เสียงร้องขอความช่วยเหลือเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหยุดเดิน ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงต่ำและเปิดเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ในแผ่นหยกขึ้นดูอย่างรอบคอบ เขาจ้องไปที่สัญญาณขอความช่วยเหลือที่ถูกส่งมาไม่หยุดหย่อน
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงสิ้นหวังจากสัญญาณนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความกระหายอยากจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความตาย เป็นความปรารถนาอันบ้าคลั่งที่จะรอดชีวิต พันธุ์กล้าสหพันธรัฐคนนั้นเริ่มร้องไห้และขอความเมตตาเมื่อหวังเป่าเล่อฟังข้อความเสียงอีกครั้ง เขาเริ่มพ่นพรรณนาคำสัญญาออกมา ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครตอบข้อความสักคนเดียว
เครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่มีระยะจำกัด และเพราะพันธุ์กล้าสหพันธรัฐผู้นี้ติดอยู่ในใจกลางของตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อจึงอาจเป็นพันธุ์กล้าเพียงคนเดียวที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
“นี่มันฟางมู่นี่…” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นในใจเขา หวังเป่าเล่อจำได้ว่าเขาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับคนผู้นี้เท่าใดนั้น พวกเขาเป็นเพียงคนรู้จักที่พยักหน้าให้กันอย่างสุภาพเมื่อเดินสวนกันเท่านั้น อันที่จริงแล้ว ระหว่างการฝึกพิเศษของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ ฟางมู่เองยังรวมหัวกับศิษย์อีกจำนวนหนึ่งเพื่อลอบโจมตีเขาด้วย
หลังจากนั้น ตั้งแต่ที่หวังเป่าเล่อเดินทางไปดาวอังคาร พวกเขาก็ไม่พบกันอีก การปฏิสัมพันธ์กันสั้นๆ เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินทางมายังกระบี่สำริดเขียวโบราณ แต่ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็นึกขึ้นได้ว่าฟางมู่ดูจะสนิทกับหลี่อี้เป็นพิเศษ
ทว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ พวกเขามีหน้าที่ต้องช่วยเหลือกันและกันในต่างแดน หากพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวกระบี่แต่เป็นที่ด้ามจับ หวังเป่าเล่อคงไม่รีรอที่จะเข้าไปช่วยเหลือ แต่…ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ตัวกระบี่ เสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้จึงดูน่าสงสัยอยู่เล็กน้อย
ระดับปราณของฟางมู่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น แล้วเขาเข้ามาในตัวกระบี่ได้อย่างไรกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตา ชายหนุ่มอยู่ที่นี่มาสักพักและรู้ถึงอันตรายของสถานที่แห่งนี้อย่างลึกซึ้ง หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยังไม่มุ่งไปช่วยเหลือในทันที เขาเลือกที่จะตอบกลับข้อความไปแทน
“ฟางมู่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ฟางมู่ตอนนี้ดูเหมือนจะสิ้นหวังเต็มที่ เขาตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนพูดตอบกลับมาในห้องสนทนากลุ่ม ชายหนุ่มจึงรีบส่งข้อความตอบกลับเข้าไปในกลุ่มด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เป่าเล่อหรือ มาช่วยข้าที ได้โปรด ช่วยข้าด้วย สหายเต๋าห้าคนกับตัวข้าจากเกาะริมน้ำถูกเจ้าเกาะบังคับให้มาที่นี่เพื่อค้นหาเศษซากปรักหักพัง พวกเราเจอคำสาป เจ้าเกาะคนนั้นช่างชั่วร้ายนัก คนอื่นๆ ถูกฆ่าตาย ส่วนเจ้าเกาะพอได้ตราประจำตัวของศิษย์สำนักในคนหนึ่งก็เผ่นหนีไปแล้ว!”
หวังเป่าเล่อจ้องมองข้อความเสียงในห้องสนทนากลุ่มพลางขมวดคิ้วแน่น สิ่งที่ฟางมู่พูดนั้นไม่ได้ฟังดูผิดแปลก แต่เขาก็ไม่อาจสลัดเอาความรู้สึกสงสัยในใจออกไปได้
มีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่…หวังเป่าเล่อคิดพลางหรี่ตา ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยความชั่งใจที่เขามี แต่กลับบอกให้ฟางมู่ส่งตำแหน่งของตนมา
ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็ได้รับตำแหน่งที่ฟางมู่ส่งมาให้ ชายหนุ่มตรวจดูและเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างเขาออกไปไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร ถือว่าใกล้ทีเดียว ความข้องใจของหวังเป่าเล่อยิ่งฝังลึกขึ้นอีก สถานการณ์นี้อาจจะดูไม่น่าสงสัยมากนักหากพวกเขาอยู่ห่างกันเป็นระยะทางไกล แต่การที่ฟางมู่มาอยู่ใกล้เขา และใกล้เส้นเขตแดนถึงเพียงนี้…
แค่บังเอิญหรือเปล่านะ…ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะนำพาข้าให้ไปหาเขา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขึ้นในวินาทีนั้น ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แทนที่จะมุ่งตรงไปยังตำแหน่งของฟางมู่ เขากลับเหาะตรงไปยังชั้นป้องกัน ตั้งใจว่าจะออกไปจากที่นี่
สำหรับการช่วยเหลือนั้น การที่ฟางมู่มาปรากฏตัวที่ตัวกระบี่ก็น่าสงสัยพอประมาณอยู่แล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะอธิบายสถานการณ์ได้น่าเชื่อถือ แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าตนต้องระมัดระวังตัวเพียงใดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี้ ชายหนุ่มไม่ใช่พระโพธิสัตว์ เขาจะไม่ยอมเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพราะอยากช่วยชีวิตใครสักคนเป็นอันขาด
อาจจะฟังดูโหดร้ายและเลือดเย็น แต่หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจจะเมินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้น เสียงในกลุ่มสนทนากลุ่มยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด
ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่า…เขาหลงทาง!
หวังเป่าเล่อแน่ใจว่าก่อนหน้านี้เขาเห็นชั้นป้องกันอยู่ตรงหน้า ทว่าตอนนี้ เมื่อเขามองตรงไป ชั้นป้องกันนั้นกลับกลายเป็นภาพพร่ามัวแล้วก็หายไป หวังเป่าเล่อเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที เขาเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณนั้น หลังจากที่เดินไปมาอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็หยุดเดิน ก่อนจ้องมองไปทางหมอกที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตรงหน้าพลางขมวดคิ้วอีกครั้ง หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่ออกมาและจ้องไปยังตำแหน่งที่ฟางมู่ส่งให้ก่อนหน้านี้
“น่าสนใจดีนี่” หวังเป่าเล่อพึมพำ นัยน์ตาหดเล็กทันทีที่เห็นตำแหน่งดังกล่าว
ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของฟางมู่โดยไม่รู้ตัวแม้ว่าจะตั้งใจกลับออกไปก็ตาม ขณะนี้ เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งของฟางมู่ไม่ถึงสองกิโลเมตร
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมลงทันที เขาหันหน้ามองไปยังตำแหน่งของฟางมู่ ก่อนจะถอนหายใจและพุ่งตรงไปจ้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเขาก็เข้ามาถึงตำแหน่งที่ฟางมู่ควรจะอยู่
หวังเป่าเล่ออยู่บนพื้นที่ยกสูง แม้แต่ทะเลเพลิงก็ไม่อาจไหลเข้าท่วมบริเวณนี้ได้ แต่ร่องรอยการเคลื่อนย้ายของแผ่นเผลือกโลกยังมีปรากฏให้เห็น แสดงว่าก่อนหน้านี้แผ่นดินตรงนี้ไม่ได้ยกสูง แต่ผ่านการเแปรสภาพอันแปลกประหลาดภายในตัวกระบี่จนมีลักษณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน
พื้นที่ลักษณะคล้ายกันนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไปบนตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อเห็นเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้มาไม่น้อยจึงไม่ได้ตื่นเต้นหรือกังวลเกินไปนัก แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตกใจคือด้วงสีทองอร่ามยาวสามร้อยเมตรที่ฝังตัวอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ยกสูง
บางส่วนของfh;’ถูกฝังอยู่ในดิน ส่วนที่ปรากฏอยู่บนดินแสดงให้เห็นถึงการเปื่อยเน่าที่ดำเนินมาเป็นเวลานาน ปีกของมันปกคลุมด้วยรอยร้าว และมีแผลเปิดราวห้าเมตรปรากฏอยู่ เผยให้เห็นด้านในของด้วง แต่สิ่งที่อยู่ด้านในนั้น…ไม่ใช่เลือดเนื้ออย่างที่สิ่งมีชีวิตควรมี แต่เป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกระท่อมหลังหนึ่ง!
หวังเป่าเล่อเคยเห็นธาราจอมตะกละมาแล้ว ชายหนุ่มมีอยู่ในครอบครองตัวหนึ่งในวัตถุเวทแห่งความมืด จึงรู้ดีว่ามีอาวุธเวทบินได้รูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดมหัศจรรย์อยู่มากมายจากหลากหลายอารยธรรมทั่วจักรวาล ไม่ใช่ทุกที่ที่จะใช้เรือบินเหมือนของสหพันธรัฐ บ้างที่ก็ใช้ธาราจอมตะกละ ส่วนอารยธรรมอื่นๆ ก็ใช้สิ่งมีชีวิตที่รูปร่างแปลกประหลาดต่างๆ กันไป เช่นด้วงตัวนี้เป็นต้น แม้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจ้าสิ่งนี้ แต่หวังเป่าเล่อก็บอกได้ทันทีว่ามันคือเรือบินอวกาศมีชีวิตประเภทหนึ่ง!
แม้ว่าด้วงจะตายไปแล้วและภายในยังเสียหาย แต่มันก็ยังแผ่รัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุดหย่อน หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงรัศมีที่เทียบเท่าระดับจุติวิญญาณ ชายหนุ่มหรี่ตาลง เขาเห็นสิ่งหนึ่งนอนแผ่อยู่ข้างๆ ด้วง…มันคือศพแห้งร่างหนึ่ง!
ศพแห้งนี้สวมเสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล มองเห็นได้รางๆ ว่าร่างนั้นเป็นของฟางมู่ หนึ่งในพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ กลิ่นอายของความตายที่โชยมาจากร่างบ่งบอกว่าเขาเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน
ใบหน้าของศพยังแสดงร่องรอยความทุกข์ทรมานที่ได้ประสบก่อนจะถึงแก่ความตาย ทุกสิ่งเป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจก็คือ ขณะที่เขากำลังยืนจ้องร่างไร้วิญญาณของเฉินมู่ตรงตำแหน่งที่อีกฝ่ายส่งมา เสียงร้องขอความช่วยเหลือของฟางมู่ในห้องสนทนากลุ่มกลับยังดังอยู่เช่นนั้น
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ ดูจากสีหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของฟางมู่ ใครบางคนจะต้องทรมานเขาเพื่อรีดข้อมูลก่อนที่เขาจะสิ้นใจเป็นแน่
นี่เป็นกับดักสำหรับข้าหรือสำหรับทุกคนกันแน่ หวังเป่าเล่อไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มทำเพียงจ้องมองภาพเบื้องหน้าและเดินถอยหลังออกมา ตั้งใจจะออกไปจากที่นั่น
แต่ทันทีที่หวังเป่าเล่อก้าวถอยหลัง ก็มีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านแก้มเขาไป สายลมนั้นแปลกประหลาดยิ่งเพราะสถานที่แห้งนี้อยู่ในเขตร้อนจัด พื้นที่โดยรอบเงียบสงัดลงทันที
ท้องฟ้าทั้งมืดและอึมครึม แผ่นดินก็พร่าเลือน เสียงร่ำไห้และหัวเราะดังแว่วมาจากทุกทิศทาง เสียงเหล่านั้นดังลอยมาพร้อมสายลมและฟังดูคลุมเครือ
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว…”
“ท่านแม่ นิ้วท่านรสชาติไม่เอาไหนเลย ข้าหิวเหลือเกิน ข้าอยากกินข้าว…”
“อย่าตีข้า อย่าฆ่าข้า อย่าถลกหนังข้าเลย ท่านแม่ ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…”
เสียงแปลกประหลาดคล้ายเสียงเด็กฟังดูเยียบเย็นไปจนถึงไขสันหลัง เป็นความเย็นที่ทำให้รู้สึกขนหัวลุก เสียงนั้นดังแว่วหวิวอยู่ในอากาศและทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีเด็กจำนวนหนึ่งอยู่รอบๆ เด็กเหล่านั้นจับมือกันและวิ่งเป็นวงกลมล้อมรอบเขา
เด็กคนหนึ่งวิ่งๆ อยู่แล้วจู่ๆ ก็หยุดยืนข้างๆ หวังเป่าเล่อ ก่อนจะฉีกยิ้มส่งมาให้ หวังเป่าเล่อหันศีรษะไปมองตามสัญชาติญาณ และมองเห็นเพียงความว่างเปล่า สายตาของเขากวาดผ่านที่ว่างนั้นไป จู่ๆ ก็มีสตรีผมยาวในชุดสีขาวปรากฏกายขึ้น ผมดำยาวของนางยาวเสียจนปกคลุมใบหน้าไว้มิด ข้างกายนางมีเด็กชายยืนเรียงรายอยู่เจ็ดคน บนใบหน้าของเด็กทั้งเจ็ดปรากฏรอยยิ้มชวนขนลุก ขณะจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อกระตุก วินาทีนั้นเอง สตรีชุดขาวก็ผงกหัวขึ้น เส้นผมดำแหวกออกเผยให้เห็นใบหน้าไร้ดวงตาและจมูก มีเพียงปากสีดำขนาดใหญ่วางแปะอยู่บนใบหน้าน่ารังเกียจ นางออกตัวนำเด็กชายทั้งเจ็ดและพุ่งตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที!