หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 506 เงาของตระกูลไม่รู้สิ้น

บทที่ 506 เงาของตระกูลไม่รู้สิ้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ จ้องมองศพเบื้องหน้า สัมผัสได้ถึงพลังขั้นกำเนิดแก่นในที่แผ่ออกมาจากร่าง เขางุนงงไปเล็กน้อย

“ใช่ ถ้าดูจากโครงสร้างของสำนักวังเต๋าไพศาล พื้นที่ตรงนี้คือพื้นที่รอบนอก ซึ่งเป็นจุดที่ข้ารับใช้อาศัยอยู่ ส่วนใหญ่อยู่แค่ขั้นกำเนิดแก่นใน มีบ้างที่ดูมีศักยภาพ แต่ส่วนมากก็เป็นแค่ข้ารับใช้ชั้นต่ำเท่านั้น” แม่นางน้อยเล่ารายละเอียดคร่าวๆ จากนั้นก็เร่งให้หวังเป่าเล่อรีบค้นหาชิ้นส่วนหน้ากากต่อ

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ดูจะไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง แม่นางน้อยสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่ จึงแค่นเสียงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“อะไรกัน เจ้าไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ ข้าก็แค่จำวัตถุเวทแห่งความมืดชิ้นนั้นผิดไปนิดเดียว ข้าเคยมีวัตถุเวทแห่งความมืดที่เหมือนกันอยู่ เลยนึกว่าเป็นชิ้นเดียวกัน ผิดมากหรือไรที่ข้าคิดว่าเป็นของตัวเอง จะยอมยกโทษให้ไม่ได้เลยหรือ

“หึ! แล้วถ้าข้าบอกว่าบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของข้ารับใช้ชั้นต่ำ มันก็เป็นเช่นนั้นตามที่พูด จริงๆ แล้วเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลบนทะเลเพลิงนั่นเป็นแค่สำนักนอก สร้างขึ้นบนเทือกเขาในเขตด้านนอกที่อยู่ห่างไกลออกไป

“ข้าตรวจดูรอบๆ แล้วตอนที่เจ้ามาถึง ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเมื่อก่อน สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงตั้งอยู่ในบริเวณตัวกระบี่ที่เสียบทะลุดวงอาทิตย์ สำนักจริงๆ ตั้งอยู่ในนั้น และจากสถานการณ์ปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่าที่นั่นจะหลงเหลือแค่เพียงซากเมือง…

“ทว่าตราบใดที่แก่นหลักของสำนักยังอยู่ สำนักวังเต๋าไพศาลก็จะไม่ดับสิ้น แก่นหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่ที่ปลายกระบี่ ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะยังมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และระดับดารานิรันดร์ รวมถึงเหล่าผู้นำระดับดาราจักรอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น พวกเขาคงกำลังหลับใหลและฟื้นฟูพลังอยู่”

ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างเมื่อได้ยินที่แม่นางน้อยพูด แม่นางน้อยเหมือนจะจับสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นตะลึงก็รู้สึกพอใจ ที่นางไม่ค่อยปรากฏกายก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขินอายเรื่องวัตถุเวทแห่งความมืด พอโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวตนมารออยู่เบื้องหน้าเช่นนี้ นางจึงไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไป แม่นางน้อยกระแอมกระไอก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างผู้มากด้วยประสบการณ์

“แปลกใจหรือ ไม่เห็นมีอะไรให้น่าประหลาดใจเลย แต่ก่อนพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่อาศัยของเหล่าสามัญชนและข้ารับใช้ ข้าไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรเลยกับพวกคนที่ชื่อเมี่ยเลี่ยจื่อหรืออะไรนั่น ดูจากระดับการฝึกตนแล้วน่าจะเป็นแค่ศิษย์สำนักในตอนก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณจะพุ่งปักดวงอาทิตย์ จริงๆ พวกเขาดูเหมือนพวกศิษย์ที่ไม่มีศักยภาพพอจะพัฒนาได้ด้วยซ้ำ

“แต่พอหายนะมาเยือน เหล่าผู้อาวุโสที่ปลายกระบี่ก็ตกอยู่ในภวังค์หลับใหล ส่วนสำนักหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลถูกทำลาย คนในสำนักกว่าร้อยละเก้าสิบล้มตายไป ไม่ก็ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ทำให้สามคนนั้นต้องขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสและสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นมาใหม่ ด้วยความดีความชอบที่พวกเขาสร้างให้สำนัก พอเหล่าผู้อาวุโสตื่นขึ้น พวกนั้นน่าจะบรรลุจากระดับจิตวิญญาณอมตะไประดับดาวพระเคราะห์!”

หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างอีกครั้งกับข้อมูลมากมายที่ได้รับ เขาเองก็คิดไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังตื่นตะลึงกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ดี

พวกเขาเป็นแค่ศิษย์สำนักในหรือ หวังเป่าเล่ออ้าปากค้าง กะพริบตาและถามขึ้น

“แม่นางน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่ในสำนักวังเต๋าไพศาล”

“ข้าหรือ ผู้นำระดับดาราจักรของสำนักวังเต๋าไพศาลยังต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสถ้าตื่นมาพบเข้า ดังนั้นเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกันล่ะ” แม่นางน้อยเอ่ยเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงอาการอะไรผ่านทางสีหน้า

หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ตบหน้าขาตัวเอง

“แม่นางน้อย ข้าเป็นน้องชายของเจ้า หมายความว่าข้าก็เป็นผู้อาวุโสในสำนักนี้เช่นกัน ไม่ยักจะรู้ว่าข้ายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เสียดายที่ข้านึกสงสัยเจตนารมณ์ของพวกเมี่ยเลี่ยจื่อ ถ้าข้าบอกความจริงไป พวกเขาจะต้องหวาดกลัวขึ้นมาจับจิตแน่!” หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปยังจุดที่แม่นางน้อยบอกด้วยความตื่นเต้น

เขาตระหนักแล้วว่าต้องสนใจแม่นางน้อยให้มากกว่านี้ สิ่งที่เขาทำได้คือตามหาชิ้นส่วนหน้ากากเพื่อทำให้นางสุขใจ ชายหนุ่มคิดว่าตนไม่ต้องคิดหาความจริงความเท็จในคำพูดของนางให้มากความ จากมุมมองของเขา แม้แม่นางน้อยอาจจะพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะห่างไกลจากความเป็นจริงไปมากนัก

แม่นางน้อยต้องเป็นคนที่สำคัญมากแน่ๆ! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นมาก คิดว่าตนทำตามที่แม่นางน้อยบอกมานานแล้ว และน่าจะต้องทำต่อไป คงจะดีถ้าสามารถเป็นเช่นนี้ได้จนเขาขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ

ชายหนุ่มมุ่งเข้าไปใกล้จุดที่แม่นางน้อยบอกด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม พอไปถึงก็ต้องตื่นตกใจเมื่อได้เห็นศีรษะยักษ์เบื้องหน้า มันล้มตะแคงอยู่และกำลังจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ

ศีรษะตรงหน้ามีรูปลักษณ์เหมือนแม่นางน้อยไม่มีผิดเพี้ยน หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงจนสะดุดถอยหลังไปสองสามก้าว พอสังเกตดูดีๆ ก็พบว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของรูปปั้น ส่วนอื่นๆ อยู่กระจัดกระจายออกไปไกล

“จะมากเกินไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเดือดจัดขึ้นมาในทันที

“ใครกัน ใครกล้ามาทำเช่นนี้กับรูปปั้นของแม่นางน้อยอันเป็นที่รักของข้า อย่าเป็นกังวลไป แม่นางน้อย ข้าจะตามหาคนผู้นั้นเอง และจะทำให้มันได้รับรู้ว่าจะเจอดีเช่นไรที่มาทำกับรูปปั้นพี่สาวที่รักของข้าเช่นนี้!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาล เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าศีรษะของรูปปั้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด

แม่นางน้อยดูพอใจที่เห็นหวังเป่าเล่อพยายามเอาใจตนเองอยู่ตลอด แม้จะรู้ว่าวาจาที่พรั่งพรูออกมาจากปากชายหนุ่มจะไม่มีอะไรจริงแท้ แต่นางก็ยังกระแอมกระไอขึ้นและเอ่ยบอกว่าตนเห็นถึงความจงรักภักดีของอีกฝ่าย

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าแม่นางน้อยน่าจะอารมณ์ดีทีเดียว เขาค้นหาอยู่สักพักก็เจอชิ้นส่วนหน้ากากขนาดประมาณเล็บมืออยู่ใต้ซากแผ่นหิน ชายหนุ่มหลอมเศษชิ้นนั้นรวมเข้ากับหน้ากาก ก่อนจะรีบพูดขึ้น

“แม่นางน้อย ยังมีสมบัติล้ำค่าอะไรในบ้านของเราไหม อย่างโอสถอะไรหรืออะไรเช่นนี้ เจ้าจำได้ไหมว่าเราเก็บมันไว้ที่ใด เราจะให้คนนอกขโมยไปไม่ได้ ควรไปเก็บมาไว้ก่อนดีกว่า ยิ่งข้ามีระดับการฝึกตนสูงขึ้นเร็วเท่าไหร่ ข้าก็จะแก้แค้นให้เจ้าได้ไวยิ่งขึ้น จริงไหม”

“ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงข้าจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขตรอบนอก แต่ก็รู้จักสำนักวังเต๋าไพศาลหลักเป็นอย่างดี ไว้เราค่อยหาโอกาสเข้าไปในนั้น แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นการฝึกตนเอง ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร” แม่นางสุขใจกับชิ้นส่วนที่หลอมเพิ่มเข้ามา เสียงของนางดูห่างไกลไม่ชัดเจนเล็กน้อย ราวกับว่าการหลอมส่งผลกระทบกับนางโดยตรง จึงต้องใช้เวลาในการปรับตัว

หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นเต้นเมื่อได้ยินแม่นางน้อยตอบตกลงจะให้ความช่วยเหลือ เขาคิดว่าตราบใดที่มีแม่นางน้อยคอยหนุนหลังบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น ตนจะได้รับเคล็ดวิชามากมาย เสร็จแล้วก็กลับไปเป็นผู้นำสหพันธรัฐ ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

ชายหนุ่มผิวปากด้วยความสุขใจขณะตรวจดูรอบๆ พื้นที่ แต่ก็ไม่พบของมีค่าอะไร เขาคำนวณเวลา จากนั้นก็ขึ้นขับเรือวิญญาณออกไป

เรือวิญญาณพุ่งทะยานออกจากซากเมืองขึ้นไปยังทะเลเพลิงและมุ่งหน้าไปบนผิวน้ำเหมือนดังเส้นสายรุ้ง ในตอนนั้น…หวังเป่าเล่อและแม่นางน้อยในหน้ากากเหมือนจะไม่รู้ตัว…ว่ามีร่างหนึ่งยืนอยู่ในส่วนลึกของซากเมืองที่พวกเขาเข้าไปค้นหาเมื่อครู่ ภายในซากตำหนักหนึ่ง มีคนกำลังจ้องมองพวกเขาที่กลับออกไปด้วยสายตาเย็นชา!

ร่างนั้นสูงประมาณสามสิบเมตร มีสามหัวหกแขน ศีรษะตรงกลางมีสีหน้าเคร่งขรึม ด้านขวากำลังร้องไห้ และด้านซ้ายกำลังหัวเราะ ดูน่าขนลุกยิ่งนัก แขนทั้งหกข้างหนาใหญ่เหมือนจะมีพลังร้ายกาจแฝงอยู่

หากหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้น เขาจะรู้ทันทีว่าร่างนั้นคือผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น!

นัยน์ตาของผู้ฝึกตนฉายแสงอำมหิต เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อหายออกไปไกล ไม่ได้คิดจะเข้าไปหยุด มุมปากของเขากระตุกยิ้มลุ่มลึกขึ้น

นาง…ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย!

น่าสนใจดี…ใช้ชีวิตอยู่ในหน้ากาก พึ่งพาอาศัยผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ…

เหมือนว่าข้าจะต้องปรับแผนการสักเล็กน้อย… ตัวตนปริศนาจากตระกูลไม่รู้สิ้นพูดพึมพำขณะหรี่ตาลง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า

ก่อนจะหายวับไปในอากาศ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset