“อี้ฟาน เราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมิใช่หรือ ข้า หวังเป่าเล่อคนนี้มีศีลธรรมพอ ไม่ใช่ผู้ไร้ยางอายอย่างแน่นอน!” หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกละอายใจ แต่ยิ่งละอายมากเท่าใด เขาก็ยิ่งพยายามยืดตัวขึ้นให้อกผายไหล่ผึ่งมากเท่านั้น ตอนที่มองจั่วอี้ฟาน สายตาของเขากระจ่างใสยิ่งนัก
สายตานั้นทำให้จั่วอี้ฟานสั่นคลอนไปชั่วขณะ เจ้าเยี่ยเหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลอกตาใส่หวังเป่าเล่อ แต่ตัวนางเองก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงเลิกสนใจเรื่องนี้ จั่วอี้ฟานเองก็เช่นกัน หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีกต่อไป
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ก่อนกระแอมกระไอให้คอโล่ง เขาบอกกับตนเองว่าจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะเขาอยากปิดบังเพื่อนทั้งสอง แต่เป็นเพราะโลกภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความลับมากมายหลายเรื่องเกินไป
เป็นเพราะไอ้เจ้าวิชาตัวเล็กตัวน้อยพวกนั้นทีเดียวเชียว ข้าต้องจัดการสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว รอให้ฉากสีดำกลับมาอีกครั้งก่อนเถิด จะได้รู้เสียบ้างว่าทำให้บิดาคนนี้โกรธแล้วต้องเจออะไร! หวังเป่าเล่อเยาะเย้ยในใจ ก่อนนั่งลงขัดสมาธิเฝ้ารอเวลา เมื่อฉากสีดำมาเยือน จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็กลับเข้าสู่วังวนแห่งการฝึกวิชาอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อกระโจนขึ้นตะโกนด่าทันที
“พวกวิชาตัวจ้อยทั้งหลาย เจ้ากล้าเอาข้าไปนินทาเช่นนั้นหรือ บิดาเจ้าคนนี้โกรธแล้วนะ!” หวังเป่าเล่อทะยานออกไปข้างหน้าพร้อมประกาศก้อง แม้ร่างเหล่านั้นจะรีบหลบหนีไป แต่หวังเป่าเล่อมีประสบการณ์การจับตัวพวกเขาเหล่านี้มามาก จึงรีบกระโจนออกไปด้วยความเร็ว ในที่สุดเขาก็จับร่างหนึ่งเอาไว้ได้ด้วยความยากลำบาก ในตอนที่ฉากสีดำกำลังจะหายไปพอดี
ร่างนั้นเป็นชายชราผู้หนึ่ง หลังจากที่เข้ามาในโลกภายในใจของหวังเป่าเล่อเรียบร้อย เขาก็มีสีหน้าอับจนหนทาง ชายชราผู้นั้นมอบวิชาของตนให้หวังเป่าเล่อหลังจากที่ถูกข่มขู่ไปรอบหนึ่ง และรีบหนีหายไปในทันที
เหตุการณ์นี้ทำให้หลังจากที่ฉากสีดำสลายไปเรียบร้อย ก็ไม่มีร่างใดกล้าปรากฏกายต่อหน้าหวังเป่าเล่อและสหายอีกเลย…
ในที่สุดการเดินทางเพื่อบรรลุวิชาก็ปิดฉากลง จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับวิชามาอย่างครบถ้วนกระบวนความ ความรู้สึกที่ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในใจของทั้งสอง
ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินทางออกจากที่แห่งนี้ไป บรรดาร่างที่ไม่เคยปรากฏกายมาก่อนก็เผยตัวขึ้น พวกเขากังวลว่าทั้งสามจะหลงทาง และใช้เวลาวนไปวนมาในดินแดนแห่งนี้นานเกินไป จึงมาเพื่อบอกทางแก่คนทั้งสามเป็นครั้งคราว สิ่งที่ทำให้จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงหมดซึ่งคำพูดก็คือ ทุกครั้งที่ร่างเหล่านั้นปรากฏตัว พวกเขาจะตัวสั่นงันงก ราวกับตั้งท่าจะหลบหนีไปทันทีที่สัมผัสได้ว่ากำลังจะเกิดเหตุร้าย
“พวกเราน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าว่าจะมากไปหน่อยแล้วกระมัง” หวังเป่าเล่อรู้สึกเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนจั่วอี้ฟานก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เหนื่อยใจมากเช่นกัน นางคิดว่าไม่ว่าจะดูอย่างไรร่างเหล่านั้นก็กลัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่ควรเอาพวกเขาทั้งสองไปเหมารวมด้วยเช่นนี้
ด้วยการนำทางจากเหล่าภาพฉาย ในที่สุดทั้งสามก็เดินทางมาถึงบริเวณเขตแดนของดินแดนแห่งการสืบทอด!
ผ่านเส้นเขตแดนนี้ไปจะเป็นทะเลเพลิงและเทือกเขาสูงเสียดฟ้า เศษซากของตำหนักมากมายลอยล่องอยู่ ภาพที่คุ้นชินนี้เป็นสัญญาณว่าพวกเขาทั้งสามกำลังจะออกจากพื้นที่ปลอดภัยนี้ไปแล้ว
เมื่อเทียบระหว่างดินแดนแห่งการสืบทอดและทะเลเพลิงเบื้องหน้า จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็รู้สึกว่าที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เป็นอาณาเขตปลอดภัยของบริเวณตัวกระบี่
ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่าจะเป็นหมากสำคัญในเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้เจ้าเยี่ยเหมิงจึงถามหวังเป่าเล่ออย่างตรงไปตรงมา หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก
“เป่าเล่อ บอกพวกเรามาตามตรง หากพวกเราอยู่ในดินแดนแห่งการสืบทอดนี้ต่อ จะปลอดภัยกว่าหรือไม่”
เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้าจริงจังเพียงใด หวังเป่าเล่อก็หยุดคิด ก่อนมองไปรอบๆ ตัวและพยักหน้ายืนยัน
“ปลอดภัยกว่าแน่นอนเมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ข้างนอก หากเจ้าพวกนี้กล้าส่งเสียงแม้แต่สักแอะ ข้าจะจัดการให้เอง” แววความโอหังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็ควรปักหลักอยู่ที่นั่นกันก่อน ข้ารู้สึกได้ว่า หลังจากที่ได้วิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณฉบับสมบูรณ์มา พลังปราณของข้าก็ใกล้จะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ทุกเมื่อแล้ว!” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดหายใจเข้าลึก จั่วอี้ฟานที่ยืนอยู่ข้างกายนางพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าเองก็เช่นกัน ข้ามั่นใจว่าตนเองจะบรรลุปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ได้ หากมีเวลาฝึกอีกสักพัก!”
“เมื่อจั่วอี้ฟานและข้าบรรลุขั้นปราณ พวกเราก็จะปลอดภัยกว่าเดิมตอนเดินทางกลับ เป่าเล่อ เจ้าเองก็เช่นกันใช่หรือไม่” เจ้าเยี่ยเหมิงหันมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
ในความเป็นจริงแล้ว หวังเป่าเล่อเป็นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากการอยู่ในดินแดนแห่งนี้ เขารู้สึกได้เช่นกันว่าพลังปราณของตนส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ไปเป็นชั้นกลางในเร็วๆ นี้
สิ่งที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูดถูกต้องทุกอย่าง โลกภายนอกนั้นอันตรายมาก หากพวกเขาบรรลุขั้นปราณได้ก่อนเดินทางออกไป จะเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยกว่าอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หลังจากเงียบคิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าสงสัยว่าคราวนี้พวกเราจะต้องถือสันโดษกันนานเพียงใด เรามาจัดการสิ่งของที่ได้มาจากถ้ำที่พักก่อนหน้านี้กันก่อนเถิด ข้าได้โอสถมามากมายหลายชนิดอยู่ อาจมีบางสิ่งที่ช่วยให้พวกเราบรรลุขั้นปราณได้ง่ายขึ้นก็เป็นได้” จั่วอี้ฟานเอ่ย ก่อนหยิบสิ่งของที่ได้มาจากตำหนักออกมาวาง
สหายทั้งสามไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอันมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาจึงไม่ได้จัดการแบ่งทรัพย์สมบัติที่ได้มากันเลย เมื่อได้รับวิชาใหม่มาเรียบร้อย และเห็นทางออกจากดินแดนแห่งนี้อยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งพลังปราณก็ใกล้จะบรรลุ พวกเขาทั้งสามจึงเพิ่งมานั่งคิดถึงสิ่งที่ตนเองหยิบจับมาได้ก่อนหน้านี้
เจ้าเยี่ยเหมิงพยักหน้า ก่อนหยิบสิ่งของที่ตนเองได้รับมาออกมาวางเช่นกัน หวังเป่าเล่อเองก็ด้วย ของชิ้นใหญ่ที่เขาได้มานอกจากตราประจำตัวของศิษย์สืบทอดแล้ว คือร่างไร้วิญญาณของเจ้าของตรานั่นเอง
“ศพนี้มีกระเป๋าคลังเก็บติดอยู่…” หวังเป่าเล่อพูด ก่อนหยิบกระเป๋าออกจากตัวศพ เขาค้นสิ่งของต่างๆ ดูและพบสร้อยสีหม่นเส้นหนึ่งอยู่รอบคอศพ
หลังจากที่ทั้งสามนำสิ่งของมากองรวมกันหมดเรียบร้อย ก็เริ่มจัดสิ่งของเหล่านั้นออกตามประเภท ระหว่างที่กำลังจัดของอยู่นั้น อารมณ์ของทั้งสามก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของที่ได้มาของแต่ละคนว่าเยอะแล้ว แต่เมื่อนำมารวมกัน แม้แต่คนจิตใจสงบนิ่งอย่างเจ้าเยี่ยเหมิง ยังแทบปิดความตื่นเต้นในใจเอาไว้ไม่อยู่
เมื่อจัดของเสร็จเรียบร้อย ทั้งสามก็หันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างสังเกตเห็นแววความตื่นเต้นดีใจในดวงตาของสหาย
“พวกเรารวยเละแล้ว!” หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก ก่อนมองทรัพย์สินที่อยู่ตรงหน้า มีตราประจำตัวอยู่ทั้งหมดห้าสิบตรา ในห้าสิบตรานั้น มีตราประจำตัวของศิษย์สืบทอดหนึ่งตรา ตราของศิษย์สำนักในสามตรา ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นของศิษย์สำนักนอก แค่ตราประจำตัวทั้งหมดที่พวกเขาหามาได้ก็มูลค่าสามหมื่นแต้มการรบแล้ว
นอกจากนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงยังได้สมบัติเวทมาสามชิ้น ทั้งหมดอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ประกอบไปด้วยหอกสีดำสนิท เข็มทิศ และแถบผ้าขนาดใหญ่!
หวังเป่าเล่อวิเคราะห์สมบัติเวทเหล่านั้น และพบว่าเข็มทิศและแถบผ้ายักษ์นั้นมีพลังเทียบเท่าอาวุธเวทระดับแปด! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สมบัติเวทเหล่านั้นยังเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ หวังเป่าเล่อเพียงแค่ต้องซ่อมเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถนำมาใช้งานได้ทันที!
ส่วนหอกสีดำนั้นทำให้ทั้งสามประหลาดใจที่สุด เพราะมันเป็นอาวุธเวทระดับเก้า!
แต่หอกนั้นสภาพย่ำแย่กว่าอีกสองชิ้นมาก ต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรมากมายในการซ่อมแซม นอกจากสมบัติเวททั้งสามชิ้นแล้ว ยังมีขวดโอสถอีกสามสิบขวด โอสถบำรุงและวัตถุดิบในการหลอมมากมาย ซึ่งทั้งสามไม่รู้จัก
ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนน้อยจากของที่พวกเขาหามาได้ จั่วอี้ฟานได้แผ่นหยกสามแผ่นที่มีกระบวนเวทบันทึกอยู่ แม้จะเทียบชั้นไม่ได้กับสิ่งที่พวกเขาทั้งสามได้รับมาจากภาพฉาย แต่หวังเป่าเล่อที่เคยเข้าไปเยือนหอตำรากระบวนเวทไพศาล ก็จำได้ว่ากระบวนเวทเหล่านี้มีมูลค่าราวห้าพันแต้มการรบสำหรับแต่ละกระบวนเวท
นอกจากนี้ยังมีกระบวนเวทวงแหวนปราณที่ชื่อว่า วงแหวนปราณแสงส่องดารา ด้วย!
มูลค่าของสิ่งของเหล่านี้ยากที่จะประเมิน แต่ในที่สุดทั้งสามก็เจอสิ่งที่ทรงคุณค่ามากกว่าทุกอย่างที่พวกเขาได้มาทั้งหมดรวมกันเสียอีก!
สิ่งนั้นคือสร้อยจากคอของศิษย์สืบทอดที่หวังเป่าเล่อหยิบมาได้ สร้อยนั้นไม่ใช่สมบัติเวท หากแต่เป็นที่เก็บของประเภทหนึ่ง ซึ่งมีหนังอสูรบรรจุอยู่ในนั้น!
เมื่อหยิบหนังอสูรออกมาจากสร้อยคอ พลังความเก่าแก่โบราณอันล้ำลึกก็แพร่กระจายออกมาจนทุกคนรู้สึกได้ แล้วพอกางหนังอสูรออก พวกเขาก็พบสูตรการหลอมอาวุธเทพ!
“สูตรการหลอมอาวุธเทพ!” แม้แต่ผู้ที่สงบเหมือนน้ำนิ่งอย่างเจ้าเยี่ยเหมิงยังอดอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจไม่ได้ จั่วอี้ฟานจิตใจสั่นสะท้าน ส่วนหวังเป่าเล่อตาแถบถลนออกจากเบ้า พลางมองหนังอสูรด้วยความตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว
อาวุธเทพ… สมบัติที่มีอยู่ชิ้นเดียวในสหพันธรัฐ แม้หวังเป่าเล่อจะครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืด ที่เป็นอาวุธเทพเช่นกัน แต่อาวุธเทพของเขาก็เสียหายหนัก กว่าจะซ่อมได้คงเลือดตาแทบกระเด็น
กระนั้นด้วยความที่เขาเป็นผู้ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืด ชายหนุ่มจึงรู้ดีกว่าใคร ว่าสิ่งที่เรียกว่าอาวุธเทพนั้นทรงพลังเหนือจินตนาการเพียงใด!