หวังเป่าเล่อยังติดตามสถานการณ์ของตระกูลจั่วจากนครอาวุธเทพใหม่ เขาได้รับข้อความเสียงจากกงเต๋าและได้ทราบว่าเฉินมู่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด!
เฉินมู่ เจ้ากล้าดีเกินไปแล้ว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแข็งกร้าวขึ้นมา ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเพียงรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเฉินมู่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเกลียด เขาจึงทำเพียงกดดันอีกฝ่ายจนยอมแพ้ไปเอง
แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ชายหนุ่มมีต่อเฉินมู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เฉินมู่กล้าดีมาทำร้ายเพื่อนของตน เหมือนดังว่าได้ทิ้งหนามแหลมไว้ภายในจิตใจของเขา ต่อไปเวลาเจอหน้าเฉินมู่เมื่อไหร่ก็คงนึกถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอีกครั้ง ทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้คือกำจัดเจ้านั่นออกจากดาวอังคารไป!
หวังเป่าเล่อยังได้รับข้อความจากกงเต๋าแจ้งว่าจั่วอี้ฟานจะไปฝึกวิชาบนดวงจันทร์ เขาเงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ทราบก่อนจะถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างภายในตระกูลจั่ว แต่ก็เดาได้ว่าจั่วอี้ฟานคงได้รับผลกระทบอย่างหนัก เขาเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นยุคกำเนิดวิญญาณ…แม้บนโลกจะมีกฎระเบียบมากมาย แต่หวังเป่าเล่อที่ไต่เต้ามาเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงก็เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่ทางสหพันธรัฐให้ค่ามากกว่าสิ่งอื่นๆ นั่นก็คือกฎแห่งความแข็งแกร่ง
ความแข็งแกร่งที่ว่านี้หมายถึงทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และระดับการฝึกตน ทั้งสองสิ่งนั้นมีความสัมพันธ์กัน ขาดสิ่งใดไปก็ไม่ได้อีกสิ่งหนึ่ง ใครได้สิ่งแรกมาก่อนก็ย่อมได้สิ่งหลังตามมา
ตามกฎแห่งความแข็งแกร่งแล้ว คนที่แข็งแกร่งย่อมกลืนกินคนที่อ่อนแอ เป็นกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในจักรวาลแห่งเต๋า!
ระดับการฝึกตนคือทุกสิ่ง! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เงยหน้ามองไปทางดวงจันทร์ ผ่านไปสักพักก็หันไปมองทางเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ ดวงตาของเขาเริ่มหรี่เล็กลง ปราณมืดจางๆ ที่คนอื่นไม่สามารถสัมผัสได้ฉายแสงขึ้นในแววตาของชายหนุ่ม
อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าจังหวะที่หวังเป่าเล่อหันไปมองทางเขตปกครองตนเอง เฉินมู่ก็พลันเงยหน้าขึ้น เขากัดฟันกรอด จ้องไปทางตึกสำนักงานของหวังเป่าเล่อ ดวงตาขึ้นสีแดงจากเส้นเลือดที่ปูดโปน ใบหน้าเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง
“หวังเป่าเล่อ!” เฉินมู่ร้องคำรามลั่น เกือบขยี้แผ่นหยกในมือจนแหลก!
แผ่นหยกในมือของชายหนุ่มเป็นสิ่งที่ได้มาจากข้อตกลงกับจั่วอี้เซียน หลังจากจัดแจงให้คนนำตัวจั่วอี้ฟานไปส่งให้ตระกูลจั่ว อีกฝ่ายก็ส่งแผ่นหยกกลับมา เขาให้คนนำแผ่นหยกฉบับจริงมาส่งให้เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำสำเนาสำรองเก็บไว้
แผ่นหยกนี้มีบันทึกภาพที่ฝ่ายวินัยอาณานิคมอัดภาพเหตุการณ์ในถ้ำลับของผู้ฝึกตนนอกรีต จั่วอี้เซียนส่งให้ตระกูลช่วยกู้ข้อมูลให้ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่ตระกูลจั่วมีไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ก็ถูกกู้มาได้
เฉินมู่รีบตรวจดูทันทีที่ได้รับแผ่นหยกมา พอเปิดดูเขาก็แทบคลั่ง ช่วงแรกของบันทึกภาพนั้นฉายภาพต่างๆ ชัดเจน ชายหนุ่มหยุดหายใจเมื่อเห็นภาพใบหน้าอ้วนกลมของหวังเป่าเล่อและสีหน้าราบเรียบของหลี่หว่านเอ๋อร์ ทั้งคู่อยู่ในถ้ำลับกันเพียงลำพัง
เห็นเพียงเท่านี้เขาก็รับไม่ได้แล้ว จากนั้นภาพก็มืดไป มองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่นิด แต่ยังได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์!
“หวังเป่าเล่อ ถอดเสื้อผ้าออกเสีย” เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหน้าผากของเฉินมู่ทันทีที่เขาได้ยินประโยคดังกล่าว แทบจะเก็บงำความเดือดดาลเอาไว้ไม่ไหว เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของหลี่หว่านเอ๋อร์
นางแพศยา เจ้าเป็นคนให้ท่าก่อนอย่างนั้นหรือ! เฉินมู่ห้ามตัวเองไม่ให้บดขยี้แผ่นหยกในมือ เขากัดฟันกรอดทนฟังต่อ ไม่นานก็ได้ยินบทสนทนาต่อไปดังขึ้น
“เจ้า…อย่าได้คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นสิ เรายังไม่ได้ไปถึงจุดที่ต้องจัดกันสักยกก่อนตายเสียหน่อย”“แล้วอย่างไรต่อ เจ้าจะมา หรือให้ข้าไปหา ระดับการฝึกตนของข้าไม่ได้สูงเช่นเจ้า ข้าเลยมองอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ หาเจ้าไม่เจอ ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ตรงไหน” ประโยคเหล่านี้ฟังดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรเท่าไร แต่ดวงตาของเฉินมู่ก็ยังแดงก่ำ ประโยคถัดไปทำให้เขาถึงกับร้องคำรามด้วยความเดือดดาล
ประโยคนั่นก็คือ…
“ทีนี้ก็เอาเสื้อผ้ามาคลุมร่างเราไว้”
ฟังดูแล้วไม่ควรคิดอะไรมาก มิเช่นนั้นจะรู้ได้ว่าทั้งสองกำลังเปลือยกายอยู่ ส่วนคำว่า ‘ร่างเรา’ ก็หมายความว่าทั้งสองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน…ชายหนุ่มคำรามออกมาด้วยความโกรธ ประโยคถัดมานี่เองที่เป็นจุดจบของทุกอย่าง
“ถ้าเจ้ายังอยากมีร่างกายครบสมบูรณ์ถึงตอนที่มีคนมาช่วยก็จงหยุดมือเสีย!” เฉินมู่ตัวสั่นระริกเมื่อได้ยินถ้อยคำของหลี่หว่านเอ๋อร์ ภาพเหตุการณ์พลันปรากฏขึ้นในหัว หวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังเปลือยกายกอดกกกันอยู่ จากนั้นชายหนุ่มก็กระทำบางสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ดูไม่สะทกสะท้านอะไร เพียงแต่ตอบปฏิเสธไปเฉยๆ
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น หากเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงเท่านี้ก็คงจะดี แต่…เนื้อหาบันทึกภาพในแผ่นหยกกลับจบลงดื้อๆ การกู้เนื้อหาทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์เป็นเรื่องยากมาก พวกเขาสามารถกู้ข้อมูลมาได้เพียงเท่านี้ เหตุการณ์ต่อจากนั้นมีเพียงแค่หวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์เท่านั้นที่รู้
บันทึกภาพที่สิ้นสุดเพียงเท่านั้นทิ้งให้เฉินมู่จินตนาการไปต่างๆ นานา เขาโมโหจนแทบจะระเบิด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงสงบใจลงได้ แต่ดวงตาของชายหนุ่มนั้นยังคงคุกรุ่นไปด้วยเพลิงแค้น
เขารู้ว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ในบันทึกภาพ ตนและหลี่หว่านเอ๋อร์ยังไม่ได้หมั้นกัน ถึงกระนั้นก็ทำใจรับไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มเข้าใจว่าทั้งคู่กอดกันเพื่อสร้างความอบอุ่น หากไม่ทำเช่นนั้นอาจจะหนาวจนแข็งตาย แต่เฉินมู่กลับคิดว่าหลี่หว่านเอ๋อร์น่าจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นให้จบๆ จะได้ไม่มาเป็นปัญหาให้กับตนเช่นนี้
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะเป็นหรือตาย เขาสนเพียงว่าเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นทำให้ตนต้องอับอาย!
นางแพศยาหลี่หว่านเอ๋อร์ ข้าจะหาทางทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมาน เจ้าไม่กลัวตายใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องร้องขอความตายเอง! ส่วนหวังเป่าเล่อ…ไอ้ชายชู้ ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ถึงข้าจะแตะต้องเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ทำร้ายคนที่เจ้ารักได้ จั่วอี้ฟานเป็นแค่เหยื่อรายแรก ข้าจะจัดการคนรอบข้างของเจ้าให้หมด!
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เขาเงยหน้าขึ้นจ้องไปทางตึกสำนักงานของศัตรูคู่อาฆาตตาไม่กะพริบ ดวงตาของเฉินมู่และหวังเป่าเล่อเหมือนจะสบประสานกันผ่านตึกรามมากมายที่ตั้งเรียงรายกั้นทั้งสองไว้
อีกคนที่ต้องประสบปัญหาคือหลี่หว่านเอ๋อร์ ถึงแม้นางจะรำคาญเฉินมู่ แต่การหมั้นของทั้งสองก็ผ่านการตกลงเรียบร้อยแล้ว ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรกับเรื่องนี้อีก นางเองก็ต้องลำบากเพราะหวังเป่าเล่อ การสั่งปิดตายเขตปกครองตนเองก่อนหน้านี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ลงกว่าเก่า เนื่องจากนางไปข่มขู่หวังเป่าเล่อไว้
ขณะที่สายใยความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงที่มองไม่เห็นกำลังก่อตัวขึ้นในนครใหม่ หวังเป่าเล่อก็ถอนสายตาออกไป เขาครุ่นคิดสักพักหนึ่งก็ตัดสินใจส่งข้อความเสียงไปหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพื่อเตรียมการเผื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ชายหนุ่มต้องการอำนาจของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเพื่อให้มั่นใจว่าครอบครัวของตนจะปลอดภัย
ด้วยสถานะและความสำคัญของเขาต่อสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ทำให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะดูแลรักษาความปลอดภัยของครอบครัวตนเป็นอย่างดี ตอนแรกชายหนุ่มคิดจะส่งคนไปรับบิดามารดามาที่ดาวอังคาร แต่ที่นี่เองก็ไม่ได้ปลอดภัยเต็มที่ ประกอบกับพวกเขาไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมบนนี้ หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
ขณะเดียวกัน ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังไตร่ตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจั่วอี้ฟาน พอได้เห็นความเด็ดขาดของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เห็นจุดอ่อนของตนเอง ในฐานะผู้นำสำนัก เขายังมีความกระตือรือร้นและความเลือดร้อนอยู่ เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ถึงเวลาแล้วที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะต้องแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งของตนเอง
หลังจากเหตุการณ์ของจั่วอี้ฟานก็มีมาตรการป้องกันต่างๆ ออกมา หวังเป่าเล่อกลบฝังความรู้สึกที่มีต่อเฉินมู่ไว้ในใจ รู้ดีว่าตนจะต้องจัดการเรื่องนี้ตามกฎระเบียบของสหพันธรัฐ จะทำอะไรวู่วามไปไม่ได้
อีกทั้งยังตระหนักดีว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะระดับการฝึกตนของตนยังไม่สูงพอ หากตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน เหตุการณ์ทั้งหมดคงจะไม่เป็นเช่นนี้
ฝึกตน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เดินออกจากตึกสำนักงานกลับที่พักเพื่อเริ่มฝึกวิชา ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าตนใกล้จะบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายเป็นขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์แล้ว
ณ ขณะนั้น ไกลออกไปจากดาวอังคารและระบบสุริยะ ในห้วงอวกาศไร้ขอบเขต โลงศพกำลังเร่งความเร็วราวกับจะเร่งรีบฝ่าเหล่าดวงดารา ห้วงจักรวาลบิดเบี้ยวไปเมื่อโลงศพเคลื่อนตัวผ่าน มันล่องลอยไปในกาลอวกาศ น่าจะอีกหลายร้อยหลายพันปีจึงจะถึงพื้นโลก หรือไม่ก็อาจมาถึงพื้นโลกแล้ว…เมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน!
อีกด้านของห้วงอวกาศ ณ จักรวาลที่อยู่ไม่ไกลจากระบบสุริยะ ในกาลอวกาศเดียวกันนี้ มีแมงกะพรุนสีดำลอยตัวไปมาอย่างไร้ทิศทาง หากไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น แมงกะพรุนตัวนั้นน่าจะลอยเฉียดขอบระบบสุริยะไป…