หากว่าด้ามจับของกระบี่คือความนุ่มนวลแล้ว ตัวกระบี่ที่ฝังลึกอยู่ในดวงอาทิตย์ก็คงจะเป็นความหนักแน่นและรุนแรงเป็นแน่นแท้!
ในดินแดนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นป้องกันแห่งนี้ ทะเลเพลิงไม่ได้เป็นสีแดงฉานหากแต่เป็นสีดำสนิท อุณหภูมิของทะเลเพลิงสีดำร้อนว่าอุณหภูมิบนด้ามจับมากนัก หวังเป่าเล่อแผ่จิตสัมผัสออกไปไกลกว่าเดิมเล็กน้อยและตื่นตกใจในทันที จากการคาดคะเนของเขาแล้ว…หากเขาไม่พึ่งพาเรือวิญญาณก็คงไม่อาจรอดชีวิตในทะเลเพลิงได้เกินครึ่งชั่วโมง
มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว! หวังเป่าเล่อตกตะลึง ชายหนุ่มรู้ดีว่าร่างกายของตนแข็งแกร่งเพียงใด ขณะที่หวังเป่าเล่อยืนชะงักด้วยความตื่นกลัวอยู่นั้น เขาก็มองเห็นว่าทะเลเพลิงไม่เพียงล้อมรอบเขาอยู่เบื้องล่างเท่านั้น หากแต่มีอยู่บนท้องฟ้าก็เช่นกัน!
แม้จะไม่น่าเกรงขามเท่าทะเลเพลิงเบื้องล่าง ทว่ากระแสธารของลาวาบนท้องฟ้าที่กว้างราวกับเป็นแม่น้ำก็ทำเอาหวังเป่าเล่อหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย ชายหนุ่มจ้องมองออกไปไกล ภายในชั้นป้องกันนี้ ทุกๆ ที่ที่สายตาเขามองเห็น ทั้งบนท้องฟ้าและบนพื้นดิน เปลวไฟลุกลามเต้นเร่าและแพร่กระจายออกไป ราวกับว่าเขามาถึงนรกแล้วก็ไม่ปาน
อีกทั้งยังมีซากปรักหักพังและศิลาแตกหักมากมาย เมื่อตอนที่เดินพ้นแนวชั้นป้องกันเข้ามานั้น หวังเป่าเล่อมองเห็นสิ่งที่ดูคล้ายภูเขาย่อมๆ ซึ่งเต็มไปด้วยตำหนักผุพังได้จากระยะไกล ภูเขานั้นลอยละล่องมาตามลาวา และชนเข้ากับซากรูปปั้นหน้าตาประหลาดด้วยเสียงอันดัง การกระแทกทำให้ทะเลเพลิงกระฉอกออกด้านข้าง คลื่นพลังงานแผ่กระจายออกมาส่งผลให้แผ่นฟ้าและแผ่นดินสั่นสะเทือน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยืนอยู่ห่างออกมาไกล แต่เขาก็ยังรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนจากลาวาที่พวยพุ่งเข้ามาใส่ แถมยังได้กลิ่นไหม้มาจากผมบนหัวด้วยซ้ำ
หวังเป่าเล่อผงะถอยหลังด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มไม่ได้ก้าวออกไปทันทีแต่ยืนอยู่ตรงเส้นเขตแดนขณะกำลังพยายามปรับอุณหภูมิ เขาเฝ้าจับตามองสิ่งรอบข้างอยู่เนืองๆ และไม่ช้า ชายหนุ่มก็เห็นว่าไม่ใช่เพียงซากปรักหักพังของตำหนักเท่านั้น แต่ยังมีซากภูเขาหินและศิลาอีกด้วย ชายหนุ่มเห็นกระทั่งศพจำนวนหนึ่ง!
ศพส่วนมากมักมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหลุดหายไป ในบรรดาศพเหล่านั้นมีทั้งผู้ฝึกตนและเหล่าคนที่เขาเคยเห็นมาก่อนในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ…สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง
หวังเป่าเล่อไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้ แต่ชายหนุ่มก็บอกได้ว่าศพเหล่านี้ไม่มีของมีค่าหลงเหลือติดตัวอยู่อีกแล้ว ร่องรอยการรื้อค้นปรากฏอยู่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยจากสำนักวังเต๋าไพศาลเข้ามาสำรวจบริเวณนี้เช่นกันในหลายปีที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีขั้นพลังปราณสูงส่งด้วยกันทั้งสิ้น และคงมากันเป็นกลุ่ม
หวังเป่าเล่อสำรวจบริเวณนั้นเป็นเวลาราวสองชั่วโมง เมื่อชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าร่างกายได้ปรับอุณหภูมิเข้ากับตัวกระบี่ได้เรียบร้อย เขาจึงรีบเบนความสนใจไปยังสิ่งรอบข้าง และเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังถึงขีดสุด ชายหนุ่มหลบเลี่ยงแม่น้ำลาวาโดยการเดินอ้อมไป พลางจ้องมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบกายอยู่ไม่ขาด ขณะมองหาตราประจำตัวหรือของมีค่าอื่นๆ ไปด้วย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ในไม่ช้าก็เป็นเวลากว่าแปดชั่วโมงแล้วที่หวังเป่าเล่อออกเดินสำรวจ ความสนใจของเขาตอนนี้อยู่ที่การสำรวจตรวจตราอาณาบริเวณโดยรอบและมองหาสิ่งของมีค่าไปพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มยังไม่ได้พบอันตรายใดๆ ที่เกินจะรับมือได้ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้ หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าในทะเลลาวาที่อยู่เบื้องล่างคลาคล่ำไปด้วยตำหนักผุพัง รูปปั้นหักเสียหาย และหินภูเขาแตกๆ
ราวกับว่าทุกๆ สิ่งที่เคยมีอยู่ที่นี่ถูกโศกนาฏกรรมบางอย่างทำให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้ว่าทะเลเพลิงจะมีหลายสิ่งซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่หลักฐานชิ้นใหญ่ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ทำเอาหวังเป่าเล่อรู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย
มีบางบริเวณที่ไร้ซึ่งอันตรายและทะเลเพลิง หวังเป่าเล่อเห็นกับตาตนเองว่ามีเส้นสีดำปรากฏขึ้นบนบริเวณเหล่านั้น มันแบ่งอาณาเขตเหล่านั้นออกเป็นสอง พลางผลักพายุหมุนลมร้อนให้พวยพุ่งออกมาจากรอยแยก
พายุนั้นทรงพลังยิ่ง หากว่าเสียสมาธิและเข้าไปขวางทางมันเข้าคงต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน หวังเป่าเล่ออ้าปากค้าง พลางคิดว่าที่นี่ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
ชายหนุ่มก้าวย่างไปอย่างระมัดระวัง เขามองเห็นยอดเขาอยู่บนท้องฟ้า ยอดเขาเหล่านั้นลอยเด่นอยู่บนอากาศ พวกมันดูบิดเบี้ยว บ้างก็กลับหัว
บางยอดเขาก็ราบเรียบและไร้สิ่งปกคลุม บ้างก็เต็มไปด้วยหลุมราวกับว่าถูกโจมตีด้วยคาถารุนแรง บ้างก็มีสิ่งปลูกสร้างอยู่บนนั้น ตึกรามเหล่านั้นดูเหมือนถูกรักษาเอาไว้ค่อนข้างดี ทว่าหวังเป่าเล่อก็ไม่อาจหาญจะเข้าไปใกล้ยอดเขาเหล่านั้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสัมผัสได้แม้จะอยู่ไกล ว่าบนยอดเขาที่ดูเรียบร้อยปลอดภัยดีนั้น มีคำสาปรุนแรงที่ทำให้ตาเขากระตุกและหัวใจเต้นแรงอยู่
หวังเป่าเล่อลองพยายามดันศิลาภูเขาขนาดเขื่องเข้าไปใส่เพื่อทดสอบพลังของคำสาป ทันทีที่ศิลานั้นเข้าไปกระทบกับคำสาป มันก็สลายกลายเป็นฝุ่นไปในชั่วพริบตา
หวังเป่าเล่ออดขนลุกไม่ได้ ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่าเหตุใดการหาตราประจำตัวได้ชิ้นหนึ่งจึงมีค่าเท่ากับแต้มการรบหลายแต้มนัก ชัดเจนแล้วว่าการหาตราประจำตัวเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง และโชคก็น่าจะมีส่วนสำคัญไม่น้อย
สิ่งที่เขาได้เห็นมานั้นไม่ใช่ความน่ากลัวที่แท้จริงของตัวกระบี่ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พอสมควร หวังเป่าเล่อก็เดินวนอยู่บริเวณเดิมอีกราวสองชั่วโมง และชายหนุ่มก็ได้เห็นบางอย่างที่ทำเอาสั่นสะท้านไปถึงแก่นวิญญาณ
เขาเห็นมันด้วยตาตนเอง หลังจากที่มีพลังบางอย่างดึงชายหนุ่มให้เข้าไปใกล้ พื้นที่ตรงหน้าที่เคยเป็นทะเลลาวาก็พลันปรากฏเป็นลานกว้างพร่าเลือนราวสามสิบเมตร และวินาทีต่อมา มันก็แปรสภาพกลายเป็นเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเศษศิลาภูเขา
การแปรสภาพนี้ดูเหมือนจะไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ แถมช่วงเวลาในการเกิดก็ไม่อาจทำนายได้ หลังจากที่เฝ้าดูอยู่ซ้ำๆ หวังเป่าเล่อก็ได้ข้อสรุปสองประการ ชายหนุ่มสรุปว่าสิ่งแวดล้อมในบริเวณนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และการแปรสภาพซึ่งดูเหมือนการเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
ชายหนุ่มยังสรุปได้อีกด้วยว่านอกเหนือจากการแปรสภาพที่ยากจะคาดเดาแล้ว ทะเลเพลิงบนพื้นนั้นยังจะถล่มและไหลบ่าลงไปต่ำด้วย แถมยังมีโอกาสปะทุขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลและไม่มีปี่มีขลุ่ยคล้ายกับเป็นภูเขาไฟ หลังจากการปะทุนั้น สิ่งก่อสร้างและซากปรักหักพังที่อยู่ใต้ลาวาอาจปรากฏขึ้นมา
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็จะเกิดรอยแยกขึ้นหลายรอยในบริเวณใกล้เคียง บางครั้งพายุหมุนลมร้อนก็จะผุดขึ้นมาจากรอยแยกดังกล่าว ผลสรุปก็คือมีอันตรายแฝงอยู่ในทุกๆ มุมของอาณาเขตนี้!
หวังเป่าเล่อระมัดระวังตัวแจและพยายามจะเรียกแม่นางน้อยให้ออกมา หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากนางเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเริ่มคิดว่าจะกลับออกไป เขาสงสัยว่าควรรวมตัวกับคนอื่นๆ และเข้ามาค้นหาเป็นกลุ่มจะดีกว่าหรือไม่ หวังเป่าเล่อวางแผนจะถอยหลังกลับออกไป ทว่าตอนที่เขาหันหลังกลับ ทันใดนั้น…ทะเลเพลิงที่อยู่ด้านข้างก็ปะทุขึ้นมาอย่างปุบปับ ส่งเอาไอร้อนของลาวาพวยพุ่งขึ้นมาในอากาศ ชายหนุ่มพุ่งตัวหลบทันที เขากำลังจะเดินอ้อมจุดที่ปะทุ แต่สายตากลับส่องประกายเพราะสัมผัสได้ถึงอันตราย หวังเป่าเล่อยกขาขวาขึ้นทันทีและเตะกวาดไปทางด้านหลังอย่างฉับพลัน!
มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นราวสายฟ้าผ่า หวังเป่าเล่อเห็นอสูรรูปร่างคล้ายคนที่ร่างกายปกคลุมด้วยเปลวไฟถูกลูกเตะของเขากระเด็นออกไปไกล
ตัวอะไรกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตา ชายหนุ่มใส่แรงลงไปเต็มที่กับลูกเตะนั้น แต่แม้กระนั้น อสูรรูปร่างคล้ายคนก็ยังเดินโซเซกลับมาได้
ขณะที่หวังเป่าเล่อกวาดตามองผ่าน อสูรมนุษย์ไฟก็อ้าปากเผยให้เห็นฟันแหลมคมด้านใน ดวงตาของมันฉาบเคลือบไปด้วยความรุนแรงและบ้าคลั่ง มันพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มทันที เมื่อมันเข้ามาใกล้ คลื่นความร้อนก็แผ่กระจายออกมาด้วย ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อราวกับเป็นลมพายุคลั่ง
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ดูไม่ออกเลยว่าอสูรนี้คือตัวอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป ชายหนุ่มโบกสะบัดมือขวาเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมากก่อนจะดึงกระบี่บินสามสีออกมา แล้วแทงเข้าใส่อสูรมนุษย์ไฟก่อนจะฟันมันขาดสะบั้น!
อสูรนั้นระเบิดเสียงดังสนั่น ไม่มีร่องรอยของโลหิตหรือเนื้อหนัง มันแค่สลายกลายเป็นเศษหินสีแดงที่แตกกระจายและร่วงหล่นลงสู่ทะเลเพลิง
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไม่ได้หยุดเคลื่อนที่แต่อย่างใด เขากระโจนพรวดเดียวข้ามมาถึงทางเดิมที่เข้ามาและเร่งฝีเท้ากลับไป ในช่วงหลายชั่วโมงต่อมา เขาต้องรับมือกับการโจมตีจากอสูรที่หน้าตาคล้ายๆ ตัวก่อนหน้าอยู่สองครั้ง จากนั้นเขาก็มองเห็นชั้นป้องกัน และความสุขสงบอีกด้านหนึ่งอยู่ลิบๆ
แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเร่งฝีเท้าและรีบออกไปให้พ้นๆ นั่นเอง ใบหน้าเขาก็กระตุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน หวังเป่าเล่อดึงแผ่นหยกออกมาจากกำไลคลังเก็บ แผ่นหยกกำลังสั่นอย่างรุนแรง มันเป็นอุปกรณ์สื่อสารสำหรับพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่ใช้คุยกันผ่านทางเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่
หนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่เป็นตัวแทนของคณะเสนาบดีกำลังขอความช่วยเหลืออยู่ในห้องสนทนากลุ่ม!
“มีใครอยู่ในตัวกระบี่หรือไม่ ข้าติดกับ โปรดช่วยข้าด้วย!”
พันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคนที่เดินทางมายังสำนักวังเต๋าไพศาลรู้ดีว่าพวกเขาต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และพวกเขาก็สามัคคีกันในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นข้อความนั้น เขาจึงหยุดเท้าทันที
เครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ภายในแผ่นหยกมีระยะการสื่อสารที่จำกัด ในทางทฤษฎี หากทุกคนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน พวกเขาจะสามารถเห็นข้อความของกันและกันได้ ทว่าหากมีใครออกจากพื้นที่ไป คนที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเท่านั้นจึงจะเห็นข้อความได้
ขณะนี้ในห้องสนทนากลุ่มเงียบกริบ มีเพียงเสียงขอความช่วยเหลือจากพันธุ์กล้าผู้ตกที่นั่งลำบาก เสียงนั้นพูดซ้ำอยู่ไปมา น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง