เมื่อพันธุ์กล้าลืมตาตื่นขึ้นทีละคน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของผู้ฝึกตนที่อยู่รายล้อม ทุกคนตื่นตัวและขยับเข้ารวมตัวกันโดยสัญชาตญาณที่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม
ทุกคนจากบ้านมาเยือนต่างถิ่นแดนไกลที่เรียกว่ากระบี่สำริดเขียวโบราณ ดังนั้นจึงต้องกลมเกลียวกันเอาไว้ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่หวังเป่าเล่อก็เป็นผู้ที่พึ่งพาได้มากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ทุกคนรับรู้ได้โดยไม่ต้องตกลงกัน ว่าชายร่างอ้วนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือผู้นำของพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคน
โดยเฉพาะกงเต๋า จั่วอี้ฟาน และเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสามเป็นผู้ฝึกตนระดับหัวกะทิ แต่ก็ยังขยับตัวมาติดหวังเป่าเล่อ ขณะมองไปยังผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมอย่างระแวดระวัง
ความเงียบเข้าปกคลุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในทันที
ทว่าความเงียบในหมู่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่มีความรู้สึกแตกต่างกันไปนั้นไม่ได้คงอยู่นาน ไม่นานนักสายรุ้งก็สว่างวาบขึ้นอย่างรวดเร็วจากยอดเขาไกล และเดินทางมาถึงในพริบตาด้วยความเร็วสูงจนทำให้เกิดสายลมและสายฟ้า หากมองจากระยะไกลจะเห็นผู้ฝึกตนในชุดคลุมเต๋าสีน้ำเงิน ถูกโอบล้อมด้วยสายฟ้าและเคลื่อนที่รวดเร็วราวฟ้าแลบ
เมื่อเสียงสั่นสะเทือนของสายฟ้าดังก้องขึ้นเรื่อยๆ คนผู้นั้นก็มาหยุดอยู่กลางอากาศเหนือวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เขาเป็นชายวัยกลางคนสีหน้าไร้อารมณ์ พลังปราณระดับจุติวิญญาณพวยพุ่งอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้บรรยากาศรอบกายบิดเบี้ยว
ศิษย์ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลทำความเคารพชายผู้นี้โดยไร้ซึ่งสรรพเสียง เมื่อดูจากระดับปราณของเขาและกริยาของผู้คนที่รายล้อม ก็บอกได้ไม่ยากว่าชายในชุดคลุมสีน้ำเงินมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งในสถานที่แห่งนี้
หวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองชายที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน เมื่อสบสายตากัน ชายหนุ่มร่างอ้วนก็กลั้นหายใจ เขารู้สึกว่าสายตาของชายชุดคลุมสีน้ำเงินผู้นี้คมกริบเหมือนคมกระบี่ ทำให้จิตใจและสมองของเขาปั่นป่วนร้อนรน
ขณะที่หวังเป่าเล่อตัวสั่นและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐคนอื่นกำลังหายใจหอบด้วยแรงกดดันอยู่นั้น ชายวัยกลางคนที่ลอยอยู่กลางอากาศก็หันสายตาไปทางอื่น และเริ่มพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ท่านผู้อาวุโสเฟิ่งรอพวกเจ้าทุกคนอยู่ที่ตำหนักปรัศนีสวรรค์ จงตามข้ามาเดี๋ยวนี้!” ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินหันหลังกลับ ก่อนก้าวเท้าเหยียบอากาศเพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขา เมื่อมองจากไกลๆ ผมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม ประกอบกับชุดคลุมแบบโบราณ ทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าในนิยายปรัมปราที่ดูสง่างามจนสุดพรรณนา
หวังเป่าเล่อหรี่ตาและทำมือคารวะ พันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก็ทำตามทันที จากนั้นจึงเหาะตามหวังเป่าเล่อและชายในชุดคลุมสีน้ำเงินไป ท่ามกลางสายตาไม่เป็นมิตรของเหล่าศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาล
เมื่อเหาะอยู่กลางอากาศ ทุกคนก็มองเห็นทัศนียภาพของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเต็มตา ท้องฟ้าเป็นสีเพลิงโชติช่วง แม้จะสว่างไสวแต่ก็พร่าเลือน ราวกับมีม่านบังตาปิดกั้นไว้ หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าภายนอกม่านบังตาที่ปกคลุมนั้น เปลวเพลิงประลัยกัลป์กำลังหมุนวนพัดโหมอย่างบ้าคลั่ง
พื้นประกอบด้วยมหาสมุทรเพลิงและลาวาที่ปล่อยรังสีความร้อนออกไปทุกทิศทาง โลกทั้งใบดูเหมือนเตาอบขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยไอความร้อน ทำให้หายใจลำบาก กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณในที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าบนโลกหลายเท่านัก
แม้ปราณวิญญาณจะไม่ได้เข้มข้นจนแปรสภาพเป็นของเหลว แต่ก็หนาแน่นกว่าบนโลกมากจนรับรู้ได้ถึงคุณภาพที่ต่างกันอย่างชัดเจน หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าสองสามทีแล้วก็ต้องตกใจ ปริมาณพลังปราณที่ร่างกายดูดซับเข้าไป รวมถึงความต้องการที่ปรากฏในใจ ทำให้เหล่าพันธุ์กล้าต่างทั้งรู้สึกปรารถนาและประหลาดใจ ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายโชติช่วง
ดูเหมือนว่ากระบวนเวทที่ทุกคนร่ำเรียนมารวมถึงพลังปราณของพวกเขา จะเหมาะกับสภาพแวดล้อมที่สำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณเป็นอย่างมาก ดังนั้นแม้ที่นี่อุณหภูมิจะสูงทะลุปรอท แต่ก็ยังจัดว่าเป็นสวรรค์สำหรับการฝึกปราณที่ดียิ่งกว่าบนโลกเสียอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น หมู่เกาะมากมายบนทะเลเพลิงยังทำให้หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ตัวสั่น ไม่ว่าจะดูอย่างไร เกาะพวกนั้นก็เหมือนยอดเขามากกว่า เทือกเขาที่แท้จริงนั้นจมอยู่ใต้ทะเลเพลิง ส่วนที่โผล่พ้นมาเท่านั้นที่กลายเป็นหมู่เกาะน้อยใหญ่อย่างที่เห็นกัน
เกาะที่พวกเขาจากมานั้น คือเกาะที่ใหญ่ที่สุดจากบริเวณทั้งหมด บริเวณนี้คงเคยเป็นเทือกเขาขนาดมหึมามาก่อน และมีตำหนักมากมายก่อสร้างอย่างแน่นหนาอยู่บนยอด จุดที่ตำหนักแต่ละแห่งตั้งอยู่นั้นดูเหมือนเลือกโดยการสุ่ม แต่ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนตั้งใจ
มีตำหนักสามแห่งบนยอดเขาที่ดูเตะตาเป็นพิเศษ ตำหนักทั้งสามมีหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน และตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา เมื่อยืนอยู่บนที่แห่งนั้นคงจะมองเห็นทัศนียภาพของเกาะเล็กเกาะน้อยได้หมดเลยทีเดียว
เบื้องหลังตำหนักทั้งสามมีก้อนศิลาขนาดมหึมา ที่มีต้นไม้เหี่ยวเฉาหน้าตาโบราณพันเกี่ยวอยู่ ต้นไม้โบราณนั้นไร้ซึ่งใบไม้ มีเพียงกิ่งหนาชุกชุมที่แผ่ออกทั่วบริเวณเท่านั้น แรงกดดันมหาศาลพวยพุ่งออกจากต้นไม้ พลังนั้นรุนแรงแซงหน้าตำหนักทั้งสามไปไกล ทำให้ต้นไม้โบราณนี้เปรียบเสมือนเทพเจ้าของยอดเขาใหญ่!
แม้ต้นไม้โบราณจะเหี่ยวเฉาไปแล้ว แต่เพียงมองกิ่งก้านที่เหลืออยู่ ก็พอจินตนาการได้ว่าหน้าตาขณะยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร ต้นไม้ยักษ์นั้นคงจะปกคลุมด้วยใบหนา ทำให้ดูทั้งยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเป็นอันแน่
ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อและพรรคพวกเห็นขณะเหาะอยู่บนท้องฟ้า แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็ยังทำให้หลายคนตื่นตกใจเมื่อได้เห็น
การเดินทางจากตีนเขามายังยอดเขานี้ ยังทำให้พวกเขาตรวจจับพลังปราณที่แผ่ออกจากแต่ละตำหนักได้ด้วย พลังปราณที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน บางครั้งก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ โดยเฉพาะในตำหนักที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด มีพลังกดดันรุนแรงสามสายซึ่งเปรียบได้กับพลังแห่งสรวงสรรค์แผ่ออกมา พลังนั้นรุนแรงเสียจนทำให้ผู้ที่สัมผัสได้ต่างตกใจตัวแข็ง
ราวกับว่ามีเทพเจ้าสามองค์สถิตอยู่บนยอดเขาแห่งนั้น หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ ส่วนพันธ์กล้าคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าเยี่ยเหมิงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พวกเขาเขยิบเข้าใกล้หวังเป่าเล่อขึ้นอีก
หากเทียบกับสำนักวังเต๋าไพศาลแล้ว สหพันธรัฐนั้นอ่อนแอนัก… ดังนั้นการร่วมมือกันในครั้งนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่ายที่มีศักดิ์ศรีเสมอกัน ดังนั้นสหพันธรัฐคงตั้งใจเดิมพันว่าฝ่ายแสงสว่างนั้นจะจริงใจสร้างสัมพันธไมตรีกับเราจริงๆ! หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากการวิเคราะห์ของเขา หากอีกฝ่ายมีท่าทียินดีต้อนรับพวกเขาซึ่งมีศักดิ์ต่ำกว่าอย่างมีไมตรีจิต สถานการณ์คงจะดูน่าสงสัยกว่านี้มาก
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีศักดิ์ต่ำกว่า แต่หากไม่ปฏิบัติตนตามมารยาทและทำตัวตีเสมอ หวังเป่าเล่อก็ก็คงระแวดระวังตัวเช่นกัน ดังนั้นความไม่ใส่ใจและความรู้สึกไม่เป็นมิตรที่ได้รับเมื่อครู่ จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ของที่นี่ปกติพอวางใจได้
เห็นทีคงต้องลองหาโอกาสหยั่งเชิงดู… หวังเป่าเล่อคิด ทุกคนตามชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงตำหนักปรัศนีสวรรค์ที่ตั้งอยู่กลางยอดเขาในที่สุด
ตำหนักนั้นกว้างใหญ่และอัดแน่นด้วยพลังที่ดุดันเหมือนอสูรยักษ์ซุ่มพิฆาตเหยื่อ พลังนั้นรุนแรงเสียจนทำให้สวรรค์และพื้นพิภพสั่นไหวจนทำให้พันธ์กล้าสหพันธรัฐกระวนกระวายใจ ไม่ต้องรอนานประตูตำหนักก็เปิดออก พร้อมด้วยเสียงทรงอำนาจที่ดังก้องมาจากด้านใน
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ จงเข้ามาในโถงเพื่อทำความเคารพ!”
เสียงนั้นดังสะท้อนในหูทุกคน หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกก่อนก้าวเท้าเข้าไปในโถงเป็นคนแรก ทันทีที่เข้าไปข้างใน เขาก็เห็นบัลลังก์สามหลังตั้งเรียงกันอยู่ด้านบนสุดของโถง ผู้ฝึกตนสามคนนั่งอยู่บนบัลลังก์ ผู้ที่อยู่ตรงกลางเป็นสตรีวัยกลางคน นางมีใบหน้าสะสวยงดงามแม้ด้วยวัยล่วงเลย อยู่ในชุดสีสันสดใสและมีท่วงท่าสง่างาม ดวงตาของนางอ่อนโยนขณะมองหวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ที่เดินตามหลังมา
เบื้องซ้ายของนางมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำ สีหน้าของเขาไร้ความรู้สึก ร่างกายของเขาดูเหมือนโครงกระดูกไม่มีปิด ดวงตาของชายผู้นี้ว่างเปล่าเสียจนใครก็ตามที่ได้มองต้องรู้สึกเย็นสันหลังวาบและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ด้านขวาของนางเป็นชายชราผู้หลับตานิ่งเหมือนกำลังทำสมาธิ ชายชราผู้นี้ดูไม่สนใจพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐที่เพิ่งมาถึงโดยสิ้นเชิง
นอกจากทั้งสามแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอีกแปดคนนั่งอยู่ในที่แห่งนั้น ผู้ฝึกตนเหล่านั้นมีทั้งเยาว์วัยและแก่ชรา ทั้งชายและหญิง ทุกคนมองหวังเป่าเล่อและพรรคพวก ชายวัยกลางคนที่นำพวกเขามาที่นี่ก็อยู่ในหมู่คนเหล่านั้นด้วย
นอกจากนั้นยังมีเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างๆ ผู้นำทั้งสาม แม้พลังปราณของพวกเขาอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย แต่ความจริงที่ว่าทุกคนสามารถยืนอยู่ข้างกายผู้นำทั้งสามได้ ก็แปลว่าพวกเขาต้องมียศศักดิ์ที่สูงส่งเช่นกัน หวังเป่าเล่อมองปราดเดียวก็สรุปได้ว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านั้นคือศิษย์ของผู้นำแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล