หลังจากเหตุการณ์เรื่องจั่วอี้ฟานจบลง ทุกกลุ่มอำนาจการเมืองในสหพันธรัฐต่างให้ความสำคัญกับดาวรุ่งจากดาวอังคารอย่างหวังเป่าเล่อมากขึ้น พวกเขาตัดสินใจว่าจะไม่ไปทำให้ชายหนุ่มต้องขุ่นเคืองใจ
เฉินมู่วางแผนแก้แค้นไว้แล้ว แต่ทางตระกูลส่งคำเตือนที่เข้มงวดมา บอกให้ชายหนุ่มเจียมตัวในนครแห่งใหม่ และไม่ควรทำอะไรที่จะสร้างความบาดหมางขึ้น
เฉินมู่ยังคงดื้อดึง แต่เส้นสายและอำนาจของตนล้วนมีรากฐานมาจากตระกูลทั้งนั้น เขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน อดคิดถึงส่วนที่หายไปของบันทึกภาพไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น แต่ก็ไร้ซึ่งอำนาจจะทำอะไรได้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกอย่างดูสงบสุขดี การก่อสร้างนครแห่งใหม่และเขตปกครองตนเองเป็นไปอย่างราบรื่น มีการปรับปรุงเพื่อเติมจนตัวนครใกล้จะมั่นคงสมบูรณ์ ทางสหพันธรัฐและฝ่ายปกครองอาณานิคมดาวอังคารได้วางแผนขนย้ายประชากรกลุ่มใหม่มายังเขตนครแห่งใหม่
หวังเป่าเล่อตั้งใจจะเก็บตัวฝึกวิชาจนบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายไปขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ แต่ก็มีเรื่องงานปกครองต่างๆ ให้ต้องจัดการมากมาย แม้จะสามารถแบ่งงานส่วนใหญ่ไปให้เหล่านายกเทศมนตรีจัดการได้ ชายหนุ่มก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายประชากรกลุ่มใหม่อยู่ดี
สองสัปดาห์ของการถือสันโดษผ่านไป ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ออกจากที่พักในเช้าที่สดใสและมุ่งหน้าไปยังสำนักงานของตน เขาต้องไปจัดการแผนโครงการขนย้ายประชากรต่างๆ กับเหล่านายกเทศมนตรี นอกจากนี้จินตั้วหมิงยังส่งข้อความเสียงมาเมื่อวาน บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับชายหนุ่มหลังจากจบการประชุม
ชายหนุ่มเดินออกจากที่พักมาพบฟ้าโปร่งใส แดดอ่อนๆ ฉายแสงสาดส่อง แต่ก็มีลมเย็นพัดผ่านจนหนาวไปถึงกระดูก ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนดาวอังคาร
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่าน เขาหันมองเหล่าผู้ฝึกตนที่ประจำการในเขตที่พักคอยป้องกันตรวจตราบริเวณรอบๆ กำลังเดินมาไกลๆ ชายหนุ่มจ้องอยู่จนกระทั่งพวกเขาหันมาพบ เหล่าผู้ฝึกตนหยุดเดินและทำความเคารพเขาทันใด หวังเป่าเล่อรู้สึกเอ่อล้นในใจ
ไม่ทันไรเขาก็อาศัยบนดาวอังคารมาเกินหนึ่งปีแล้ว มีอะไรมากมายเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ข้าเริ่มมีอายุแล้วสินะ หวังเป่าเล่อตบพุงตัวเอง คิดในใจว่าตนย่างเข้าสู่ช่วงวัยยี่สิบแล้ว เขาได้แต่นึกเสียดายว่าเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว ชีวิตคนเราช่างเหมือนความฝัน…
ระหว่างที่กำลังจมอยู่กับห้วงความคิด ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะหยิบเรือบินออกมาที่ด้านหน้าที่พักก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองมา เขาหันกลับไปมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เบื้องหลังของเขา หรือระบุให้แน่ชัดก็คือที่พักหลังข้างๆ ประตูหน้าตำหนักเพิ่งจะเปิดออก หลี่หว่านเอ๋อร์ในเครื่องแบบเดินออกมา นางมองไปทางหวังเป่าเล่อก่อนจะขมวดคิ้ว จากนั้นก็เดินผ่านไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
บริเวณที่หวังเป่าเล่ออาศัยอยู่นั้นเป็นเขตพำนักพิเศษของนครใหม่ที่ให้คนในตำแหน่งนายกเทศมนตรีขึ้นไปอยู่อาศัย แต่กงเต๋าและคนอื่นๆ มักจะพำนักอยู่ประจำเขตดูแลของตน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มักไม่ค่อยมีใคร มีเพียงหลี่หว่านเอ๋อร์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่หลังจากมาถึงนครใหม่
หวังเป่าเล่อกลับมาที่พักเป็นครั้งคราวเมื่อต้องการถือสันโดษหรือหลอมวัตถุเวท และนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเจอหน้ากันที่นี่ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปเมื่อได้รู้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์พักอยู่ข้างตำหนักที่พักของตัวเอง
หวังเป่าเล่อมองหลี่หว่านเอ๋อร์เดินผ่านไปเงียบๆ หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เหมือนนางจะไม่สนใจว่าชายหนุ่มอยู่ตรงนั้นขณะที่หยิบเรือบินออกมาและเตรียมตัวขับออกไป
หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจท่าทีของหลี่หว่านเอ๋อร์ เพราะเฉินมู่ นางจึงมาขู่เข็ญเขาถึงสองครั้ง คนทั้งคู่ไม่ได้เกลียดกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ช่างห่างเหินและเย็นชา
ความบาดหมางระหว่างกันไม่ได้หยุดหวังเป่าเล่อให้มองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยแววตารู้สึกผิด เขามองไล่หลังนางเดินขึ้นเรือบินไป
ชายหนุ่มจ้องมองเรือบินลำคุ้นเคยด้วยความรู้สึกผิดที่อัดแน่นในอก เขาเคยขึ้นเรือบินลำนั้น ยังจำได้ว่าภายในตกแต่งอย่างดงาม มีเก้าอี้นุ่มสบายให้นั่ง
น่าเสียดายจริงๆ ที่ข้าไม่มีโอกาสได้นั่งบนนั้นอีกแล้ว หวังเป่าเล่อส่ายหัว กำลังจะหันหน้าไปทางอื่น แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตนจึงหันไปจ้องแผ่นหลังของหลี่หว่านเอ๋อร์อีก
อาจเป็นเพราะเครื่องแบบที่ส่งให้รูปร่างงดงามของนางดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก เครื่องแบบที่นางสวมใส่อยู่ปิดบังรูปโฉมอันสมบูรณ์แบบไว้มิดชิด ชายใดได้มาเห็นก็คงคุมเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ในจิตใจไว้ไม่ได้
ความงดงามทั้งหมดนี้หลี่หว่านเอ๋อร์ถือครองไว้แต่เพียงผู้เดียว นางมีรูปโฉมสวยงามคล้ายกับหลี่อี้ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์เหนือชั้นกว่าหลายเท่าในทุกๆ ด้าน บรรยากาศเย็นชาที่นางปล่อยออกมาทำให้นางเป็นดังกุหลาบน้ำแข็งที่มีหนามแหลมแสนอันตรายแต่ก็เย้ายวนใจ
หวังเป่าเล่อเองก็มองหลี่หว่านเอ๋อร์เช่นนั้น ชายหนุ่มเหลือบมองอีกฝ่าย สายตาของเขาจับจ้องไปยังบั้นท้ายของนางเป็นสิ่งแรกโดยสัญชาตญาณ
เขาได้แต่ถอนหายใจ จำได้ว่า…ตนเคยได้จับ ได้ลูบคลำ ช่างนุ่มนวลและเด้งมือ ทุกสิ่งนั้นยอดเยี่ยมไปหมด แต่สิ่งล้ำค่าเช่นนี้จะต้องตกเป็นของเฉินมู่ผู้น่ารังเกียจ หวังเป่าเล่อหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อคิดว่าตนอาจไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอีก
ช่างเถอะๆ มีปลาอีกมากมายในน้ำ หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นชายผู้มีเกียรติและมีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ นางต่างหากที่เป็นฝ่ายสูญเสีย ข้าเห็นภาพนางเศร้าโศกเสียใจไปชั่วชีวิต หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนนั้นคิดถูก เขาละสายตาจากนาง หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหันกลับมามองชายหนุ่มก่อนจะขับเรือบินทะยานออกไป
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว นำเรือบินออกมาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสำนักงาน เขาพบหลี่หว่านเอ๋อร์อีกครั้งพร้อมกงเต๋าและคนอื่นๆ เวินไหวกับฟางจิ้งเองก็อยู่ในสำนักงานด้วยเช่นกัน มีเพียงเฉินมู่ที่ไม่มา แต่ส่งตัวแทนมาร่วมประชุมแทน
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจที่จะขุดสาวราวเรื่องอะไรให้มากความ เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม แต่เมื่อได้ลงมือแล้วจะต้องมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องทุกข์ระทมหรือไม่ก็หายไปจากชีวิตของตน
การตรวจสอบแผนโครงการขนย้ายประชากรเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อคุยกันจนได้ข้อสรุป หวังเป่าเล่อก็ส่งแผนโครงการฉบับสมบูรณ์ไปให้เจ้านคร
หลังจบการประชุม หลี่หว่านเอ๋อร์ก็รีบออกไปในทันทีด้วยสีหน้าราบเรียบ เวินไหวและฟางจิ้งพยักหน้าให้หวังเป่าเล่ออย่างไม่เต็มใจเพื่อแสดงท่าทีเป็นมิตรก่อนจะกลับออกไป
จากนั้นกงเต๋าและหลินเทียนหาวก็ออกจากที่ประชุมไป เหลือเพียงหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิง จินตั้วหมิงคลายปกเสื้อ ก่อนจะนั่งลงหน้าหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาฉายแววลุ่มลึกขณะมองจ้องไปยังชายตรงหน้าก่อนจะหัวเราะขึ้น
“เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับหลี่หว่านเอ๋อร์เคยมีอดีตบางอย่างร่วมกัน…”
“ทำไม เจ้าสนใจหลี่หว่านเอ๋อร์หรือ” หวังเป่าเล่อหันไปถลึงตามองจินตั้วหมิง ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมากินพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” จินตั้วหมิงตัวสั่นอยู่ภายในพลางรีบส่ายศีรษะ
“แม้แต่เจ้าเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เข้าเรื่องกันดีกว่า เมื่อไหร่เจ้าจะเอาอาวุธเวทระดับเก้ามาแลกกับเจ้าลาสุดยอดเยี่ยมของข้าเสียที” หวังเป่าเล่อหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างเหลืออด ทั้งสองผ่านอะไรมาด้วยกันมากมายทำให้สนิทสนมกันจนไม่ต้องมามัววางท่า การเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปมาก็ถือเป็นเรื่องปกติ
จินตั้วหมิงหงุดหงิดเมื่อหวังเป่าเล่อยกเรื่องเจ้าลามาพูดอีกครั้ง เขาเจรจาทำธุรกิจมาทั้งชีวิต แต่ข้อเสนอเรื่องเจ้าลาถือเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง ชายหนุ่มเลิกพูดเรื่องหลี่หว่านเอ๋อร์ก่อนจะเริ่มกระซิบกระซาบ
“เป่าเล่อ เจ้าเคยได้ยิน…เรื่องระเบิดต้านทานวิญญาณหรือไม่”
ทันทีที่จินตั้วหมิงเอ่ยถาม ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงวาบ เขาพยักหน้ารับ
“กะแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องเคยได้ยินเรื่องระเบิดต้านทานวิญญาณเช่นกัน เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าระเบิดต้านทานวิญญาณเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่กลุ่มไตรจันทราร่วมมือกับทางสหพันธรัฐสร้างขึ้น เรามีศูนย์วิจัยคอยศึกษาและทดลองอยู่หลายแห่ง…
“ข้าอยากเชิญฝ่ายวิจัยวิญญาณของทางสหพันธรัฐให้มาตั้งศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณในเขตของข้า ในนครดาวอังคารแห่งใหม่ของเรา!
“พอตั้งศูนย์วิจัยเสร็จ ชื่อเสียงของนครใหม่และสถานะของข้าในกลุ่มไตรจันทราก็จะพุ่งสูงขึ้น!” จินตั้วหมิงกระซิบบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว ขาดเพียงการยินยอมจากหวังเป่าเล่อเท่านั้น
“ศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณหรือ” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจัง เขาวางขนมลง หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น
“จะปลอดภัยไหม”
“เรื่องความปลอดภัยไม่มีปัญหาแน่นอน ข้าขอรับรองได้ จริงๆ แล้วมีศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณตั้งอยู่ที่นครหลักดาวอังคาร ถ้ามันไม่ปลอดภัยเขาคงไม่ให้สร้างที่นั่นหรอก
“นอกจากนี้ ข้าไปขุดข้อมูลมาแล้ว พบว่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงประจำศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณของสหพันธรัฐ เจ้าผินฟาง…จะมาเยือนดาวอังคารในอีกไม่กี่วันเพื่อตรวจสอบโครงการวิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณที่ศูนย์ดาวอังคารและแก้ไขปัญหาต่างๆ ชายผู้นี้เป็นคนสำคัญมาก เป็นคู่ครองของเจ้านครดาวอังคาร…ข้าส่งเรื่องขอไปเยี่ยมชมศูนย์และเข้าพบกับปรมาจารย์เจ้าเป็นการส่วนตัวแล้ว ถ้าเขาให้การสนับสนุนโครงการเรา พวกเราได้ตั้งศูนย์วิจัยในนครใหม่อย่างแน่นอน!”
“เจ้าผินฟาง? คู่ครองของเจ้านครมีแซ่ว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ใช่ ส่วนใหญ่แล้วปรมาจารย์เจ้าพำนักอยู่บนโลกเป็นหลัก พูดแล้วก็นึกได้ว่าแม้แต่ผู้นำสหพันธรัฐยังเกรงใจทั้งสองคนเลย คนหนึ่งก็ปกครองดูแลดาวอังคาร ส่วนอีกคนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านระเบิดต้านวิญญาณ!” จินตั้วหมิงถอนหายใจ เหลือบมองหวังเป่าเล่อก่อนจะพูดต่อ
“พวกเขามีลูกสาวคนหนึ่ง…”