หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 185 ช่างหัวราชสำนักชู…! (ต้น)

บทที่ 185 ช่างหัวราชสำนักชู…! (ต้น)

อีกด้านหนึ่ง ชายในชุดดำเร่งรีบไปที่ก้อนหินใหญ่ จากนั้นจึงทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง “ฝ่าบาท ข้าสืบได้ความว่าสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นได้ส่งคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

คนที่ยืนอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ ทัวป้าเหยียนถามเสียงเบา “ใคร ?”

ชายในชุดดำค้อมตัวลงรายงานเสียงแหบห้าว “กานสือซานพ่ะย่ะค่ะ !” ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของผู้ฟังเคร่งขรึม หัวคิ้วขมวดมุ่น

กระนั้นคนสองคนที่อยู่ทางด้านหลังชายชราและหญิงชรา ต่างมีสีหน้าตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัด กานสือซาน !

คนผู้นี้เป็นผู้ที่ถูกกล่าวขานมากคนหนึ่ง !

ด้วยเพราะเขาคือยอดแห่งผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับที่สิบเอ็ดแห่งทำเนียบผู้เยี่ยมยุทธ์  อันดับที่สิบเอ็ด !

อันดับยิ่งสูง ยิ่งน่าเกรงขาม !

ในแผ่นดินชิง จะมีบุคคลเช่นนี้สักกี่คน ?

เขาเป็นยอดแห่งผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับที่ 11 มีเพียงหนึ่งในล้าน !

จึงไม่แปลกที่จะถูกกล่าวขาน !

ทว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นผู้ถูกกล่าวขาน เป็นเพราะเขาได้เคยต่อสู้กับคนที่มีขั้นพลังสุดยอดผนึกยุทธ์ระดับสูง ทั้งที่ในเวลานั้นเขามีขั้นพลังทะยานสวรรค์เท่านั้น !

ครั้งนั้นเป็นการสู้เพื่อล้างแค้น !

ขั้นทะยานสวรรค์แก้แค้นต่อขั้นสุดยอดผนึกยุทธ์ !

เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ล่วงเลยมากว่าครึ่งปีแล้ว !

ณ ศิลาก้อนใหญ่ ทัวป้าเหยียนมองลอดตามรอยแตกของหน้าผา “เจ้าคิดว่าเขายืนหยัดอีกได้นานแค่ไหน ?”

ชายชราที่เยื้องไปทางด้านหลังส่ายหน้าน้อย ๆ “นอกจากว่าเขาจะมีไพ่ตายอีกใบ” ทัวป้าเหยียนสีหน้าสงบลง และไม่เอ่ยว่าอะไรอีก

ณ บนยอดไม้แห่งหนึ่ง เสียงเคร่งขรึมของเจียงเยว่เทียนพึมพำเรียกชื่อกานสือชานเบา ๆ จ้าวหอชั้นเก้าพยักหน้าน้อย ๆ ตอบกลับแผ่วเบา “ข้าเห็นแล้ว”

เจียงเยว่เทียนเหลือบมองคนด้านข้าง “ดูเจ้าไม่อนาทรร้อนใจสักนิด”

ได้ยินเช่นนั้นอีกฝ่ายหันขวับมามองหน้าเจียงเยว่เทียน “ใจเย็นก่อน พวกเรามาคอยดูหายนะสุดท้ายของสถานศึกษาฉางมู่ดีกว่า !”

เจียงเยว่เทียน “…”

มุมลับ ณ สถานที่

เยี่ยฉวนกับพวกอีกสองคน กำลังต่อสู้กับชายสวมเกราะเงินและคนอื่นอีกหลายคน สามคนต้านทานคนนับสิบ !

ฝ่ายเยี่ยฉวนค่อนข้างเสียเปรียบทางด้านจำนวนคน เมื่อเริ่มจู่โจมจึงดูเสมือนว่าสามคนถูกเอาเปรียบ !

ในตอนนี้เยี่ยฉวนกำลังต่อสู้กับชายสวมเกราะเงินด้านหน้า ก่อนที่ชายร่างท้วมคนแรกจะถือขวานสองเล่มจู่โจมเข้ามาทางด้านซ้าย

ขณะที่มีชายร่างท้วมอีกคน ใช้ทวนเป็นอาวุธจู่โจมเข้ามาทางขวา ยิ่งกว่านั้นยังถูกซุ่มจู่โจมด้วยลูกธนูที่ยิงออกมาเป็นระยะ

กระทั่งมีลูกธนูบางดอกพุ่งเข้าปักหัวไหล่ของเยี่ยฉวน แม้แต่โม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อก็ถูกจู่โจมจากลูกธนูด้วยเช่นกัน !

เป็นการยากยิ่งที่จะสกัดลูกธนูที่ยิงเข้ามาโดยไม่รู้ทิศทาง !

ขณะนั้นเยี่ยฉวนหันไปทางไป๋เจ๋อซึ่งอยู่ไม่ห่างมาก พลันตะโกนบอกคนตัวใหญ่ “เจ้ายักษ์ ระวังหลังให้ที !”

จากนั้นคนพูดผละออก เป้าหมายของเยี่ยฉวนคือชายมือธนู ที่ซุ่มห่างออกไปราวสิบห้าจั้ง !

ด้วยคนทั้งสามคงจะต้องค่อย ๆ ตายลงทีละคน ๆ ในไม่ช้า หากปล่อยให้มือธนูแอบยิงธนูจากที่ลับใส่พวกตนอยู่เป็นระยะเช่นนี้ !

คนที่สังเกตเห็นเยี่ยฉวนเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ชายยิงธนูคือคนสวมเกราะเงิน เขาหน้าตื่นเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบตะโกนบอกคนอื่นทันที “สกัดมัน !”

ขณะเดียวกันคนร้องตะโกนเองก็ได้ทะยานตามหลังอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกับบุรุษร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างที่เหวี่ยงขวานใหญ่ในมือขว้างใส่เยี่ยฉวน

หวือออ !

ขวานใหญ่แหวกอากาศพุ่งตรงเข้าหาร่างคน บังเกิดกระแสลมหวีดดัง !

อีกด้านหนึ่ง ไป๋เจ๋อผลักกระแทกฝ่ามือลงสู่พื้นเต็มแรง

เปรี้ยง !

พื้นพสุธาแตกแยกเปิดออก !

ขณะเดียวกันเขาก็ใช้ร่างกายของตนเองเข้าปะทะแรงกระแทกจากขวานใหญ่นั่น

บึ้ม !

ขวานใหญ่ปลิวกระเด็นไร้ทิศทาง ด้านไป๋เจ๋อ บริเวณแผ่นอกของคนตัวใหญ่ปรากฏร่องรอยของโลหิตไหลซึมเป็นทาง !

แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับเยี่ยฉวน ทว่ามิได้ไร้เทียมทานเช่นเยี่ยฉวน !

ภายหลังจากจัดการขวานใหญ่แล้ว ไป๋เจ๋อใช้มือปาดเช็ดคราบโลหิตออกอย่างเร็ว จากนั้นจึงรีบทะยานเข้าหาชายสวมเกราะเงินและคนอื่น ๆ

ทว่ายังไม่ทันไร เขาก็ถูกสกัดอย่างรุนแรงจนกระทั่งร่างใหญ่โตถึงกับกระเด็น…

เมื่อปราศจากภัยคุกคามจากขวานแล้ว เยี่ยฉวนพรวดเข้าถึงคนมือธนูในไม่ช้า ทันทีที่เขาทะยานเข้าถึงที่ ลูกธนูสามดอกเรียงติดตามกันมาพุ่งหาเป้าหมายที่กึ่งกลางแสกหน้า นับเป็นลูกธนูที่มีทั้งความเร็วและประจุพลังเต็มเปี่ยม

เยี่ยฉวนแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ตวัดกระบี่หลิงซิ่วในมือออกไปอย่างรุนแรง !

ฟิ้ววว !

เมื่อกระบี่ในมือของชายหนุ่มลดลง ลูกธนูทั้งสามแตกกระจายจนหมดสิ้น !

ชายที่ใช้ธนูทำท่าถดถอยหนี แต่ไม่ทันที่กระบี่หลิงซิ่วสะบัดออกจากอุ้งมือเจ้าของกระบี่รวดเร็ว !

ฉับ !

ชายยิงธนูเคราะห์ร้ายถอยหลังไปได้เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น พลันหัวของมันหลุดจากบ่ากระเด็นตกไปที่พื้นแล้ว !

โลหิตแดงฉานไหลทะลัก !

หลังจากนั้น กระบี่หลิงซิ่วตวัดวาบลงเบื้องล่างทันที !

ที่ด้านล่าง ชายสวมเกราะเงินและคนอื่นซึ่งสถานการณ์กำลังได้เปรียบไล่ติดตามรุมไป๋เจ๋ออยู่นั้น พลันคนทั้งกลุ่มสีหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อเห็นได้ชัดว่ากระบี่กำลังเหินตรงมา เป็นลำแสงกระบี่สว่างวาบราวกับพุ่งลงมาจากชั้นบรรยากาศ !

พวกเขาไม่อาจประมาทฝีมือของเยี่ยฉวน ชายร่างท้วมจากด้านข้างชายสวมเกราะเงิน กระแทกขวานใหญ่ออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง เสียงหวีดแหวกอากาศดังเสียดแทง พลันขวานพุ่งปะทะกับส่วนปลายกระบี่หลิงซิ่วอย่างจัง !

บึ้ม !

แรงปะทะมีผลให้ทั้งขวานใหญ่และกระบี่หลิงซิ่วสะท้านสะเทือน ทันใดนั้นขวานเกิดรอยปริร้าวขึ้นทีละน้อยจนในที่สุดมันระเบิดแหลกกระจายไม่มีชิ้นดี ขณะเดียวกัน กระบี่หลิงซิ่วชะงักนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงหันเหทิศทางไปยังชายร่างท้วม !

เจ้าคนท้วมหรี่ตาเพ่งมองจนเห็นกระบี่ที่มุ่งตรงมา แววตาปรากฏความหวาดหวั่น ขณะนั้นเองเงาขาวาบขึ้นพลันตวัดกระแทกเข้ากับกระบี่หลิงซิ่ว

บึ้ม !

กระบี่หลิงซิ่วถูกพลังปะทะเข้าเต็มที่ จึงหันเหเปลี่ยนทิศทาง !

ฉับพลันร่างคนผู้หนึ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกหมัดลุ่นไปที่ชายร่างท้วม

คนผู้นั้นคือเยี่ยฉวน !

ชายท้วมเขม้นมองสายตาฉายแววดุร้ายเหี้ยมเกรียม เขาไม่หลีกหลบ กลับสวนหมัดออกประสานงากับหมัดเยี่ยฉวน !

ชายสวมเกราะเงินส่งเสียงตะโกนใส่คนร่างท้วมด้วยความตระหนก เมื่อเห็นสิ่งที่บังเกิดต่อหน้า “ระวัง !”

ทันทีที่เสียงคนจางหาย

กร๊อบ !

เสียงกระดูกแตกลั่นดังมาจากแขนของคนร่างท้วม ก่อนที่แขนของคนท้วมจะระเบิดแหลกทั้งโลหิตและเนื้อกระจัดกระจาย !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset