ท้องฟ้าเหนือบริเวณตัวกระบี่เหมือนชิ้นผ้าที่นำมาต่อติดกัน ท้องฟ้าแต่ละบริเวณมีหน้าตาแตกต่างกันไป อันเป็นผลมาจากแรงที่กระบี่สำริดเขียวโบราณสร้างขึ้นเพื่อต้านพลังของดวงอาทิตย์ ตอนนี้ท้องฟ้าเหนือตัวกระบี่เป็นสีดำสนิท มีเพียงรอยแยกบนท้องฟ้าสามรอยเท่านั้น ที่เผยให้เห็นแสงสีแดงเจิดจ้าน่าพรั่นพรึง
ราวกับว่าเราสามารถมองเห็นภายในดวงอาทิตย์ผ่านทางรอยแยกทั้งสามได้เท่านั้น แสงสามสายจากรอยแยกอาบพื้นที่บนตัวกระบี่ให้กลายเป็นสีแดง ทำให้มองเห็นบริเวณโดยรอบในความมืดได้
พื้นที่บริเวณนี้กว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่มีทะเลเพลิง ไม่มีลาวา ไม่มีซากปรักหักพังของภูเขา หากมองจากระยะไกล พื้นที่นั้นเวิ้งว้างไร้ซึ่งสรรพสิ่งและสรรพเสียงใดๆ
ความเงียบสงัดนี้ดำเนินมาหลายทศวรรษ ทำให้บริเวณนั้นอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องขึ้นในพื้นที่อันไร้ซึ่งชีวิตนี้ แสงสว่างวาบของการเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นก่อน ตามด้วยความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวตามแรงระเบิด จากนั้นร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศธาตุ แต่ละร่างอยู่ในสภาพบาดเจ็บไร้เรี่ยวแรง!
หนึ่งในนั้นคือหวังเป่าเล่อที่กำลังตกอยู่ในสภาวะตื่นตกใจ ทันทีที่กระบวนการเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวอีกต่อไป ทั้งสองกระอักเลือดก่อนสลบไปในทันที โดยยังไม่ทันได้มองไปรอบบริเวณที่ตนเองเพิ่งมาเยือนด้วยซ้ำ
พลังปราณของทั้งสองยังต่ำกว่าขั้นกำเนิดแก่นใน อาการบาดเจ็บแสนสาหัสจากการต้านทานแรงดูดของถ้ำที่พัก และกระบวนการเคลื่อนย้าย ทำให้ร่างกายของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเกินขีดจำกัดจนแทบแหลกสลาย
แม้หวังเป่าเล่อจะหายใจหอบและกระอักเลือดออกมาเช่นกัน แต่ก็ยังมีสติรับรู้อยู่ ชายหนุ่มยังต่อสู้ได้หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อเรียกหุ่นเชิดออกมาคุ้มกันบริเวณที่พวกเขาอยู่ ขณะที่จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงยังคงไม่ได้สติ
คำพูดที่สลักอยู่บนกำแพงเป็นกับดักจริงๆ เสียด้วย! สีหน้าของชายหนุ่มซีดเผือด เขารีบมองไปยังบริเวณโดยรอบ แม้จะตกใจกับความกว้างใหญ่ไพศาลและความเงียบงันของพื้นที่ที่ตนเองอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าตนเองยังปลอดภัยอยู่ในยามนี้ ชายหนุ่มไม่คิดจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รีบเอาโอสถออกมาป้อนให้จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงทันทีเพื่อช่วยรักษาบาดแผลและร่างกายอันบอบช้ำ เมื่อเสร็จแล้ว หวังเป่าเล่อก็นั่งสมาธิเพื่อช่วยคุ้มกันสหาย และรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองไปในเวลาเดียวกัน
เวลาผ่านไปนานเท่าใดชายหนุ่มไม่อาจทราบได้ เนื่องจากบริเวณนั้นไม่มีวงแหวนปราณที่สร้างปรากฏการณ์เช้าและค่ำ แต่เขาใช้ความรู้สึกคะเนเอาว่าน่าจะผ่านมาประมาณสองวันแล้ว
ร่างกายของหวังเป่าเล่อกลับมาเป็นปกติราวร้อยละเก้าสิบ เจ้าเยี่ยเหมิงฟื้นสติขึ้นเมื่อวาน นางไม่ได้พูดอะไร แต่เริ่มทำสมาธิทันทีเพื่อเร่งความเร็วในการรักษาตัวด้วยความช่วยเหลือจากโอสถของหวังเป่าเล่อ
ร่างกายของเจ้าเยี่ยเหมิงกลับมาเป็นปกติราวร้อยละห้าสิบ แต่จั่วอี้ฟานที่บาดเจ็บสาหัสกว่า ร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหวังเป่าเล่อ ซ้ำยังไม่มีพลังการเยียวยาตนเอง ยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ ร่างกายของชายหนุ่มบอบช้ำมาก แต่แม้จะไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนคนอื่น ลมหายใจและอาการโดยรวมของเขาก็เริ่มคงที่
หลังจากที่ตรวจดูสภาพจั่วอี้ฟานเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อเขาหันไปมองพื้นที่รอบกาย ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้ว สีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
เจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ ราวกับรู้สึกได้ถึงความกังวลใจของสหาย นางมองไปที่ความเวิ้งว้างรอบกายเช่นกัน รู้สึกได้ถึงบรรยากาศวังเวงเงียบเหงา ใบหน้าของนางซีดเผือด เสียงแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ เป่าเล่อ ข้ารู้สึกตั้งแต่ตอนตื่นขึ้นมาแล้วว่าที่นี่มีบางสิ่งแปลกประหลาด อีกทั้งก่อนหน้านี้… เป็นความผิดของข้าเองที่อ่านสถานการณ์ไม่ขาด… หากข้าประเมินได้ดีกว่านี้ พวกเรา…” เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงอ่อนแรง และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและการโทษตัวเอง นางรู้สึกว่าพวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้เพราะความสามารถที่อ่อนด้อยของตัวเอง หากนางเชี่ยวชาญด้านวงแหวนปราณมากกว่านี้ พวกเขาอาจไม่ต้องเจอสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็เป็นได้
“เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดทั้งสิ้น เจ้าของถ้ำที่พักวางกับดักคำสาปเอาไว้ในถ้ำนั้นก่อนตาย เป็นกับดักที่เอาไว้ใช้ต่อกรกับศัตรูร้ายของเขา พวกเราแค่โชคไม่ดีเท่านั้นที่ไปเจอเข้า” หวังเป่าเล่อหัวเราะฝืดปลอบใจเจ้าเยี่ยเหมิง ก่อนจะเล่าถึงถ้อยคำที่ตนเองได้เห็นในถ้ำบนยอดเขาให้นางฟัง
หญิงสาวหายใจสะดุดด้วยความตกใจเมื่อทราบเรื่องทั้งหมด แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์บนยอดเขามาด้วยกัน แต่เมื่อได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังจากปากของชายหนุ่ม นางก็ยังประหลาดใจอยู่ดี เจ้าเยี่ยเหมิงคิดว่าหากหวังเป่าเล่อปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ และเดินเข้าไปใกล้จารึกบนผนัง ทั้งสามคงหมดสิ้นซึ่งโอกาสในการหนีเอาชีวิตรอด…
ขนาดหวังเป่าเล่อเลี่ยงจากผนังมา และตั้งใจจะออกจากยอดเขานี้ พวกเขายังเกือบสิ้นชีพด้วยแรงระเบิดจากปากถ้ำนั่นเลย
“บริเวณตัวกระบี่อันตรายเกินไป… อีกอย่างพวกเราก็ยังอ่อนแอนัก…” หลังจากเงียบอยู่สักพัก เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนหายใจออกมา พลางมองบรรยากาศรอบตัวอย่างสิ้นหวัง หวังเป่าเล่อก็เงียบลงเช่นกัน ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาคิดว่าตนเองประมาทเกินไป อาจเป็นเพราะประสบการณ์การทำภารกิจของเขาก่อนหน้านั้นเป็นไปอย่างราบรื่น จึงทำให้เขาชะล่าใจว่าตนเองสามารถจัดการอันตรายทุกอย่างได้
บัดนี้ความเป็นจริงได้ตบหน้าเขาให้ลืมตาตื่นขึ้นจากฝันเสียแล้ว หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกอย่างช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังมองไปรอบกายเกิดตัวสั่นขึ้นมากะทันหัน นางแทบหยุดหายใจ รูม่านตาหดแคบ ก่อนพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เป่าเล่อ ดูตรงนั้นสิ! มี… มีคนอยู่ตรงนั้น!”
หวังเป่าเล่อหันไปมองตามมือของนางโดยสัญชาตญาณทันที แล้วก็ต้องตกใจนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในแสงสลัว ห่างจากพวกเขาทั้งสองไปราวสามร้อยเมตร
ร่างนั้นเป็นชายในชุดคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาล เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดิน หันหน้ามาทางทั้งสามโดยไม่ไหวติง ดวงตาปิดสนิท
หวังเป่าเล่อใจสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ร่างกายรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายในระยะเผาขนจนพาลแข็งทื่อไปหมด หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาตรวจตราบริเวณโดยรอบอย่างดี จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในที่แห่งนั้นนอกจากพวกเขาทั้งสาม
แต่บัดนี้ ร่างหนึ่งกลับปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและไร้ซึ่งสุ้มเสียง สีหน้าของร่างนั้นไร้ซึ่งความรู้สึก หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกถึงพลังชีวิตที่ออกมาจากร่างนั้นแต่อย่างใด แม้กระทั่งวิชาแห่งศาสตร์มืดในกายเขา ก็ยังตรวจจับไม่ได้ว่าชายผู้นี้ตายแล้วหรือไม่!
ไม่ได้ตายแต่ไม่ได้มีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อปล่อยพลังปราณในกายออกมาโดยสัญชาตญาณ เขาพลิกมือขวาขึ้น อาวุธเวทกระบี่บินระดับเจ็ดปรากฏขึ้นบนมือ กระบี่นั้นอาบด้วยไอแห่งความดุร้าย ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนพูดเสียงต่ำ
“ศิษย์พี่ พวกเราสามคนเพียงแต่พลัดหลงมายังที่แห่งนี้เท่านั้น หากพวกเราขัดจังหวะการฝึกปราณของท่านก็โปรดให้อภัยด้วยเถิด พวกเราไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด ศิษย์พี่ช่วยบอกทางออกจากที่แห่งนี้แก่เราได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อจ้องร่างที่ทำสมาธิอยู่เขม็ง ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา ความระแวดระวังตัวของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
แต่คำพูดของหวังเป่าเล่อไม่ได้รับการตอบรับ ร่างนั้นยังนิ่งไม่ไหวติง และทำสมาธิต่อไปโดยไร้ซึ่งอารมณ์ เขาไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นหรือขยับส่วนใดของร่างกายแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขากำลังจะพูดต่อ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งหนึ่งขยับอยู่ที่หางตา ชายหนุ่มหันไปมองทันที สีหน้าตกใจกับภาพที่เห็น
เบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ ถัดไปอีกราวสามร้อยเมตร พื้นที่ที่เคยเวิ้งว้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา บัดนี้มีร่างอีกร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่เช่นกัน ร่างนั้นอยู่ในวัยแรกรุ่นต่างจากชายคนก่อนหน้า ทั้งสองมีสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกัน พวกเขาทั้งไร้ซึ่งชีวิตและไร้ซึ่งความตาย และมันก็ทำให้ทุกสิ่งดูแปลกประหลาดเกินบรรยาย
“เป่าเล่อ ยังไม่หมด…” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังผงะด้วยความตกใจ เจ้าเยี่ยเหมิงก็หยิบสมบัติเวทวงแหวนปราณของนางออกมา แม้ดินแดนแห่งนี้จะประหลาดเหลือ แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา นางหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้ตนเองใจเย็นลง แววตาสงบนิ่งค่อยๆ ฉายชัดขึ้นบนใบหน้า หวังเป่าเล่อมองตามทิศที่นางบอก ก่อนจะเห็นร่างอีกหลายร้อยร่างปรากฏขึ้นรอบกายพวกเขาในเวลาไม่กี่วินาที ล้อมพวกเขาเอาไว้เสียหมดสิ้น!
ร่างเหล่านั้นมีทั้งหญิงชาย เด็กและแก่ชรา ทุกคนมีสีหน้าไร้อารมณ์และกำลังนั่งขัดสมาธิ หันหน้าเข้าหาทั้งสาม ต่างไร้ซึ่งชีวิตและความตายทั้งสิ้น!
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเสียวสันหลังวาบ เขาเรียกหาแม่นางน้อยทันทีเพื่อจะถามว่าบริเวณนี้คือที่ใด และเหตุใดทุกสิ่งจึงแปลกประหลาดไปหมดเช่นนี้ ร่างแต่ละร่างทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัว
แต่แม่นางน้อยยังคงจำศีลอยู่และไม่ตอบเขา มันยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อกระวนกระวายและรู้สึกไร้ทางออกมากขึ้นไปอีก เขาแบกจั่วอี้ฟานที่ยังไม่ได้สติขึ้นหลัง หันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
“แทนที่จะรออยู่ตรงนี้ เราไปตายเอาดาบหน้ากันดีกว่า ลองดูว่าจะหนีออกจากที่นี่ได้หรือไม่!” เจ้าเยี่ยเหมิงเอ่ย พร้อมสร้างผนึกฝ่ามือ แสงสว่างเรืองออกจากแผ่นหยกวงแหวนปราณในมือนาง ก่อนเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบพวกเขาเป็นเกราะป้องกันภัย หวังเป่าเล่อพยักหน้าเห็นด้วย และกำลังจะพุ่งออกจากที่นั่นไปพร้อมเจ้าเยี่ยเหมิง
ในตอนนั้นเอง… ร่างหลายร้อยร่างที่หลับตาทำสมาธิอยู่ ก็พลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน!