หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 189 มาทางนี้สิโว้ย ! (ต้น)

บทที่ 189 มาทางนี้สิโว้ย ! (ต้น)

เยี่ยฉวนควรไว้ชีวิตกานสือซานอย่างนั้นหรือ ? เขาไม่เคยคิดไว้ชีวิตให้มัน !

คนพวกนี้เคยแต่อยู่เหนือคนอื่น ถ้าชายหนุ่มปล่อยกานสือซานไปในวันนี้ คนพวกนั้นไม่มีทางสำนึกในบุญคุณ ทั้งยังพาลจะคิดว่าอย่างไรเสียเยี่ยฉวนควรจะต้องทำเช่นนี้อยู่แล้ว !

และที่ร้ายยิ่งกว่า หากเยี่ยฉวนไว้ชีวิตมัน กานสือซานจะต้องกลับมาแก้แค้นเยี่ยฉวนหลังจากที่เขาฟื้นพลังไม่วันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นไฉนเลยเยี่ยฉวนจะโง่ ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลไปเสียเล่า !

อีกอย่างเขาไม่เคยไว้วางใจศัตรูที่ยังมีชีวิตอยู่ “ในเมื่อพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการหัวของข้า ฉะนั้นข้าก็จะฆ่าพวกเจ้าด้วยเช่นกัน !

ข้าไม่สนหรอกว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร และอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน !

ข้าจะสลัดทิ้งความรู้สึกทุกอย่างและสังหารพวกเจ้าให้เหี้ยน !”

ชายชราสวมผ้าคลุมสีขาวเห็นเยี่ยฉวนสังหารกานสือซานตายลงต่อหน้า ดังนั้นยามนี้สีหน้าของชายชราจึงบิดเบี้ยวเหยเกพลางใช้สายตาเคียดแค้นจ้องเยี่ยฉวน ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อด้วยต้องการบรรเทาความคับแค้นในใจ

กานสือซาน !

เขาผู้นี้นับว่าเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่ศิษย์สายในของสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น !

ฉางมู่ตั้งความหวังไว้กับเขาอย่างที่สุด สถานนะของกานสือซานเทียบเท่ากับศิษย์ผู้สืบทอดของฉางมู่ก็ว่าได้ !

ทว่าเวลานี้เขากลับต้องมาตายลงด้วยน้ำมือของเยี่ยฉวน !

ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวตั้งท่าออกจู่โจมเพื่อแก้แค้นให้ศิษย์ โดยในขณะนั้นอาจารย์ใหญ่จี้ได้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงพอดี ชายชราจึงพลันเคลื่อนเข้าปะทะด้วยการผลักออกหมัดพุ่งใส่ร่างของคนชราในชุดคลุมสีขาวกระเด็นออกไป !

พลังหมัดที่ผลักออกนั้น มีอานุภาพรุนแรงระดับพระกาฬ !

ถึงขนาดทำให้ชั้นบรรยากาศรายรอบตัวคนชราสวมผ้าคลุมสีขาวบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง จากนั้น…

ผัวะ !

พลังหมัดส่งร่างของชายชราสวมชุดคลุมสีขาวกระถดถอยออกไปไกลหลายจั้ง !

ชายชราในชุดขาวพยุงกายขึ้น ขณะที่ใช้หลังมือปาดโลหิตที่ซึมออกมาทางมุมปาก สายตาเหลือบไปมองอาจารย์ใหญ่จี้ที่มีท่าทางคล้ายคนเมาสุราห่างไปไม่ไกล แววตาฉงนระคนคลางแคลงใจ !

ถึงแม้ตนเองจะไม่ได้บรรลุขั้นสุดยอดผนึกยุทธ์ ทว่าเขาก็ยังนับว่าอยู่ในระดับขั้นผนึกยุทธ์

…แต่กลับไม่สามารถต้านทานอาจารย์ใหญ่จี้ได้แม้แต่น้อย ! เขาไม่อาจประมือกับคนผู้นั้นได้เลย !

คนชราสวมชุดคลุมสีขาวตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นเอง !

ถึงอย่างไรคนอย่างเขาไม่เคยนึกหวั่นเกรงสิ่งใด ด้วยมีผู้ที่หนุนอยู่เบื้องหลังเป็นถึงสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น !

แม้ว่าฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋นจะไม่ใช่สำนักใหญ่ แต่ที่นี่นับว่าเป็นสถานศึกษาฉางมู่ที่ดีที่สุดในแผ่นดินชิง อีกทั้งยังเป็นกองกำลังที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดด้วย !

เขาจึงมีความผยอง !

หรือถ้าให้ถูกควรพูดว่ายิ่งกว่าผยองด้วยซ้ำ !

ชายชราในชุดคลุมสีขาวทอดสายตามองตรงอาจารย์ใหญ่จี้ “แล้วเจ้าจะได้เห็นดี !”

จากนั้นจึงชำเลืองไปทางเยี่ยฉวน ซึ่งยืนใกล้กับอาจารย์ใหญ่ “ไอ้คนต่ำช้า จะต้องมีสักวันที่เจ้าปราศจากคนคุ้มกะลาหัว !” กล่าวจบคนพูดหันหลังและหายวับไปทางเส้นขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว

อาจารย์ใหญ่จี้มองไปทางที่ชายชราชุดคลุมสีขาวเพิ่งหายวับไป เขานิ่งงันราวกับตกในภวังค์ความคิด !

สักครู่จึงมองมาทางเยี่ยฉวนที่ยืนอยู่ด้านล่าง “เจ้าก็หยุดทำร้ายตัวเองได้แล้ว !” กล่าวเพียงเท่านั้น ร่างกายสะท้านน้อย ๆ ก่อนหายวับไปจากที่

เมื่อเห็นว่าอาจารย์ใหญ่จี้หายลับไปแล้ว เยี่ยฉวนจึงหันกลับมาทางเจียงจิ่ว พบว่าบนใบหน้าของหญิงสาวปรากฏมีริ้วรอยบาดแผลยาว ส่วนที่บริเวณกลางลำตัวมีสีแดงของโลหิตไหลซึมเปื้อน !

ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นเขาพลันเม้มปากแน่น พลางกระชับกระบี่หลิงซิ่วในมือ สายตาพุ่งเป้าไปที่เงาปีศาจซึ่งกำลังต่อสู้กับเจียงจิ่ว ที่ขณะนั้นมันทำท่าจะล่าถอยหนี !

“คิดหนีล่ะสิ !” เมื่อเห็นเช่นนั้น เยี่ยฉวนส่งเสียงคำราม “มาทางนี้สิโว้ย !”

เสียงคำรามลั่นเลือนหาย ร่างของคนทะยานพรวดออกไปเบื้องหน้า ขณะเดียวกันกระบี่หลิงซิ่วพุ่งออกจากอุ้งมือเข้าฟาดฟัน พลันกระบี่ทะยานด้วยความรวดเร็วโดยปราศจากสิ่งกีดขวาง ถึงตัวเงาปีศาจภายในพริบตา !

ร่างเงาปีศาจกลับหายวับไปจากที่ฉับพลันเมื่อกระบี่หลิงซิ่วไปถึงที่หมาย !

ขณะนั้นเอง เกิดเงาเคลื่อนไหววูบวาบเข้ามาทางเบื้องหลังเยี่ยฉวน และชั่วพริบตาลำแสงสว่างพุ่งตรงเข้าที่ท้ายทอยของชายหนุ่ม !

เยี่ยฉวนหรี่ตาลงด้วยสัญชาตญาณ ปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวเขาเอนกายไปข้างหน้า เบี่ยงหลบลำแสงพุ่งตรงรวดเร็ว ขณะเดียวกันกระบี่หลิงซิ่วเหินจากระยะไกลตรงเข้าฟันฉับลงเบื้องหน้า !

ด้านหลังของเยี่ยฉวนเงื้อมเงาปีศาจหายวับขณะล่าถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ !

จังหวะนั้นเอง จู่ ๆ ดาบทองคำปรากฏอยู่ทางด้านหลังของเงาปีศาจ !

ทันใดนั้นร่างเงาปีศาจสั่นสะท้าน ก่อนกลายเป็นพร่าเลือน !

เมื่อร่างปรากฏขึ้นอีกครา พบว่ามันถอยห่างออกไปไกลหลายจั้ง !

ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเยี่ยฉวนและพวกต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่ง !

เพราะการเคลื่อนไหวของศัตรูน่ามหัศจรรย์นัก !

แม้แต่โม่อวิ๋นฉีเวลานี้ก็ต่อสู้อย่างหนักหน่วง จริงอยู่ว่าเขาเป็นผู้ที่มีความเร็วเป็นเลิศแต่ก็ใช่ว่าจะเร็วเสมอภูตผี ด้วยขณะนี้คู่ต่อสู้เบื้องหน้ามีทั้งความรวดเร็ว ทั้งยังเคลื่อนไหวราวปีศาจ !

เหล่ากายาปีศาจทั้งหลายเริ่มพร่าเลือน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกมันเริ่มที่จะถอยหนี !

ช่วงนั้นเองที่กระบี่หลิงซิ่วพุ่งทะยานออกจากอุ้งมือของเยี่ยฉวนออกไปทันที !

พลังปะทะผสานด้วยเคล็ดวิชากระบี่ !

จังหวะนั้นกระบี่จู่โจมเข้าหาร่างซึ่งเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินพิกัด !

ในระยะห่างออกไป ร่างปีศาจหยุดชะงัก มันเงื้อดาบขึ้นรองรับแรงปะทะแห่งกระบี่หลิงซิ่วของเยี่ยฉวน ทว่าด้วยพลังแห่งกระบี่ผลักออก ร่างของมันจึงถอยหลังกรูดอย่างมิอาจยั้งหยุด !

ขณะเดียวกัน… โม่อวิ๋นฉีซึ่งจับตามองจากที่ในระยะห่าง เขาเหยียดมุมปากยกยิ้ม ทันใดนั้นร่างกายสั่นสะท้านพลันหายวาบไปจากที่ ครู่ต่อมาลำแสงสองลำแสงพุ่งวาบเข้าสู่เป้าหมายทั้งด้านซ้ายขวาของร่างปีศาจ !

มีดคู่บิน !

เจ้าปีศาจยกมือขึ้นสกัดคว้ามีดบินซึ่งพุ่งเข้ามาทั้งสองด้าน !

เปรี้ยง ! เปรี้ยง !

ทันใดนั้นมีดบินทั้งสองเล่มถูกปะทะกลางอากาศ !

ทว่าในขณะนั้น พลันแสงแห่งกระบี่พุ่งวาบทะลุกลางลำตัวของร่างปีศาจโดยไม่ทันตั้งตัว !

ฉึก !

ร่างปีศาจสะดุ้งเฮือกสุดตัว !

ฉับพลันร่างของมันค่อยพร่าเลือน พลันฝอยละอองของโลหิตจากร่างที่เริ่มเลือนรางมากขึ้นกระเซ็นมาโดนที่ตัวเยี่ยฉวน !

ชายหนุ่มก้มลงมองที่บริเวณลำตัวของตนเอง ซึ่งปรากฏจุดสีแดงกระจายอยู่เต็ม ! “นี่มันอะไร ?” เขานิ่วหน้า สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย

เจียงจิ่วซึ่งอยู่ไม่ไกลตอบกลับ “ประทับโลหิตจิตวิญญาณล่าสังหาร กล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์ความเป็นและความตายแห่งดินแดนอันธกาล นั่นย่อมแสดงว่าในอนาคตจะมีพวกมือสังหารนับไม่ถ้วนต้องการล่าหัวของเจ้า !”

เยี่ยฉวนพยักหน้า “พวกมันจะตามจองล้างจองผลาญข้าสินะ ?” เจียงจิ่วชำเลืองมองมาที่คนข้าง ๆ

“เจ้ายังไม่รู้จักความน่ากลัวของพวกดินแดนอันธกาล เจ้ารับมือการตามจองล้างจองผลาญของพวกมันไม่ไหวหรอก”

คนฟังยักหัวไหล่ ผายมือออกมาข้างหน้า “ถ้าเช่นนั้นข้าควรทำเยี่ยงไร ? ในเมื่อพวกมันต้องการหัวของข้า ข้าควรปล่อยให้พวกมันตัดหัวของข้าไปเฉย ๆ เช่นนั้นหรือ ?”

เจียงจิ่วสิ้นคำพูด “…”

อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ “พรรคพวกของมันอยากจะฆ่าข้า ฉะนั้นข้าก็เลยฆ่าพวกมัน แต่พวกมันกลับตามล้างแค้นต่อข้าอีก… ชีวิตนี้ ช่างอยู่ยากจริง !”

กล่าวจบ พลันกวาดสายตาไปทางศัตรูที่เหลืออีกแปดเก้าคน ซึ่งทั้งหมดกำลังตีโต้โม่อวิ๋นฉีและพวกทั้งสองคน !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset