หนังอสูรที่บันทึกสูตรการหลอมอาวุธเทพเอาไว้นั้น น่าจะเหลือรอดมาได้แม้ผ่านสภาพแวดล้อมโหดร้ายแสนสาหัส เพราะคุณสมบัติพิเศษในการรักษาสภาพเดิมของหนัง หลังจากที่ทั้งสามอ่านดูเรียบร้อย ก็ต่างคัดลอกเก็บไว้คนละชุด
จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงวางหนังอสูรต้นฉบับไว้บนมือของหวังเป่าเล่อ เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวท พวกเขาคัดลอกเอาไว้เพียงเพราะสูตรการหลอมอาวุธเทพมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้าในอนาคตเท่านั้น เนื่องจากต่อให้มีสูตรบอกก็ยังยากที่จะหลอมได้ หากไม่มีความชำนาญ
นอกจากนี้จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงยังพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาทั้งสองต้องการโอสถจำนวนมาก เนื่องจากอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุ แต่ก็ยังต้องการปัจจัยเสริมภายนอกในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ โดยเฉพาะจั่วอี้ฟานที่ต้องการสิ่งนี้มากกว่าใครเพื่อน ดังนั้นตอนที่ทั้งสามแบ่งโอสถกัน จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงจึงได้โอสถส่วนใหญ่ไป ส่วนหวังเป่าเล่อหยิบไปแค่พอสำหรับการฝึกปราณในคราวนี้เท่านั้น
ต่อมาคือการแบ่งตราประจำตัว จั่วอี้ฟานมองหน้าหวังเป่าเล่อแล้วยิ้มออกมา ก่อนตัดสินใจสละสิทธิ์ในส่วนของตน เขารู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถมากพอที่จะแข่งขันเรื่องการส่งวิชากลับโลก และก็ยังรู้ดีว่าความฝันของหวังเป่าเล่อคืออะไร จึงตัดสินใจช่วยเหลือสหายของตนในการทำฝันนั้นให้เป็นจริง
เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน นางไม่แม้แต่จะมองตราประจำตัวเหล่านั้นด้วยซ้ำ ทำเพียงโยนส่งๆ ให้หวังเป่าเล่อเท่านั้น หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอันมากกับปฏิกิริยาของสหาย เพราะกำลังคิดอยู่เลยว่าจะพูดอย่างไร เนื่องจากต่อให้พวกเขาเป็นสหายที่ดีต่อกัน เรื่องเงินทองก็ไม่เข้าใครออกใคร
“เยี่ยเหมิง อี้ฟาน พวกเจ้าทั้งสองวางใจได้เลยว่า เมื่อใดที่ข้าเป็นประธานสหพันธรัฐแล้ว พวกเจ้าจะได้รับตำแหน่งพี่ชายน้องชายผู้เป็นมือซ้ายและมือขวาของข้าแน่นอน จากนั้นพวกเราสามคนพี่น้องก็จะปกครองทุกคนบนโลกด้วยกัน!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างตื่นเต้นกระตือรือร้น ไม่ได้สังเกตสักนิดเลยว่าเจ้าเยี่ยเหมิงมีสีหน้าเย็นชา ราวกับคำว่า ‘พี่ชายน้องชาย’ เป็นการปรามาสนาง
จั่วอี้ฟานหัวเราะ ก่อนส่งอาวุธเวทเข็มทิศให้เจ้าเยี่ยเหมิง ส่วนตัวเขาเก็บแถบผ้าอาวุธเวทระดับแปดเอาไว้ และวางหอกสีดำระดับเก้าที่เสียหายหนักไว้เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
พวกเขาทั้งสามไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกัน เนื่องจากรักใคร่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี หลังจากที่จัดสรรปันส่วนทุกสิ่งที่ได้มาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็หันไปมองรอบๆ ตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปฝึกปราณของตนเอง
จั่วอี้ฟานตั่งมั่นว่าจะต้องทรงพลังขึ้นมาให้ได้ เขาไม่อยากให้การถูกตระกูลจับไปจองจำเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก สิ่งที่เกิดขึ้นขณะถูกคุมขังเป็นความลับที่เขาเก็บไว้คนเดียวในใจ ความเจ็บปวดจากประสบการณ์นั้นยากนักที่จะลบเลือนจากความทรงจำและใจของเขาได้
ด้วยเหตุนี้ จั่วอี้ฟานจึงกระหายที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงมากกว่าสิ่งใดในโลกใบนี้ เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายนั้นสำเร็จให้ได้ ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากตนเองบรรลุวิชาที่ได้รับสืบทอดในครั้งนี้ ตัวเขาจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และนักรบ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำมัน ตราบใดที่ผลลัพธ์คือความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น!
เป้าหมายในการถือสันโดษของจั่วอี้ฟานในตอนนี้ คือการบรรลุปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังต้องการใช้กระบวนเวทอาวุธเทพจำแลงเก้าศาสตร์มาเสริมพลังของนักรบสงครามโลหิตในกายเขา ก่อนหน้านี้ตอนที่จั่วอี้ฟานลองผสานกระบวนเวทเข้ากับพลังของนักรบสงครามโลหิต เขาเจ็บปวดไปทั้งกาย ราวกับถูกเลาะกระดูกออกจากร่างทีละชิ้น แต่แววตาของชายหนุ่มก็ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะเดินหน้าต่อไป!
ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงนั้น แม้ความต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงจะไม่รุนแรงเท่าจั่วอี้ฟาน แต่พื้นเพและความสามารถของนางก็จัดว่าอยู่ในระดับสูงของสหพันธรัฐอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้หญิงสาวจะไม่ต้องการเป็นหัวกะทิ แต่นางก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะเข้าใจมหาเต๋าตามที่บิดาแนะแนวไว้ พอๆ กับการฝึกวิชาอีกด้วย
“เหมิงเอ๋อร์ แก่นในตามวิถีแห่งมหาเต๋ามีทั้งหมดสามพันแบบด้วยกัน แม้ว่าทางไหนก็ทำให้บรรลุแก่นในที่กล่าวไว้ในตำนานได้ แต่ก็หมายความว่ามีทางถึงสามพันทางให้เจ้าเลือกเดิน ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะกับแก่นในเต๋าแห่งวงแหวนปราณ แม้จะเรียกว่าเป็นทางลัดไม่ได้ แต่พลังของมันก็จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบของพลังแห่งเต๋าที่ทรงอำนาจที่สุดเลยทีเดียว!”
นี่คือบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าเยี่ยเหมิงและบิดาของนาง ในตอนที่นางเลือกเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน เจ้าเยี่ยเหมิงจำคำพูดของบิดาได้ทุกคำแม้กระทั่งตอนนี้ เมื่อนางหลับตาลง วิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ในวงแหวนปราณใหญ่นั้นมีอักษรปราณมากมายอยู่ภายใน เจ้าเยี่ยเหมิงฝึกปราณด้วยการศึกษาอักษรปราณเหล่านั้น โอสถที่กินเข้าไปกลายเป็นพลังผลักดันที่จะช่วยให้นางบรรลุและทลายพันธนาการของปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นได้เร็วขึ้น!
เมื่อเห็นว่าสหายทั้งสองแยกตัวไปฝึกวิชาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาอยู่ดี แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะวางวงแหวนปราณเอาไว้ระวังภัย และแม้ร่างขัดสมาธิทั้งหลายจะไม่ได้ปรากฏขึ้นแล้วก็ตาม เพราะอย่างไรเสียเขตแดนตรงนี้ก็แค่ปลอดภัยกว่าทะเลเพลิงภายนอกเท่านั้น
หวังเป่าเล่อจับกระเป๋าตนเองอยู่เงียบๆ และหยิบเจ้าลาออกมา ตั้งแต่มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มก็ลืมสัตว์เลี้ยงของตนเองไปเสียสนิท เนื่องจากมั่วแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการต่างๆ จึงไม่ได้ปล่อยมันให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย เจ้าลาที่ได้ออกจากกระเป๋าเป็นครั้งแรกหลังจากถูกขังอยู่นาน นอนเฉยอยู่ตรงนั้นอย่างซังกะตายกับโลกใบนี้ ดวงตาของมันมองหวังเป่าเล่อด้วยความขุ่นเคืองใจ
“ลูกข้า!”
“แหกปากอะไรกันเล่า ลุกขึ้นมาทำงานเดี๋ยวนี้! เฝ้ายามเอาไว้ให้ดี และร้องเตือนพวกข้าด้วยหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล!” หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพเจ้าลา เขาคิดกับตนเองเงียบๆ ในใจว่าคนอย่างเขาคงไม่เหมาะจะเป็นบิดาใคร เนื่องจากชอบลืมบุตรของตนเองอยู่เสมอ
ไม่สิ ดูเหมือนข้าจะมีลูกชายอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ ชายหนุ่มเกาหัวแกรก แต่ก่อนที่จะทันได้คิดว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ปล่อยพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในออกมา
นี่มันพลังเฮือกสุดท้าย! หวังเป่าเล่อรีบหันไปมองทันที เลิกคิดเรื่องที่ว่าใครคือลูกอีกคนที่ถูกลืม หลังจากที่ดูจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าเยี่ยเหมิงน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก ก่อนที่จะพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในจะคงที่ และไม่น่าจะมีอะไรอันตรายเกิดขึ้น หวังเป่าเล่อก็วาดเท้าเตะลาที่น่าสงสารของตนเอง
“ทำงาน!” ชายหนุ่มเขม็งมอง
เจ้าลาแค่นเสียงทางจมูกเสียงดัง ก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยความขี้เกียจด้วยสีหน้าไม่มีทางเลือก มันดูเหมือนไม่อาลัยอาวรณ์ชีวิตอีกต่อไปขณะมองไปรอบๆ ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกผิด หัวใจพลันอ่อนลง เขาคิดอยู่สักพักก่อนจะหยิบถุงขนมที่เปิดแล้วออกมา
ในถุงนั้นมีขนมเหลืออยู่ไม่ถึงสิบชิ้น ทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อคิดถึงบ้าน เขาจะหยิบขนมนี้ออกมาอม พวกมันถือว่าเป็นของรักของเขาเลยทีเดียว แต่บัดนี้ในเมื่อความรักลูกมีมากกว่าสิ่งอื่น หวังเป่าเล่อจึงกัดฟันหยิบขนมหนึ่งชิ้นออกมาโยนให้เจ้าลา
ดวงตาของเจ้าลาเป็นประกายขึ้นเมื่อเห็น มันรีบพุ่งเข้าใส่ขนมทันที และกำลังจะกินเข้าไป แต่ก็เห็นเสียก่อนว่าขนมชิ้นนั้นดูไม่เหมือนที่เคยกินมา มันดมขนมก่อนแสดงสีหน้าลังเลใจ
“ไสหัวไป เจ้าทำหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ทำหน้าทำตาให้มันเหมาะควรเสีย!” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลาด้วยความหัวเสีย ก่อนจะยกมือขึ้นมาหักนิ้วเสียงดังกรอบแกรบ
เจ้าลาตัวสั่นในทันที ก่อนรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นเต้นและกระหาย จากนั้นก็กินขนมเข้าไปเต็มคำด้วยอารมณ์อิ่มเอมใจถึงขีดสุด เมื่อเห็นดังนั้นหวังเป่าเล่อก็ลูบหัวมันด้วยความพอใจ
“เอาละ ในเมื่อเจ้ากินของล้ำค่าของข้าเข้าไปแล้ว ก็จงไปเฝ้ายามเสีย!” แล้วชายหนุ่มก็เลิกสนใจสัตว์เลี้ยงของตนเองอีกต่อไป เขานั่งลง หยิบโอสถออกมากลืน ก่อนเริ่มทำสมาธิเพื่อฝึกปราณ
ตอนนี้พลังปราณของหวังเป่าเล่ออยู่ในขั้นสูงสุดของปราณกำเนิดแก่นในชั้นต้นแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะก้าวเข้าสู่ชั้นกลาง หลังจากที่ได้รับกระบวนเวทมามากมายก่ายกอง ปราณของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้นมาก แม้ว่าตัวเขาจะยังไม่บรรลุอย่างถ่องแท้สักวิชาก็ตาม ตอนนี้ชายหนุ่มเข้าใกล้ปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลางขึ้นอีกนิดแล้ว ปราณของเขาหลอมรวมเข้ากับฤทธิ์ยา หวังเป่าเล่อกำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองด้วยพลังเฮือกสุดท้าย!
เมื่อเจ้าลาของหวังเป่าเล่อเห็นว่าเจ้าของของตนปลีกวิเวกไปเรียบร้อย มันก็เลิกแสร้งทำเป็นยืนเฝ้ายาม และเริ่มทำท่าทำทางให้ตัวเองอาเจียนออกมาทันที เจ้าลาเป็นประเภทที่กินได้ทุกอย่างบนโลกนี้ ดังนั้นการพยายามทำให้ตนเองสำรอกจึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตมัน แต่ผ่านไปนานมันก็อาเจียนไม่ออกเสียที เจ้าลาผู้โชคร้ายจึงทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเลียพื้นเพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้น ไม่นานนักมันก็กัดพื้นกินกร้วมใหญ่ แต่บนพื้นนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่ เจ้าลาจึงทำได้เพียงกระโดดตัวลอยด้วยความเจ็บปวด
เวลาเดินหน้าผ่านไปสามวัน เจ้าลาเบื่อถึงขีดสุด มนุษย์ทั้งสามยังคงนั่งนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว มันจึงได้แต่มองไปทางทะเลเพลิงที่อยู่ไม่ไกลนัก คิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาทะเลเพลิงและกินเข้าไปเต็มคำ…
ทะเลเพลิงไม่ได้อร่อยอย่างที่คิดไว้ มันจึงตัวสั่นหงึก ก่อนแลบลิ้นออกมาและเดินกลับไปที่เดิม นอนอยู่อย่างนั้นพร้อมเลียพื้นไปด้วย เจ้าลากลอกตา อดคิดไม่ได้ว่าจะดีกว่าไหมหากบิดาของตนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าอ้วนนี่ ที่ทั้งชอบข่มเหงรังแกคนอื่น และยังไม่มีความรับผิดชอบในฐานะพ่อคน
เจ็ดวันต่อมา ร่างของจั่วอี้ฟานส่งเสียงดังกึกก้อง ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่บรรลุปราณได้สำเร็จ พลังของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ระเบิดออกจากกายเขา พร้อมด้วยกลิ่นอายของผู้ที่เข้าใกล้ขั้นกำเนิดแก่นในเข้าไปทุกที
ทันทีที่พลังนั้นปะทุออกมา ภาพมายาที่จะปรากฏขึ้นเฉพาะในผู้ที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในก็ก่อตัวขึ้นเบื้องหลังของชายหนุ่ม ภาพมายานั้นคือกระบี่สีแดง!
กระบี่บินเล่มนี้ต่างจากกระบี่ปกติทั่วไป เนื่องจากมีเพียงตัวกระบี่ ไม่มีด้ามจับ กระบี่ด้ามนี้เต็มไปด้วยคมสันที่อันตราย ทำให้มันดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอันมาก!