เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกรงกลัวหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ วิญญาณสี่ตนร้องไห้ด้วยความกลัว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าบุรุษผู้น่ากลัวไม่ชอบเสียงร้องไห้ จึงรีบพากันยกมือปิดปากในทันที
มีเพียงตนเดียวเท่านั้น ที่แม้จะเกรงกลัวไม่ต่างกัน แต่ก็รวบรวมความกล้าและก้าวออกมาข้างหน้า วิญญาณตนนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าและหมอบกราบ ก่อนจะดึงขวดโอสถที่ส่งกลิ่นเน่าเปื่อยแต่ยังอยู่ในสภาพดีออกมาวางลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ และหมอบกราบลงอีกครั้ง เสียงพร่าเลือนลอยออกมาจากร่างวิญญาณนั้น
“โปรด…คืนแม่…ให้พวกเรา…”
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึง ชายหนุ่มจ้องมองไปที่วิญญาณน้อยและวิญญาณเด็กๆ ด้านหลังที่ยืนตัวสั่นแต่ไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ออกมา เขาหยิบขวดโอสถขึ้นมองและเปิดออกดูด้านใน ก่อนจะชะงักไปชั่วขณะ
โอสถจักรวาลหรือ หวังเป่าเล่อไม่ค่อยได้เห็นสมบัติล้ำค่าบ่อยนักตั้งแต่มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ศึกษาหาความรู้มาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องโอสถและวัตถุดิบ เพราะเป็นด้านที่เขาสมใจ
ชายหนุ่มไม่เคยเห็นโอสถจักรวาลมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าโอสถนี้มีคุณสมบัติพิเศษ แม้จะส่องแสงออกทึมๆ ในเวลากลางวัน แต่ในช่วงกลางคืน มันจะเรืองแสงราวลูกปัดสีสดใส
โอสถจักรวาลเป็นหนึ่งในโอสถเสริมกำลังที่ช่วยผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในให้บรรลุไปยังขั้นจุติวิญญาณได้ การแลกโอสถหนึ่งเม็ดจากสำนักต้องใช้ราวๆ ห้าหมื่นแต้มการรบ
หวังเป่าเล่อทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น ชายหนุ่มไม่อาจแน่ใจได้ว่าโอสถในขวดคือโอสถจักรวาลจริงๆ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ มันก็ดูน่าพึงใจพอสมควร เขาพึงพอใจมาก หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปจับวิญญาณสตรีและโยนนางออกไปให้พ้นทาง
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นควบคุมวิญญาณได้อย่างไร เขาใช้ผนึกฝ่ามือจำนวนหนึ่งเรียกเปลวไฟสีดำแปดดวงออกมาเผาทำลายเศษคาถาที่ควบคุมวิญญาณเหล่านี้ไว้
ระหว่างกระบวนการนั้น เหล่าวิญญาณกลัวจนหัวหดจนไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว เปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกสำหรับวิญญาณเหล่านี้ น่ากลัวน้อยกว่าตัวหวังเป่าเล่อเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“เอาละ ไปเสีย อย่าไปเที่ยวหลอกใครเขาอีกเล่า เข้าใจไหม” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นโบกไล่และเลิกสนใจพวกวิญญาณ ชายหนุ่มเริ่มหันมาเพ่งมองโอสถจักรวาลอย่างพินิจพิเคราะห์
วิญญาณสตรีตนนั้นไม่กล้าอ้อยอิ่งอยู่ นางรีบวิ่งเข้าไปรวบรวมลูกๆ และหนีไปทันที…
จากนั้นครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็เก็บโอสถจักรวาลไป ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะนำกลับไปศึกษาต่อเมื่อกลับถึงที่ปลอดภัยแล้ว หากมันเป็นโอสถจักรวาลจริง ก็ถือว่าเขาทำกำไรจากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ได้มากโข แต่หากว่าเป็นของปลอม…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายเย็นยะเยือก เขาจะกลับมาที่นี่และถามวิญญาณเหล่านั้นว่าทำไมจึงต้องโกหกกัน
ชายหนุ่มหันไปมองด้วงยักษ์สีทอง หลังจากครุ่นคิดอยู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจเอามันและศพที่อยู่ภายในไปด้วย
ไม่ว่าข้าจะขายมันได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ เอากลับไปก่อนและค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมันต่อไป แล้วถ้าข้าอยากขายค่อยขายทีหลังก็ยังทัน…ข้าไม่มีทางเลือก ข้าจนเหลือเกิน หวังเป่าเล่อสะท้อนใจ ชายหนุ่มพูดได้เพียงว่าเขาค่อนข้างพอใจกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้
หากโอสถเป็นของจริงก็ถือว่ายอดเยี่ยม หาไม่แล้ว การเดินทางครั้งนี้ก็คงขาดทุน ค่าเคลื่อนย้ายมาที่นี่ราคาตั้งหนึ่งพันแต้มการรบ แถมเขายังเสียเวลาไปมากโขด้วย
ข้าจะถือเสียว่าการเดินทางมารอบนี้เป็นการมาดูลาดเลาก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ ชายหนุ่มหันหลังออกมา ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนอากาศมุ่งหน้าไปยังชั้นป้องกัน ทันใดนั้นเอง วิญญาณสตรีในชุดคลุมสีขาวก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้งกลางอากาศ
หวังเป่าเล่อจ้องมองนางวิญญาณที่กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเขม็ง ชายหนุ่มกำลังจะตะเบ็งเสียงใส่ แต่นางวิญญาณกลับรีบทำความเคารพเขาด้วยตัวสั่นเทา ดูเหมือนจะกลัวหวังเป่าเล่อเข้าใจเจตนาของนางผิด นางจึงรีบแสดงท่าทีมีสติให้เขารับรู้
“เจ้าจะมาขอบคุณข้าที่ช่วยปล่อยเจ้าออกจากคาถาเช่นนั้นสินะ” หวังเป่าเล่อเพิ่งเข้าใจเจตนาของนางหลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยจึงทำผนึกฝ่ามือจำนวนมากปลุกแก่นในแห่งความมืดในกายขึ้นมา เปลวไฟสีดำพวยพุ่งจากร่างเข้าไปยังหน้าผากของนาง ก่อนจะกลับมาบนฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ เขาจ้องมองมันอย่างละเอียดก่อนจะรู้ได้ว่านางตั้งใจมาตอบแทนคุณจริงๆ
หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อก็สรุปว่ากำไรจากการเดินทางรอบนี้ยังไม่ถึงเป้าดีนัก จึงยกมือเป็นเชิงให้วิญญาณสตรีนำทางไป เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อยอมคล้อยตาม นางผีสาวก็ดูตื่นเต้นยินดี นางลอยนำหน้าหวังเป่าเล่อทิ้งห่างไประยะหนึ่ง
การเดินทางใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาเดินผ่านระยะทางมาร่วมเกือบสองร้อยกิโลเมตร หวังเป่าเล่อระวังตัวแจตลอดทางและตามวิญญาณสตรีไปถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนเพิ่งจะปรากฏขึ้นได้ไม่นาน
ท่ามกลางทะเลเพลิงนั้นมียอดเขาเอียงกะเทเร่อยู่ยอดหนึ่ง มันดูเหมือนเคลื่อนที่ไม่ได้ และมีลาวาไหลบ่าผ่านสองข้างทางไป ยอดเขานั้นดูไม่สมบูรณ์ คล้ายกับว่าหายไปครึ่งลูก
แม้จะเป็นเพียงยอดเขาครึ่งลูกแต่ขนาดนั้นก็ใหญ่โตมโหฬารทีเดียว ขนาดของมันไล่เลี่ยกับตำหนักบนยอดเขาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บนยอดเขามีตำหนักและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อยู่ไม่น้อย ส่วนมากเสียหายและพุพังไปแล้ว แต่บางส่วนก็ยังมีสภาพดี เหมือนไม่ได้รับความเสียหายมากนัก
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือซากศพสิบร่างทั้งชายและหญิงที่นอนอยู่บนยอดเขานั้น นอกจากบาดแผลจากการสังหารแล้ว สภาพศพโดยรวมอยู่ในสภาพดี หวังเป่าเล่อเห็นกระทั่งกระเป๋าคลังเก็บบนร่างของศพเหล่านั้น!
ชายหนุ่มตาเบิกโพลงเมื่อได้เห็น แต่ไม่ได้เข้าไปสำรวจยอดเขาในทันที เขารีบสำรวจบริเวณรอบๆ พลางดึงอาวุธเวทออกมาอย่างระแวดระวัง เมื่อหวังเป่าเล่อตรวจสอบบริเวณรอบข้างไปพักใหญ่และยืนยันได้ว่าไม่มีอันตราย เขาจึงปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นจึงเริ่มเดินเข้าไปใกล้ยอดเขาอย่างระมัดระวัง ตาของชายหนุ่มร้อนผ่าวเพราะความละโมบ
หลังจากที่นำหวังเป่าเล่อมาถึงจุดนี้ วิญญาณสตรีในชุดคลุมสีขาวก็ก้มโค้งคำนับต่ำก่อนจะลอยหายไป นางมาตอบแทนหวังเป่าเล่อที่ไว้ชีวิตและปลดปล่อยคำสาปให้จริงๆ นางค้นพบสถานที่นี้เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ก็ไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ทว่า สัญชาติญาณก็บอกนางว่าคนภายนอกที่เข้ามาที่นี่มักจะต่อสู้แย่งชิงสิ่งของที่พบในสถานที่เช่นนี้อยู่เสมอ
เป็นเหตุให้นางพาหวังเป่าเล่อมาที่นี่เพื่อตอบแทนเขา
นับเป็นการค้นพบที่หวังเป่าเล่อพึงพอใจยิ่ง หลังจากที่ตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย ชายหนุ่มก็รีบรุดไปยังยอดเขาอย่างตื่นเต้น พอได้เห็นใกล้ๆ ใจของเขาก็เต้นระรัว ความร้อนผะผ่าวปกคลุมอยู่ในดวงตา
ไม่ผิดแน่ ไม่เคยมีใครมาที่นี่มาก่อน!
จากการดูคร่าวๆ น่าจะมีศพราวสามสิบศพ…ทุกศพมีกระเป๋าคลังเก็บ จะต้องมีตราประจำตัวและของมีค่าอยู่เป็นแน่!
ถ้าข้าเข้าไปได้ต้องรวยแน่นอน! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะรู้สึกโลภโมโทสันเพียงใด เขาก็ไม่ได้ประมาท ชายหนุ่มเคยเห็นสถานที่คล้ายๆ กันนี้มาก่อนแล้วบนตัวกระบี่ แม้จะไม่ได้เป็นที่ที่สะดุดตานัก แต่ก็เป็นไปได้ว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่
ทว่ามีคำสาปปกคลุมสถานที่นั้นเอาไว้ มันปกป้องดินแดนนั้นจากทะเลเพลิงและสกัดกั้นไม่ให้หวังเป่าเล่อเข้าไป ชายหนุ่มทำได้เพียงจ้องมองและทอดถอนใจ ก่อนจะเดินคอตกออกมาอย่างยอมจำนน
แต่บนยอดเขาแห่งนี้ดูเหมือนไม่ได้มีคาถาป้องกันอยู่ เหมือนว่าเขาจะสามารถเข้าไปได้ง่ายๆ แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนวู่วาม ชายหนุ่มสังเกตดูบริเวณโดยรอบอย่างดีก่อนจะดึงหุ่นเชิดออกมาตัวหนึ่ง เขาควบคุมหุ่นเชิดและส่งมันกระโจนนำหน้าไป
หุ่นเชิดนั้นมีรูปทรงคล้ายวานรเพชร มันพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโจน ทันทีที่มันเข้าใกล้ยอดเขาและกำลังจะลงแตะพื้น ก็มีแสงสีดำปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันพุ่งผ่านวานรเพชรไป หุ่นเชิดวานรเพชรชะงักนิ่งก่อนจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และระเบิดเป็นเสี่ยงในพริบตา
กะไว้แล้วเชียว มีคำสาปอยู่จริงๆ…หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจ ชายหนุ่มยืนนิ่งคิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงโบกมือและเรียกหุ่นเชิดออกมานับสิบ และส่งพวกมันพุ่งตรงไปล้อมยอดเขาไว้ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปพร้อมกัน
ทันทีที่พวกมันย่างกรายเข้าไป แสงสีดำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันกวาดผ่านทั่วทั้งบริเวณในพริบตา เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นก่อนที่หุ่นเชิดทั้งหมดจะถูกทำลายในชั่ววินาที
หวังเป่าเล่อไม่ใคร่จะใส่ใจในความสูญเสียนัก นัยน์ตาของชายหนุ่มบัดนี้ส่องสว่างไปด้วยความตื่นเต้น เขาโบกมืออีกครั้งและเรียกหุ่นเชิดออกมาห้าสิบตัว!
คำสาปนี้…มีช่องโหว่!