หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 192 ท่านพี่ ข้าอยากไปกับนาง ! (ปลาย)

บทที่ 192 ท่านพี่ ข้าอยากไปกับนาง ! (ปลาย)

เมื่อกงชิงเฉิงพาเยี่ยหลิงมาส่งเยี่ยฉวน เยี่ยหลิงก็พลันกระโจนเข้าหาพี่ชายพลางกอดแขนไว้แน่น ราวกับเกรงว่าพี่ของนางจะหายไปไหน

เยี่ยฉวนเอื้อมมือลูบศีรษะของเด็กหญิงอย่างเอ็นดู เขาละสายตาเงยขึ้นมองกงชิงเฉิงซึ่งพูดขึ้นว่า “พี่เยี่ย ถึงแม้ว่าท่านจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้แล้ว แต่ในอนาคตท่านจะต้องเผชิญกับศึกใหญ่แน่นอน ทั้งยังเป็นศึกที่ท่านและสถานศึกษาฉางหลานเป็นผู้ริเริ่ม !” เยี่ยฉวนนิ่งฟังอย่างสนใจ

เสียงคนพูดดังต่อไปอีก ในขณะเดียวกันเขาก็ได้กวาดตามองใบหน้าของทุกคน “คนที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่ได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากอิทธิพลที่เกื้อหนุนพวกเขา วันนี้พวกท่านสังหารคนเหล่านี้ เชื่อเถอะว่าพวกผู้มีอิทธิพลทั้งหลายไม่ยอมจบเพียงเท่านี้แน่ ! โดยเฉพาะสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น ซึ่งตั้งอยู่ในแผ่นดินชิงกับพวกจากดินแดนอันธกาล… ผู้ทรงอิทธิพลทั้งสองจะต้องยอมทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียง วันนี้พวกเขาต้องสูญเสียกำลังคนไปมากมาย ฉะนั้นวันหนึ่งพวกเขาจะต้องกลับมาแก้แค้นเป็นแน่ และเมื่อถึงวันนั้น คนพวกนี้จะไม่ทำตามกฎกติกามารยาทใดทั้งสิ้นอีกต่อไป !!!”

เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ คนพูดส่ายหน้าน้อย ๆ “สำหรับตอนนี้ เป็นเพราะเรื่องราวแต่หนหลังระหว่างพวกท่าน ข้าจึงมิอาจก้าวก่าย หากท่านยังมีชีวิตอยู่รอดจนผ่านพ้นวิกฤติไปได้แล้ว อาณาจักรต้าอวิ๋นยินดีต้อนรับท่านทุกเมื่อ และเชื่อว่าอีกไม่นานท่านจะได้ไปเยือนอาณาจักรต้าอวิ๋นสักครั้งภายหลังจากผ่านศึกใหญ่แล้ว ลาก่อน”

จากนั้นกงชิงเฉิงกระแทกกำปั้นค้อมกายแสดงคารวะอำลาต่อเยี่ยฉวนและทุกคน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป แล้วจึงเป็นเสียงคนผู้หนึ่งเดินขึ้นมายืนข้าง เป็นโม่อวิ๋นฉีที่พูดขึ้นว่า “อย่าบอกนะว่าหมอนี่พยายามจะทำดีกับพวกเรานะ ?”

เจียงจิ่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าเจ้าไม่ตาย และพัฒนาก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม เขาจะสานสัมพันธ์ด้วย อย่างไรก็ตาม  ถ้าปรากฏว่าเจ้าเป็นแค่คนอ่อนด้อย ข้าเชื่อว่าเขาไม่เสียเวลามาเสวนากับเจ้าแม้แต่คำเดียว พวกยอดอัจฉริยะมีความทะนงเชื่อมั่นในตัวเอง จะยอมคบหาแต่กับคนที่ทัดเทียมเสมอกัน และจะยื่นข้อเสนอให้กับคนที่มีความโดดเด่นเข้ารวมกลุ่มด้วย เพื่อคอยเป็นมือเป็นเท้าให้แก่กัน”

โม่อวิ๋นฉีพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าพอจะเข้าใจได้ !” ทันใดนั้นเจียงจิ่วหันมาพูดกับเยี่ยฉวน “จงหนีไปเสีย” ทำเอาทุกคนพากันหันมองเจียงจิ่วด้วยสีหน้าตกตะลึง ! “ว่าไงนะ หนี ?”

หญิงสาวมองตรงเข้าไปในดวงตาเยี่ยฉวนแน่แน่ว “เจ้าต้องหนี ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต ถึงอย่างไร การหนีไปตอนนี้… มันก็ยังมีโอกาสคอยเจ้าอยู่ในวันหน้า !”

เยี่ยฉวนส่ายศีรษะดิก ครานี้เจียงจิ่วชักหงุดหงิด “เจ้าจะเป็นคนที่ยอมหัก ไม่ยอมงอเช่นนี้หรือ ? การหนีเพื่อไปตั้งหลัก ไม่ได้น่าอายแม้แต่น้อย !”

ชายหนุ่มมองหน้าคนพูด ริมฝีปากแสยะยิ้มขื่นขม “ถ้าข้าหนี จอมกะล่อนโม่อวิ๋นฉีกับคนอื่นล่ะ ? สถานศึกษาฉางหลานล่ะ ?” เจียงจิ่วนิ่งอึ้งไปด้วยคิดไม่ถึง

คราวนี้ชายหนุ่มจึงหันไปทางโม่อวิ๋นฉีและพวก “ข้ากับน้องไร้ญาติขาดมิตรที่ทำให้พวกเราต้องพะวักพะวง แต่จอมกะล่อนโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ พวกเจ้าไม่เหมือนข้า ทั้งสองคนยังมีครอบครัวจึงหนีไม่ได้ ถ้าข้าหนีไปเสีย คนพวกนั้นจะต้องทำอันตรายต่อเจ้าและครอบครัว…” กล่าวจบก็เบนสายตามายังหญิงสาว “แม้แต่ท่านก็ต้องพลอยเดือดร้อน”

คำพูดนั้นทำเอาเจียงจิ่วถึงกับนิ่งงันไป

เสียงโม่อวิ๋นฉีเอ่ยเบา ๆ “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าควรหนีไปเสีย ! สำหรับพวกเรา…” คนฟังส่ายหน้าหนักแน่น และขัดจังหวะขึ้นว่า “ไม่ต้องพูด”

จากนั้นก็เอื้อมมือไปฉวยจับมือเล็ก ๆ ของน้องสาวมากุมไว้ “พวกเราสองพี่น้องกล้าพอ ที่จะยอมรับในผลแห่งการกระทำของเรา”

ในขณะนั้นเจียงจิ่วพูดทันที “อันที่จริงพวกเราเสมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว คนพวกนั้นไม่ยอมรามือจากน้องหลิงเอ๋อร์ ทั้งไม่ปล่อยวางฉางหลานแน่” นางหันไปพูดกับโม่อวิ๋นฉีและคนอื่นที่เหลือ “ถ้าพวกเจ้าอ่อนด้อยหรือโง่เง่า พวกมันคงยอมปล่อยให้เจ้าได้หายใจอยู่ต่อไป แต่นี่พวกเจ้าไม่มีใครอ่อนแอสักคน ซ้ำยังเป็นยอดคนตัวฉกาจซึ่งต่อไปจะนำพาปัญหามาให้พวกมันไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจปล่อยพวกเจ้าให้มีชีวิตอยู่ต่อไป และต้องการกำจัดทั้งหมด !”

โม่อวิ๋นฉีถอนใจเฮือก “เป็นคนเก่งเด่นดัง ก็ผิดแล้ว !” ไป๋เจ๋อชำเลืองหางตาอย่างหมั่นไส้ “โถ ไอ้ขี้คุย กล้าพูดเนอะ !” อีกฝ่ายหันขวับมาตอบโต้ “เหอะคนอย่างเจ้า ข้าขอพูดเลย… ใครเกี่ยวข้องด้วยก็โง่เต็มที่แล้ว !”

ไป๋เจ๋อยังคงสะกดอารมณ์ให้เย็นอยู่ได้ “ข้าก็ไม่เคยนึกชอบเจ้าจนบัดนี้เช่นกัน” โม่อวิ๋นฉีดีดตัวออกห่างไปหลายจั้ง ปากร้องตะโกนยั่วคนร่างใหญ่ “เข้ามาเลย มา !”

ไป๋เจ๋อ “…”

เยี่ยฉวนหันไปมองเพื่อนร่วมสถาบันทั้งสองพลายส่ายหน้า อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนหันมองเจียงจิ่วและคิดจะพูดกับนาง ทว่าทันใดนั้นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งกลับปรากฏกายขึ้นในลาน ทำเอาเยี่ยฉวนที่หันไปเห็น ปากอ้าค้าง นัยน์ตาเบิกโพลงตะลึงงัน

เขาเคยพบนางมาก่อน ด้วยนางคือเด็กหญิงที่มอบหยกเพลิงสวรรค์ให้แก่เยี่ยหลิงเป็นของขวัญ !

เด็กหญิงสวมเสื้อคลุมผ้าสำลีเนื้อหนาสีชมพู ผมรวมถักเป็นเปียใหญ่ห้อยยาวเบื้องหลัง ผิวขาว ละเอียดเนียนดุจเนื้อหยก จัดว่าเป็นเด็กที่หน้าตาสะสวย ! ทว่าน่าเสียดาย ที่แววตากลับเย็นชายิ่ง !

เด็กหญิงตรงเข้ามาทางเยี่ยฉวนโดยไม่คำนึงว่ามีใครอื่นอยู่ในที่นั้น นางเดินไปหาเยี่ยหลิง ทันใดนั้นเองโม่อวิ๋นฉีก้าวพรวดเข้ามาขวางเด็กหญิงผู้มาใหม่ ไม่พอยังฉวยคว้ามือของนางและยิ้มให้ “แม่หนู หน้าตาช่างน่ารักนัก พ่อกับแม่ของเจ้าไปไหนเสียล่ะ ?” เท่านั้นไม่พอ เขายังทำท่าเอื้อมมือไปจับหางเปียยาวทางด้านหลังของศีรษะของเด็กหญิงอีกด้วย

เปรี้ยง !

โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว โม่อวิ๋นฉีกระเด็นหวือไปทันที !

ร่างคนหล่นกระแทกกับพื้นห่างออกไปหลายจั้ง และจะด้วยความรุนแรงของแรกกระแทกหรือไม่ก็ตาม ด้วยมาบัดนี้พื้นดินบริเวณนั้นก็ได้บังเกิดเป็นหลุมลึก !

เสียงคนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาจากก้นหลุม “โอย คุณพระช่วย ! เจ็บจังโว้ย”

ทุกคนงงงัน “…”

เด็กหญิงหันไปคว้าข้อมือเยี่ยหลิง “ไปกับข้า !”

เยี่ยฉวนได้ยินเช่นนั้น เขาก้าวพรวดเข้าขวางเบื้องหน้าน้องสาว สายตาเขม้นมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

ทว่าเด็กหญิงกลับตอบโต้เยี่ยฉวนอย่างไม่นึกกลัวเกรง “เจ้าปกป้องนางได้หรือ ?” ชายหนุ่มตอบเสียงเยือกเย็น “ข้าปกป้องนางด้วยชีวิต !”

ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นปานกัน “ชีวิตของเจ้า ยังทำอะไรได้อีกงั้นหรือ ?”

ชายหนุ่มอ้าปากจะตอบโต้ถ้อยคำ แต่เด็กหญิงกลับเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ถึงแม้ว่าคนที่สำเร็จขั้นผนึกยุทธ์ในสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น จะไม่มากเท่าสุนัขที่มีตามท้องถนน แต่อย่างน้อยน่าจะมีเกิน 20  คนอีกอย่างนอกจากฉางมู่ ยังมีดินแดนอันธกาล สำนักมือสังหารแห่งนี้เคยลอบสังหารคนในขั้นผนึกยุทธ์มาแล้ว นอกจากสองกลุ่มอิทธิพล ยังมีกลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ในแผ่นดินชิงมากมายที่ต่างรอจะมาแก้แค้น…. ! ถึงตอนนั้นเจ้ายังมีปัญญาปกป้องนางอีกหรือ ?”

ชายหนุ่มยืนนิ่ง ริมฝีปากเม้ม มือสองข้างกำหมัดแน่น สีหน้าของเขายามนี้บิดเบี้ยวเหยเก ขณะนั้นเอง เสียงเบาหวิวของเยี่ยหลิงดังขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าอยากไปกับนาง !”

ครานี้ร่างกายของเยี่ยฉวนสั่นน้อย ๆ เขาค่อยเบนหน้ามาทางน้องสาว ชั่ววินาทีนั้นน้ำตาหลั่งรินไหลเป็นทางลงมาตามร่องแก้มทั้งสองข้าง

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ – ตอนที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

บทที่ 11 นิมิตแห่งสวรรค์และโลก (ต้น)

“เจ็บสิ”

“เจ็บจะตายอยู่แล้ว !”

เยี่ยฉวนเพิ่งเคยรู้สึกอยากตายเป็นครั้งแรก !

มันเคยเป็นเพียงความเจ็บปวดของเลือดเนื้อภายนอกร่างกาย แต่คราวนี้เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะภายในและเส้นเลือดทั้งหลายสั่นสะท้านราวกับกำลังแตกเป็นริ้ว ๆ นี่เป็นความเจ็บปวดในระดับที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสมาก่อน !

“เจ้าต้องอดทนไว้ !”

เยี่ยฉวนกัดฟันอย่างอดกลั้น ทั้งร่างยังไม่หยุดสั่น

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อหมดสติไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีก !

ถ้าข้าไม่ฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวข้ากัน ?

นางอายุเพียง 12 ปี คนในตระกูลเยี่ยจะเมตตานางหรือไม่ ?

เมื่อคิดถึงเยี่ยหลิง เยี่ยฉวนพลันเงยหน้าขึ้นและร้องคำรามออกมา มือทั้งสองกำแน่น ส่วนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีสันที่บ้าคลั่ง “มาเลย เจ็บมากกว่านี้อีกสิ ฮ่า ๆ ข้าทนได้… ข้า… เจ็บปวดเหลือเกิน ยังไงก็ช่วยเพลาลงหน่อยเถอะ…”

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อยจนเยี่ยฉวนไม่รับรู้แล้วว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลานานเท่าใด ร่างกายของเขาทรุดลงราวกับร่างเนื้อที่ไร้ซึ่งกระดูกพยุง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะเริ่มกระตุกคล้ายกับคนเป็นโรคลมชัก

อาการชักกระตุกนี้ยังคงดำเนินอยู่ประมาณ 1 เค่อ และเมื่อหยุดลง ร่างของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ !

เยี่ยฉวนนอนแผ่ราบไปกับพื้น เขาไม่เหลือแรงจะขยับตัวแล้ว !

ในเวลาเดียวกันนั้น ข้างนอกหอคอยแห่งเรือนจำพลันมีเมฆจำนวนมหาศาลรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย ทำให้ในไม่ช้าสายฝนเริ่มตกลงมา แต่ทว่าพื้นอื่นที่รอบด้านข้างท้องฟ้ากลับแจ่มใสและมีแสงแดดจ้า พร้อมกันนั้นข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย สายรุ้งอันบางเบาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน และเมื่อรุ้งสายแรกโผล่ขึ้นมา รุ้งสายที่สองก็ปรากฏขึ้นตาม เช่นเดียวกับรุ้งสายที่สามที่กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นภายในหอคอยแห่งเรือนจำนั้น ก่อนที่จู่ ๆ เยี่ยฉวนจะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยและรุ้งสายที่สามจะพลันหายวับไป

นี่คือนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์ !

ทุกคนในเมืองชิงปั่นป่วน !

อัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วระหว่างสองพิภพ เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านด่านหรือทะลวงเลื่อนขั้นได้ พวกเขาจะดึงดูดนิมิตของทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เรื่องนี้เคยเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น แต่มาบัดนี้เหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองชิง ดังนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังข้างบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเยี่ย

ณ จวนตระกูลเยี่ย ผู้เฒ่าสูงสุด บรรดาผู้อาวุโสและทุกคนในตระกูลต่างมารวมตัวที่ลานกว้างกันพร้อมหน้า ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยคำนับฟ้าและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวตระกูลเยี่ยและเยี่ยหลาง !”

ทุกคนในตระกูลเยี่ยคุกเข่าและคำนับลงพร้อมกัน !

ในเวลานี้ ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยต่างยินดีปรีดาอย่างที่สุด !

ภายในคฤหาสน์ตระกูลเจียง

ชายชรามองไปที่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกเหนือจวนตระกูลเยี่ยก่อนที่สีหน้าของเขาจะกลายเป็นน่าเกลียด “เจ้าเยี่ยหลางช่างยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ! เขาสามารถดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้… ใครก็ได้ ไปตามผู้นำตระกูลจางและตระกูลหลีมาที่นี่ที บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการหารือ”

ในเมืองชิง วิญญาณนกพิราบผู้พิทักษ์นับไม่ถ้วนโผขึ้นฟ้าแล้วบินไปทุกทิศทุกทาง ภาพนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นนัก !

เรื่องที่ตระกูลเยี่ยมีผู้ถูกเลือกอยู่หนึ่งคนนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นจะหาได้ยากยิ่ง แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขนาดดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกมาได้นั้นกลับหายากยิ่งกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่าต่อแต่นี้ไป ตระกูลเยี่ยได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นแล้ว !

ไม่ใช่เพียงแต่ในเมืองชิง แต่ยังหมายถึงทั่วในแคว้นเจียงทั้งหมดหรือแม้แต่ในทวีปชิงก็ตาม

ขณะนี้ทุกคนในจวนตระกูลเยี่ยเกือบจะพากันลุกฮือด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวของแต่ละคนยังถูกปรับขึ้นเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเพื่อเป็นสินน้ำใจ และไม่เพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยยังได้ตรงเข้าไปหาผู้นำตระกูลเพื่อให้ท่านได้มอบตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์ให้แก่เยี่ยหลางอีกด้วย

ผู้นำรุ่นเยาว์นั้นเป็นตำแหน่งที่แตกต่างจากผู้สืบทอดของตระกูล ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นหมายถึงผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต แต่ตำแหน่งผู้นำรุ่นเยาว์นั้นมีศักดิ์และอำนาจมากเป็นอันดับสองรองจากประมุขสูงสุดแห่งตระกูลเยี่ยแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจะกระทำเกินกว่าอำนาจ แต่เขาก็ไม่สน นั่นเพราะในเร็ว ๆ นี้เยี่ยหลางกำลังจะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่นานปีจะมีให้พบได้สักหนึ่งหน กระนั้นแล้วท่านผู้นำตระกูลจะสามารถทำอะไรเขาได้ ?

ในวันข้างหน้า วาสนาทั้งหมดของตระกูลเยี่ยคงต้องพึ่งพาเยี่ยหลางแล้ว !

ที่ลานหน้าจวน เยี่ยหลางเงยหน้าขึ้นมองนิมิตบนท้องฟ้า คิ้วขมวดเป็นปมแน่น

เขาทะลวงเลื่อนขั้นได้แล้ว !

เขาได้เลื่อนจากขั้นที่หก ผสานลมปราณเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

แต่กระนั้นเยี่ยหลางก็ยังคลางแคลงใจอยู่ เมื่อ 2 ชั่วยามที่แล้วเขาสำเร็จพลังขั้นหลอมรวมลมปราณได้ แต่นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์กลับเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า นิมิตแห่งสวรรค์และโลกมนุษย์คราวนี้นั้นเกิดจากตนหรือไม่ !

ไม่นานนัก เยี่ยหลางพลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หึ หากไม่ใช่ข้าแล้วใครกันเล่าที่จะมีความสามารถในการดึงดูดนิมิตแห่งสวรรค์และโลกนี้ ? ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ โชคชะตาจะกำหนดให้ข้าเป็นผู้ครอบครองพรสวรรค์อันสุดยอด !”

หลังจากกล่าวได้ดังนั้น เยี่ยหลางก็พลันหมุนตัวและเดินจากไป

ณ หอคอยแห่งเรือนจำ

เยี่ยฉวนนอนอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองเสียงของสตรีลึกลับพลันดังขึ้นภายในห้อง “ลุกขึ้นเสีย แล้วจงดูที่ร่างกายของเจ้า !”

เยี่ยฉวนค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นและก้มลงมองร่างของตัวเอง เขาชะงักไปทันทีเพราะตอนนี้ผิวของเขามีประกายสีทองจาง ๆ แผ่ออกมา !

“นี่มันอะไรกัน ?” เยี่ยฉวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน

สตรีลึกลับกล่าว “ขั้นกายาทองคำนั้นหมายถึงการปลูกฝังทองคำลงภายในกายหยาบของให้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายที่ถือเป็นรากฐาน เจ้าจึงจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเสียก่อน แต่การที่พื้นฐานของเจ้าจะดีหรือไม่นั้น ก็มิได้เป็นตัวตัดสินว่าเจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหน …คนธรรมดาทั่วไปมัวแต่เพียงฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายภายนอก แต่ละเลยความมั่นคงจากอวัยวะภายใน ทว่าในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มฝึกฝนจากภายในจึงจะดีที่สุด เมื่อกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายในทั้งหมดของเจ้าแข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับต่อแรงปะทะจากภายนอกได้ แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดเหนือมนุษย์ในตอนนี้ แต่มันก็จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า หรือหากเจ้าลองมองให้ดี เจ้าก็จะเห็นประโยชน์ของมันตั้งแต่ตอนนี้”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วประสานมืออย่างช้า ๆ ขณะนี้เขารู้สึกได้เลยว่าลมปราณภายในปั่นป่วนพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง !

เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้ เยี่ยฉวนก็บังเกิดความยินดีเหลือประมาณ

จริงดังที่สตรีลึกลับกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน !

ไม่เพียงเท่านั้น หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดหากตอนนี้จะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจแบบตัวต่อตัว ยกตัวอย่างเช่น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ถึงแม้จะมีลำดับพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณ แต่ก็ใช้ชีวิตแบบสุขสบายมาตลอด ไม่เคยต้องได้รับความยากลำบากอะไร

เยี่ยฉวนรีบร้อนถามเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้น้องสาวข้าได้รับความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาณจากพิษธาตุเย็น ท่านพอจะช่วยได้หรือไม่ ?”

สตรีลึกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นน่ะหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

สตรีลึกลับพลันกล่าว “แน่นอน ข้ามีหนทางรักษานาง แต่น้องสาวของเจ้าไม่อาจเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ได้”

“ทำไม ?” เยี่ยฉวนงงงวย

สตรีลึกลับตอบ “จิตวิญญาณของหอคอยนี้กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งภวังค์ แม้ว่าตอนนี้มันจะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ครอบครองกฎแห่งเต๋าเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถพาคนอื่นมาที่นี่ได้ หรือหากเจ้าดึงดันจะพาใครสักคนเข้ามา มันก็จะกำจัดคนแปลกหน้าผู้นั้นทันทีโดยสัญชาตญาณ”

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของเยี่ยฉวนจึงสลดลง “ดูเหมือนคงมีแต่ข้าจะต้องพาน้องสาวเข้าไปหาหมอในเมืองหลวงเท่านั้น”

ขณะนี้เขาเองก็เปรียบเสมือนลูกนกที่ใกล้จะแตกรัง กล่าวคือหากเขาต้องการที่จะบรรลุขั้นหลอมรวมลมปราณให้ได้ เขาก็ต้องตามหาวิญญาณกระบี่เพื่อจะดูดซับเข้าไป แต่วิญญาณกระบี่ขั้นสูงนั้นสูงค่ามากจนมิอาจประมาณค่าได้ ทั่วทั้งเมืองชิงอาจจะมีแค่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเยี่ยจะมีในครอบครองเลย ! แต่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในแคว้นเจียงอย่างเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณกระบี่อยู่บ้างก็ได้ !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset