองทางโม่อวิ๋นฉี “หลังจากที่ข้าฆ่าเพื่อนของเจ้าแล้ว แน่ใจได้เลย ข้าจะจัดการเจ้าด้วยอีกคน ไม่สิ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าให้เสียมือ เพราะเจ้าไม่มีค่าหัวฉะนั้นข้อต่อรองนี้จึงไม่น่าสนใจ !”

โม่อวิ๋นฉี “…”

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset