หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 186 ช่างหัวราชสำนักชู…! (ปลาย)

บทที่ 186 ช่างหัวราชสำนักชู…! (ปลาย)

ชายร่างท้วมยามนี้เกิดความหวาดกลัวสุดชีวิตเข้าครอบงำ ทำท่าถอยหนีเร็วไว ทว่ากระบี่กลับทะยานเข้าหาและเสียบเข้าตรงกลางระหว่างหัวคิ้วของคนเสียก่อน !

ฉึก !

ละอองฝอยโลหิตกระเซ็นสาดออกทางด้านหลังศีรษะของคนท้วม ร่างคนสะดุ้งเฮือกตัวแข็งทื่อ ก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น

ขณะที่กระบี่เหินเข้าไปที่คนร่างท้วม ทวนยาวพุ่งอย่างรุนแรงเข้าหาเยี่ยฉวนในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มยกมือขึ้นหยุดทวนไว้ทั้งสองมือ!

ชายถือทวนเห็นดังนั้นจึงเหยียดมุมปากแยกเขี้ยว ขณะที่ออกแรงปั่นทวนหมุนอย่างหนักหน่วง

ฉึก !

ทันใดนั้นปลายแหลมของทวนเสียบเข้าที่บริเวณหน้าอกของเยี่ยฉวน ปักลึกเข้าไปในผิวเนื้อราวครึ่งนิ้ว !

ฉับพลัน เงาขาตวัดวาบเข้าสู่เป้าหมายที่ศีรษะของเยี่ยฉวนในเวลาเดียวกัน เป็นการจู่โจมพร้อมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง !

เยี่ยฉวนเองไม่ประมาทคู่ต่อสู้ เขากระทืบเท้าลงที่พื้นดินกระตุ้นพลังเกราะแห่งปฐพี เมื่อเงาขาปรากฏขึ้นข้างกาย ทันใดนั้นลำแสงสุกสกาวพุ่งวาบเข้าหาเงาขาอย่างรวดเร็ว !

เปรี้ยง !

ร่างของชายสวมเกราะเงินสั่นรุนแรงก่อนที่ตัวคนจะกระเด็นไกลไปหลายจั้ง ! เขาเพ่งมองเยี่ยฉวน หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธจัด

สตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นทางด้านข้างเยี่ยฉวน !

เป็นจี้อันซื่อ !

นางหันมามองสภาพของชายหนุ่ม สีหน้ากังวลเล็กน้อย พูดเสียงเบา “ขะ… ข้าว่า คงมาช้าไปหน่อย !” พลันชักมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังออกมา ยื่นสิ่งของที่อยู่ในมือพรวดออกเบื้องหน้าเยี่ยฉวน ของในมือนั้นคือน่องไก่ย่างเหลืองอร่าม

“เอ้านี่”

เยี่ยฉวนถึงกับอึ้ง “…” จี้อันซื่อเห็นว่าเยี่ยฉวนยืนนิ่งไม่รับของที่ยื่นส่งให้ จึงดึงกลับและส่งมันเข้าปากกัดกินเองคำหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปทางโม่อวิ๋นฉี ซึ่งกำลังตกเป็นรองและหลบหลีกไปมาอยู่ระยะไกล ด้วยท่าทางไม่สู้ดี !

หญิงสาวพึมพำกับคนข้าง ๆ “ข้าจะไปช่วยเจ้านั่นก่อน !” พูดจบทั้งคนและน่องไก่หายวับไปจากที่ทันที เยี่ยฉวนได้แต่อ้าปากค้าง มองตามร่างคนที่เพิ่งผละไปด้วยความเร่งรีบพลางแทะน่องไก่ไปด้วย เขาส่ายหน้า

“นี่มันผู้หญิงเช่นใดกัน…”

ในที่สุดเยี่ยฉวนก็หันกลับไปที่ชายสวมเกราะเงินซึ่งอยู่ห่างออกไป “ตายเสียเถอะ !”

พลันพุ่งทะยานออกจากที่ !

อีกด้านหนึ่ง เจี้ยนเสี่ยวหวางนั่งชันเข่าอยู่บนโขดหิน จับตามองร่างของเยี่ยฉวนพลางพูดขึ้นว่า “เจ้านั่นสู้ได้อยู่แล้ว !” เสียงคนที่อยู่ถัดออกไป กงชิงเฉิงตอบยิ้ม ๆ

“จริงอยู่ แต่ข้ายังข้องใจอยู่ดีว่าเขาจะมีไม้เด็ดอะไรซุกซ่อนเท่านั้น !”

จากนั้น เขาทอดสายตามองไปยังร่างของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่บนสะพานไม้กระดานแผ่นเดียว ห่างออกไปหลายสิบจั้ง คนผู้นั้นยังยืนนิ่งเฉยอยู่บนสะพาน มิได้สนใจจะร่วมต่อสู้แต่อย่างใด เจี้ยนเสี่ยวหวางหันมองไปทางคนผู้นั้นอีกคน แต่ทว่าเขามิได้ปริปาก

ทางฟากของกงชิงเฉิงเอง นอกจากเขาแล้วยังมีเยี่ยหลิงอีกคน โดยในขณะนี้เด็กหญิงก็กำลังจับตามองเยี่ยฉวนที่ถูกล้อมจู่โจมจากคนสี่คน ทำให้ประกายตาวาววับเยือกเย็นพร้อมมือกำหมัดแน่น ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจของเด็กหญิงกำลังคิดถึงสิ่งใด

ในจังหวะนั้นเยี่ยฉวนเคลื่อนไหวรวดเร็ว พรวดเดียวก็มาประจัญหน้าชายสวมเกราะเงิน อีกฝ่ายเมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาก็ถอยลงก้าวหนึ่งพร้อมผลักฝ่าเท้าถีบออกโดยแรง และด้วยพลังฝ่าเท้า มันจึงก่อให้เกิดลมแรงที่วูบเข้าปะทะเยี่ยฉวนคมกริบดุจใบมีด !

ถึงกระนั้น พลังลมที่รุนแรงกลับไม่อาจสกัดกั้นเยี่ยฉวนไว้ได้ เขาเหวี่ยงกระบี่หลิงซิ่วออกต้านทาน พลันพลังลมแตกซ่านไม่เหลือชิ้นดี !

บัดนี้เยี่ยฉวนเข้ามายืนเผชิญหน้า ระยะห่างของคนทั้งสองไม่เกินสองจั้ง ฉับพลันนั้นกระบี่หลิงซิ่วแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสว่างเจิดจ้าและพุ่งออกไปข้างหน้า !

กระบี่เหิน !

ชายสวมเกราะเงินเห็นเช่นนั้น สีหน้าพลันเผือดซีด ทว่าทันทีนั้นทวนยาวพลันปรากฏออกเบื้องหน้าและพุ่งปะทะกระบี่อย่างจัง !

บึ้ม !

กระบี่หลิงซิ่วถูกพลังต้านทานจึงชะงักหยุดนิ่ง !

เยี่ยฉวนเบนหน้าไปในทิศที่ทวนโผล่เข้ามา และพบว่าเป็นคนที่เคยจู่โจมโดยใช้ทวนนั่นเอง ชายหนุ่มโบกมือเบา ๆ พลันกระบี่หลิงซิ่วลอยหวนกลับคืนสู่ผู้เป็นนาย ก่อนที่ทันใดนั้นเอง เยี่ยฉวนจะกระแทกฝ่าเท้าขวาลงบนพื้นดิน !!

บึ้ม !

พื้นดินบริเวณนั้นระเบิดออกทันที ! พร้อมกับที่ชายหนุ่มฉวยความได้เปรียบจากพลังปฐพี ทำให้ร่างคนอันตรธานไป ส่งผลให้ชายที่ใช้ทวนหน้าตื่น นัยน์ตาหรี่ลงขณะจอประสาทตาหดเกร็ง ทว่าเขาไม่คิดที่จะถอย ทั้งยังกระแทกทวนยาวพุ่งตรงออกไป !

พลังเคลื่อนไหวจากทวนแหลมยาว กระจายวาบครอบงำเยี่ยฉวน !

ทว่าเยี่ยฉวนตวัดกระบี่ในมือลงรวดเร็ว หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !

หึ่มมม !

เสียงแห่งกระบี่กระหึ่มสนั่นไปทั่วทั้งลาน !

ทันใดนั้นเอง…

ฉึก !

ลำทวนยาวหักออกครึ่งลำ เช่นเดียวกับที่ร่างของเยี่ยฉวนวาบไปปรากฏออกทางเบื้องหลังคนใช้ทวน !

ชายผู้ใช้ทวนยังกำทวนหักครึ่งแน่นเหนียว สายตาทอดมองไปในระยะไกล มีเสียงเค้นลอดผ่านไรฟันพอจับใจความได้ “พลัง… เฉียบ คม…”

เสียงคนพร่าเลือน ตรงหน้าผากของคนบริเวณกึ่งกลางหว่างหัวคิ้วบังเกิดร่องแยกยาว โลหิตทะลักไหล !

เยี่ยฉวนเบนหางตาเหลือบไปทางชายสวมเกราะเงิน ซึ่งกำลังจับตามองมาทางเขาพอดี “ข้าถอนตัว !” เสียงคนสวมเกราะเงินร้องลั่น

ถอนตัว !

เวลานี้ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจนเต็มหัวใจ !

เยี่ยฉวนมีผู้ช่วยเหลือ อีกทั้งความกล้าแกร่งยังเกินกว่าที่คิดไว้มากนัก สามรุมหนึ่งยังไม่อาจเอาชนะต่อคนผู้นี้ได้ !

บัดนี้จากสามเหลือเพียงชายสวมเกราะเงินเพียงคนเดียว ทั้งเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงและทั้งเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผล ดังนั้นจึงเป็นเหตุโดยชอบที่เขาจะขอถอนตัว !

“เหอะ ถอนตัวหรือ ?!” เยี่ยฉวนปรายหางตามองชายสวมเกราะเงินเล็กน้อย

“ไม่สายไปหน่อยหรือ ?” อีกฝ่ายพูดอย่างเย็นชาเอาใจดีสู้เสือ

“เยี่ยฉวน ข้าคือองค์ชายสามแห่งแคว้นชู ถ้าเจ้าฆ่าข้า ราชสำนักชูไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้า…”

ชั่วพริบตานั้น กระบี่บินเล่มหนึ่งทะยานพุ่งตรงวาบผ่านลานกว้าง !

ฉึก !

ปลายกระบี่พุ่งเสียบทะลุตรงกลางระหว่างคิ้วทันที !

คนสวมเกราะเงินร่างกระตุกเฮือกแข็งขึง ดวงตาฉายแววประหลาดใจ

เยี่ยฉวนย่างสามขุมเข้าไปยืนจนใกล้คนสวมเกราะเงิน สายตาจับจ้อง ปากเอ่ยพูด “ราชสำนักชู ? แล้วยังไง ? ช่างหัวราชสำนักชูสิโว้ย !” สิ้นเสียงคนพูด เขากุมด้ามกระบี่ก่อนตวัดออกไปอย่างรุนแรง

ฉับ !

พลันศีรษะของคนสวมเกราะเงินขาดสะบั้นกระเด็นหวือจากตัวทันที !

โลหิตไหลพรั่งพรูดุจสายน้ำ !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset