หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ตอนอยู่ในดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น เขาง่วนอยู่กับการหาวิชาสืบทอดมาให้ได้มากที่สุด ทำให้ไม่ได้ศึกษากระบวนเวทเกราะจักรพรรดิเลย พอได้อ่านรายละเอียดก็ต้องตื่นตะลึงไปเมื่อได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของกระบวนเวทนี้
ข้ายังมีวิชาสืบทอดอีกมากกว่าร้อยวิชาในหัว ต้องหาเวลามาเรียนรู้ทั้งหมดแล้ว ฝึกทุกวิชาเสร็จข้าอาจจะไร้เทียมทานไปเลยก็ได้! หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย รู้ดีว่าที่คิดนั้นเกินจริงไปหน่อย เขาคิดว่าจะหาวิธีบันทึกวิชาสืบทอดเก็บไว้ ซึ่งน่าจะเป็นการรอบคอบที่สุด
ถ้าต้วนมู่น้อยไม่ยอมสละตำแหน่งให้ตอนข้ากลับไป ข้าจะเอาวิชาสืบทอดไปตอกหน้าให้ดู! หวังเป่าเล่อยืดอกภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้น
ผ่านไปสักพักชายหนุ่มถึงสงบใจลงได้ เขาสูดหายใจลึกตั้งใจฝึกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิต่อ หากไม่คิดฝึกวิชานี้คงไม่ต้องเผชิญความลำบาก เพราะหลังจากลองฝึกดูก็ต้องแปลกใจ…เมื่อพบว่าวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิช่างยากเสียจริง
ขั้นตอนแรกของการฝึกคือการสร้างเส้นปราณนอกร่างกาย วิชาสืบทอดมีบอกรายละเอียดวิธีฝึกไว้ แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะลองทำตามอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่จึงฝึกได้ไม่สำเร็จ
มีอะไรแปลกๆ… หวังเป่าเล่อเกาหัว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ไล่เรียงขั้นตอนต่างๆ ในหัวอย่างตั้งใจ เวลาผ่านไปครึ่งเดือน…ทว่าการฝึกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อกลับไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย
ข้าทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้วนะ! ชายหนุ่มหงุดหงิด สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเข้าใจวิชาสืบทอดมากขึ้น หวังเป่าเล่อมั่นใจมากว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดไปจากขั้นตอนที่บอกไว้ แต่…ความพยายามของเขาที่ผ่านมาเป็นดังหินที่ร่วงลงมหาสมุทร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามมา
เหมือนว่าจะขาดตัวเร่ง… เขาขมวดคิ้ว ผุดนึกถึงตัวตนกล้าแกร่งที่ถ่ายทอดวิชาสืบทอดนี้มาให้ พลันคิดขึ้นว่าตัวตนกล้าแกร่งนั้นอาจจะตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ ตั้งใจไม่ให้ตัวเร่งที่จำเป็นในการฝึกวิชาสืบทอดมา ทำให้วิชากระบวนเวทเกราะจักรพรรดินั้นฝึกได้ยาก และเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้เลย
หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ความคิด สถานการณ์ตอนนี้เหมือนมีภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติมากมายมาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ตนไม่มีวิธีใดที่จะเก็บสมบัติกลับมาได้ เขาปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้จึงหลับตาลงพร้อมกัดฟันแน่น พยายามนึกเนื้อหากระบวนเวทเกราะจักรพรรดิและค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวเร่งที่จะช่วยให้ทราบว่ามันคืออะไรกันแน่
ชายหนุ่มฝึกวิชาต่อไปเรื่อยๆ เจ้าลาที่ไม่มีคนคอยกำกับดูแลเชื่องได้ไม่กี่วันก็คึกคะนองขึ้นมา มันลองลงไปในทะเลเพลิงแล้วรีบกลับขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว พอรู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่ามันจะไปไหน เจ้าลาก็ตาเป็นประกาย กระโดดลงไปแหวกว่ายในทะเลเพลิงต่อ
มันกลับขึ้นมากลางดึก บนเกาะไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่สนุกเหมือนดำอยู่ในทะเลเพลิง ใต้ทะเลเพลิงมีอะไรให้กินเยอะแยะ พอกระหายก็ดื่มลาวาได้
เจ้าลาค่อยๆ ตระหนักได้ว่าหวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวมาเฝ้าจับตาดู มันจึงเริ่มปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่ มันดำอยู่ในทะเลนานสองสามวัน ก่อนจะกลับขึ้นมาด้วยใบหน้าอิ่มเอม
แต่มันก็ยังเด็กและขาดประสบการณ์อยู่มาก ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าหวังเป่าเล่อคอยสังเกตจำนวนวันที่มันหายไปและสีหน้าท่าทางตอนที่มันกลับมาอยู่ ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะไม่รู้ เพราะใบหน้าอิ่มเอมของเจ้าลานั้นเห็นเด่นชัดเกินไป นอกจากนี้…นี่ยังไม่ใช่ครั้งแรกที่มันแอบทำอะไรลับหลังเขา
เจ้าไสหัวไปเจอเนื้อคู่เข้าที่นี่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อเริ่มสงสัยขึ้นมาขณะฝึกวิชา เจ้าลาได้บทเรียนมาหลายครั้งจึงเริ่มฉลาดขึ้น มันจะรอให้หวังเป่าเล่อหมกมุ่นกับการฝึกวิชาก่อนแล้วแอบลงทะเลเพลิงไป
ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์จะแอบตามไปดูว่าเจ้าลากำลังทำอะไรเพราะการฝึกวิชาของตนไม่คืบหน้าไปไหน เขาหงุดหงิดจนไม่มีเวลาไปมัวสนใจเจ้าลา ถึงจะรู้ว่ามันแอบทำอะไรบางอย่างอยู่ก็ตาม
ประสบการณ์การฝึกวิชามานานหลายปีบอกชายหนุ่มว่า ถ้าหาทางแก้ไม่ได้ก็ให้มองมุมกลับ โดยเฉพาะกับการหาตัวเร่งเพื่อฝึกวิชาสืบทอด เขาไม่ควรยึดติดกับปัญหา หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจลดเวลาฝึกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิและหันไปทุ่มฝึกวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงแทน
กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงนั้นง่ายกว่าวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิมาก อัสนีอวตารของหวังเป่าเล่อเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เรื่องอาวุธเวทเองชายหนุ่มก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน เขาได้เสริมพลังฝักกระบี่ขึ้นไปเป็นสมบัติเวทระดับหกก่อนที่จะมายังสำนักวังเต๋าไพศาล อีกแค่ขั้นเดียวก็กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดแล้ว!
แต่ก็เป็นขั้นตอนใหญ่ทีเดียว ทั้งยากและต้องใช้วัตถุดิบมากมายรวมถึงทรายอาวุธด้วย ขอแค่มีแต้มการรบเพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องวัตถุดิบ ส่วนเรื่องความยากในการเสริมพลังฝักกระบี่นั้น…อาจจะท้าทายอยู่มากเมื่อเทียบกับความเชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทของชายหนุ่มในปัจจุบัน
หรือต้องรอจนข้าหลอมอาวุธเวทระดับแปดได้ ข้าถึงสามารถเสริมพลังฝักกระบี่ไปเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้กัน หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จากนั้นก็คำนวณแต้มการรบที่ต้องใช้ในการจัดหาวัตถุดิบทั้งหมดที่ต้องการ ซึ่งเขาต้องใช้ประมาณห้าหมื่นแต้ม อาจจะดูเป็นจำนวนที่มากโขสำหรับคนอื่น แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วถือว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร
ไม่เป็นไร ข้าจะลองพยายามหลอมอาวุธเวทระดับแปดดูก่อน จะได้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทมากขึ้น! เขาตัดสินใจแบ่งเวลามาหลอมอาวุธเวทระดับแปดขณะที่ฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิและกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงไปด้วย
ก่อนจะมายังสำนักวังเต๋าไพศาล เขาจับดวงจิตเทพมาได้จำนวนมาก ขอแค่มีวัตถุดิบเพียงพอก็สามารถหลอมอาวุธเวทขึ้นได้ ชายหนุ่มใช้แต้มการรบหนึ่งหมื่นแต้มซื้อวัตถุดิบมามากมาย จากนั้นก็เริ่มหลอมอาวุธเวท
การถือสันโดษของหวังเป่าเล่อกินระยะเวลานานกว่าสองเดือน ส่วนผลจากการถือสันโดษนั้น…ระหว่างที่ฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิอย่างยากลำบาก เขาก็เริ่มเชี่ยวชาญวิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงจนสามารถสร้างร่างอวตารแยกออกมาจากร่างจริงได้!
ร่างอวตารสร้างขึ้นจากสายฟ้า ดูแตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกของหวังเป่าเล่อพอสมควร แต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงหนึ่งในสามของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อนั้นเก่งกาจกว่าคนที่อยู่ในระดับการฝึกตนขั้นเดียวกัน ดังนั้นร่างอวตารของเขาจึงสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นได้ และอาจชนะได้หลายคนเลยด้วยซ้ำ
จากที่ศึกษากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงมา ขอแค่เขาฝึกวิชาต่อไปและคอยหล่อเลี้ยงร่างอวตารไว้ มันก็จะพัฒนาขึ้นจนมีรูปร่างและพลังเหมือนตนเองไม่มีผิดเพี้ยน คนอื่นจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างร่างอวตารและตัวจริงออกได้ อีกทั้งร่างอวตารของชายหนุ่มยังแกร่งกล้าสามารถสุดๆ ด้วย!
หวังเป่าเล่อรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อฝึกกระบวนเวทนิรันดร์จำแลงคืบหน้าไปได้บ้าง แต่ก็ยังคงทุกข์ใจเพราะการฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิไม่คืบหน้าไปไหนเลย การหลอมอาวุธเวทระดับแปดก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่สามารถหลอมได้สำเร็จเลยสักชิ้น ล้มเหลวไปในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นขั้นที่สำคัญมาก ทำให้อาวุธเวทที่เขาหลอมได้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
โชคดีที่ชายหนุ่มค้นพบต้นตอความผิดพลาดหลังจากลองอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถแก้ไขได้ในเวลาสั้นๆ ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวและพักการฝึกหลอมอาวุธเวทระดับแปดไปก่อน
ข้าคุมความคิดตัวเองไม่ได้ตอนถึงขั้นสุดท้ายของการหลอม เป็นเพราะจิตสัมผัสวิญญาณของข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ทำให้การหลอมดวงจิตเทพไม่ค่อยมั่นคง นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ข้าหลอมได้ไม่สำเร็จ จึงหลอมได้เพียงอาวุธเวทที่สามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว
สงสัยจังว่าเหล่าผู้อาวุโสในสหพันธรัฐที่หลอมอาวุธเวทระดับแปดได้นั้นจัดการกับปัญหานี้อย่างไร หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก เชื่อว่าต้องมีทางแก้ปัญหาแน่ แต่ก็ยากที่จะแก้ได้ที่นี่ เขาออกจากเกาะเพลิงเขียวและมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาล เพื่อหาดูว่าที่สำนักวังเต๋าไพศาลมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับปัญหาที่เขาพบและวิธีแก้ ทว่าแต่ละวิธีนั้นเกี่ยวข้องกับการฝึกหลอมสมบัติเวทและวิชาฝึกจิตสัมผัสวิญญาณ ซึ่งแต่ละวิชานั้นแพงมาก วิชาที่ถูกที่สุดมีราคามากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม
หวังเป่าเล่อพูดอะไรไม่ออก เขาไม่อยากจะเสียแต้มการรบมากมายขนาดนั้น
ข้าไม่เชื่อว่าจะหาทางแก้ด้วยตนเองไม่ได้! ข้าพึ่งพาความสามารถและสติปัญญาของตนเองมาโดยตลอด ข้าต้องหาทางได้แน่! ชายหนุ่มกลับมายังเกาะเพลิงเขียว ยืนมองฟากฟ้ากว้างไกลอยู่หน้าถ้ำที่พัก ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขาสูดหายใจลึก พูดขึ้นในหัวด้วยน้ำเสียงสุดจริงใจ
“แม่นางน้อยคนสวยและมากความสามารถอยู่หรือไม่”
หวังเป่าเล่อรอสักพักแต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากแม่นางน้อย เขากะพริบตาและลองอีกครั้ง
“แม่นางน้อยคนสวย มากล้นด้วยความสามารถ เก่งกาจไม่มีใครเกินอยู่หรือไม่”
ก็ยังคงไม่มีการตอบกลับมา…
“แม่นางน้อยผู้งดงามที่สุดในจักรพิภพ งามล้นพ้นจักรวาล เก่งกาจเกินต้านทานไม่มีใครข่ม คู่ควรแก่การมีนามขนานในบทเพลงตราบนานเท่านาน แสนสง่างามและฉลาดล้ำหาผู้ใดเปรียบอยู่หรือ”
“อยู่” แม่นางน้อยกระแอมกระไอและตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข