หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 190 มาทางนี้สิโว้ย ! (ปลาย)

บทที่ 190 มาทางนี้สิโว้ย ! (ปลาย)

สายตาของเยี่ยฉวนเขม้นมองตรงไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้นบรรดาคนพวกนั้นพากันหน้าซีดเผือด และตั้งท่าถอยหนี ทว่าขณะนั้นเองเยี่ยฉวนตะโกนใส่กลุ่มคน “ยังไงก็ตาม ข้าจะสังหารไอ้เวรตะไลพวกนี้ให้สิ้นซาก ยิ่งข้ามีศัตรูมากเท่าใด ข้าก็จะสังหารพวกมันให้มากขึ้นเท่านั้น !”

ทันทีที่สิ้นเสียงคนพูด ร่างของเยี่ยฉวนทะยานพุ่งตรงเข้าหากลุ่มคนอย่างรวดเร็ว !

เช่นเดียวกับทางเบื้องหลังคือโม่อวิ๋นฉีและคนอื่น… ที่ต่างก็พุ่งตรงเข้าหาด้วยเช่นกัน !

โม่อวิ๋นฉีและพวกต่างมีสีหน้าสีตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ด้วยในการปะทะที่ผ่านมาทุกคนต่างประสบเหตุให้เกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วทั้งสิ้น !

เมื่อปราศจากชายสวมเกราะเงิน กานสือซาน และมือสังหารจากดินแดนอันธกาลทั้งสาม พวกยอดคนที่เหลือก็แทบไร้ความหมาย แต่ละคนฝีมือไม่คู่ควรกับเยี่ยฉวนและคนอื่นด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เยี่ยฉวนและคนอื่นทำมันก็เสมือนออกไปเพื่อสังหารหมู่ !

เจี้ยนเสี่ยวหวางยืนมองดูสนามประลองของเยี่ยฉวนและพวกในที่ไกลออกมา “เจ้านั่นกำลังยั่วโมโหให้บรรดากลุ่มอำนาจทั้งหลายเสียแล้ว !”

น้ำเสียงของกงชิงเฉิงที่ตอบมาเฉยเมยไร้รู้สึก “ถ้าเขาคิดฆ่าคนพวกนั้นให้หมด เท่ากับต่อต้านกลุ่มอำนาจทั้งหลายนั่นแหละ พูดง่าย ๆ ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังเยี่ยฉวนเป็นผู้อ่อนด้อย พวกกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้จะกลายเป็นศัตรูของเขา แต่ถ้าเขาแข็งแกร่ง พวกกลุ่มอำนาจจะไม่กล้าหือ มิหนำซ้ำยังจะมาขอให้อภัยและยอมเชื่อฟังแต่โดยดี !”

จากนั้นจึงปรายตาไปทางเจี้ยนเสี่ยวหวาง “อย่างเจ้าเกิดมาในตระกูลผู้ฝึกกระบี่ หากเยี่ยฉวนมีชาติมีตระกูลเช่นเจ้า คิดดูสิว่าคนพวกนี้จะกล้าตามจองล้างจองผลาญต่อเขาหรือไม่ ?”

อีกฝ่ายกลับโต้ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไรต่อ มั่นใจได้เลยว่าข้าจะต่อสู้กับเขา และเมื่อใดที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ ข้าจะรีบหลีกหนีไปให้ไกลแสนไกล แทนที่จะพยายามทำเป็นกล้าหาญ !” กงชิงเฉิงเหยียดยิ้ม “เฮ้อ ข้าก็แค่ไม่อยากเห็นเจ้าถูกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้นแหละ !”

ครานี้เจี้ยนเสี่ยวหวางกลับนิ่งเฉย นัยน์ตามองไกลไปจนสุดขอบฟ้า  เขามิใช่คนโง่ ดังนั้นย่อมมองออกว่านี่เป็นกับดักที่มีใครบางคนทำขึ้นเพื่อล่อเยี่ยฉวนให้เข้ามาติดกับ !

แต่ถึงกระนั้น ไหน ๆ เขาก็มาจนถึงที่แล้ว ถ้าหลีกเร้นหนีไปเสีย ต่อไปจะสู้หน้าใครได้กัน !!

ในระยะไกล ที่สนามประลองใกล้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว !

เพียงไม่กี่อึดใจ ที่เบื้องหน้าเยี่ยฉวนและพวก เหลือศัตรูยืนหยัดต่อสู้อีกหนึ่งคน ซึ่งบัดนี้เหลือแขนซ้ายอยู่เพียงข้างเดียวด้วยแขนข้างขวาถูกตัดออกไปเสียแล้ว เขาไม่กล้าถอยหนีเพราะหนีไม่ได้ !

เขาไม่มีทางวิ่งหนีได้เร็วกว่ากระบี่ของเยี่ยฉวนหรือฝีเท้าของโม่อวิ๋นฉี !

ชายกับแขนหักที่เหลือเพียงข้างเดียวเขม้นมองเยี่ยฉวน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่พวกเจ้าฆ่าตายเหล่านั้นเป็นใคร ?”  เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ

ชายแขนหักแสยะยิ้มบิดเบี้ยวน่าเกลียด “คนพวกนั้นมาจากกองกำลังมากอิทธิพลแห่งแคว้นชิง ทว่าเวลานี้กลับถูกเจ้าฆ่าตายหมดสิ้น กองกำลังทั้งหลายไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ พวกเจ้ามั่นใจได้เลยว่าอีกไม่นานพวกเจ้าต้องไปเจอข้าในนรกแน่ เจ้า…”

ฉึก !

ฉับพลันกระบี่หนึ่งพุ่งพรวดเข้าปักกึ่งกลางระหว่างคิ้วของชายแขนหัก !

ร่างของคนสะดุ้งเฮือกแข็งค้าง ขณะนั้นเยี่ยฉวนก้าวเท้าตรงเข้าหาร่างอย่างเชื่องช้า “อยากพล่ามมากนัก !” จากนั้น เขากระชากกระบี่ออกเต็มแรง !

ฉึก !

โลหิตค่อย ๆ ไหลซึมออกทางหว่างคิ้วของคนแขนหัก !

เยี่ยฉวนกุมกระบี่หันหลังเดินกลับมาทางโม่อวิ๋นฉีและคนอื่นที่รวมกัน สภาพของทุกคนล้วนบาดเจ็บมีบาดแผลน้อยใหญ่ทั่วร่าง โดยเฉพาะไป่เจ๋อที่บริเวณลำตัวส่วนบนมีบาดแผลถูกฟันลึกจนเห็นกระดูก อีกทั้งดูเหมือนว่าหัวไหล่ด้านขวาจะเคลื่อนหลุด… บาดเจ็บไม่น้อย !

ชายหนุ่มเดินตรงไปทางไป่เจ๋อและยื่นยาเม็ดโอสถเทพประสานไปตรงหน้าคนร่างใหญ่ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธหนักแน่น “ไม่ล่ะ ขอบใจ !”

เยี่ยฉวนมองคนตัวใหญ่สายตามีแววพิศวง ไป่เจ๋อเห็นเช่นนั้นจึงรีบพูดว่า “ข้าเป็นผู้ฝึกพลังกายา ดังนั้นสิ่งที่ข้าปรารถนาก็คือการถูกต่อยตี ยิ่งข้าถูกตีมากเท่าไร ร่างกายยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น !”

ในตอนนั้นเองโม่อวิ๋นฉีซึ่งยืนอยู่ถัดไป แค่นหัวเราะและพูดเสียงเยาะเย้ยว่า “ต่อยตีงั้นหรือ ? ได้ ไว้ข้าจะอนุเคราะห์ให้เอง !” คนร่างยักษ์หันขวับ ในขณะที่โม่อวิ๋นฉีรีบเผ่นแผล็วถอยหลังไปสองสามก้าวในพลัน

จากนั้นเยี่ยฉวนพลันดึงเกราะเงินซึ่งยึดได้จากชายสวมเกราะเงินซึ่งถูกสังหารไปก่อนหน้าออกมา แท้จริงแล้วเสื้อเกราะตัวนี้เป็นศาสตราวุธขั้นประกายแสงระดับต้น !

แม้จะมีรอยถูกฟันด้วยกระบี่ของเยี่ยฉวนและแตกออกเล็กน้อย แต่ถ้าซ่อมแซมแล้ว ของล้ำค่าจะกลับมีมูลค่าสูงดังเดิม !

ทว่าในวันนี้เยี่ยฉวนกลับคิดส่งเกราะเงินให้ไป่เจ๋อ ! “ศาสตราวุธชนิดนี้ทนทานดีมาก เจ้าสวมเอาไว้ป้องกันเถอะ !” แน่นอนว่าไป่เจ๋อรู้ดีว่าสิ่งนี้คือเกราะเงินอันล้ำค่า เขายิ้มน้อย ๆ

“ถ้าข้าต้องสวมไอ้นี่ แล้วจะฝึกฝนพลังกายาเพื่อ… ไม่สวมหรอก…”

“แต่ข้าใช้ ให้ข้าใช้นะ !” ทันใดนั้นเอง โม่อวิ๋นฉีซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง เอื้อมมือมากระตุกเสื้อเกราะเงินจากมือของเยี่ยฉวน

“ข้าไม่ได้ฝึกฝนพลังกายา ข้าต้องใช้” จากนั้นหันมาส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มกับเยี่ยฉวน

“พี่เยี่ย ให้ข้าเถิดนะ ข้ากลัวตาย จริงจริ๊ง…” เยี่ยฉวนด้วยมิรู้จะทำอะไรได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

“เอ้า จะเอาก็เอาไป !”

ในคราแรก เขาก็คิดจะยกเสื้อเกราะเงินให้กับโม่อวิ๋นฉีเพราะอีกฝ่ายมีทักษะการต่อสู้ด้อยกว่าใครในคนทั้งหมด หากศัตรูเข้าจู่โจม โม่อวิ๋นฉีอาจเป็นคนที่มีความเสี่ยงจะได้รับอันตราย ในขณะที่ตัวของเยี่ยฉวนเอง มีร่างกายแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ทั้งยังมีเสื้อเกราะแห่งปฐพีเป็นอีกไม้ตายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เกราะเงินตัวนี้ !

โม่อวิ๋นฉีรับเสื้อเกราะเงินมาถือไว้ สายตาเพ่งพิจารณาด้วยความพึงพอใจขณะที่ปากฉีกยิ้มกว้างจนเกือบถึงใบหู “พี่เยี่ย ท่านช่างใจดีมีเมตตา กรุณา มุทิตา…”

เยี่ยฉวนและคนอื่น “…”

ทันใดนั้นเอง ทั้งเยี่ยฉวนและทุกคนหันขวับไปอีกทาง ด้วยปรากฏร่างของชายชราและคนสวมผ้าคลุมสีดำทางเบื้องหลัง

คนผู้นั้นคือหลี่เสวียนชาง อาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ !

หลี่เสวียนชางแสยะยิ้มมุมปาก กวาดตามองตรงมาทางเยี่ยฉวนและคนอื่น “ขอแสดงความยินดี ! ที่เจ้าประสบความสำเร็จในการสังหารบรรดาอัจฉริยะและยอดคนมากฝีมือของกองกำลังอิทธิพลนับสิบคนจนตายเรียบ ฮ่าฮ่า…”

เขาเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะราวกับคนบ้า !

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset