แม้ว่าในยุคกำเนิดวิญญาณนี้จะไม่ได้ขาดแคลนเคล็ดวิชา แต่เคล็ดวิชาต่างๆ ก็ถือว่ายังมีอยู่ไม่มาก หนำซ้ำกลุ่มอำนาจแต่ละกลุ่มต่างเก็บเคล็ดวิชาของตนไว้เป็นความลับไม่ให้บุคคลภายนอกรู้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่กลุ่มย่อยเล็กๆ รวมถึงผู้ฝึกตนพเนจรซึ่งไม่ได้มาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าหรือกลุ่มอำนาจหลักอื่นๆ จะเข้าถึงเคล็ดวิชาได้แม้เพียงสักวิชาหนึ่ง
ในนครใหม่นี้แม้มีผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจต่างๆ มารวมตัวกัน แต่ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนร้อยล้านคนที่กระจัดกระจายกันไปหลังการขนย้ายก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันแม้เหล่าผู้ฝึกตนจากกลุ่มต่างๆ จะไม่ได้ขาดเคล็ดวิชา แต่ถ้ามีเคล็ดวิชาใหม่ที่ต่างไปจากวิชาอื่นๆ ก็คงไม่มีใครบอกปฏิเสธ เคล็ดเวทนี้จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เคล็ดเวทอายุวัฒนะเริ่มเผยแพร่ออกไปด้วยเหตุผลนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเคล็ดเวทนี้กระจายไปทั่วได้อย่างไร รู้แค่จู่ๆ ทุกคนก็เริ่มพูดถึง บางคนถึงกับเริ่มฝึกเลยด้วยซ้ำ
เคล็ดเวทอายุวัฒนะมีลักษณะเด่นเหมาะแก่การเผยแพร่ทุกประการ อย่างแรกเลยคือสามารถฝึกได้โดยง่าย อย่างที่สองคือไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จำเป็นต่อการฝึก ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือบุคคลธรรมดาก็สามารถฝึกได้หมด อย่างสุดท้ายคือเคล็ดวิชานี้ไม่ได้ใช้กระตุ้นพลังวิญญาณ แต่ใช้ฝึกฝนร่างกายของผู้ฝึก!
ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงไม่ค่อยเป็นกังวล การฝึกฝนร่างกายนั้นจะช่วยเสริมพลังกายของผู้ฝึกเพียงเท่านั้น หากมีข้อด้อยใดๆ ที่ไม่เด่นชัด ก็ไม่เป็นอันตรายเท่าการฝึกเคล็ดวิชาที่ต้องเกี่ยวข้องกับปราณวิญญาณ
นอกจากนี้ ผู้ฝึกเคล็ดเวทนี้ยังสามารถเห็นผลการฝึกได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสำเร็จวิชาแล้วจะสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของตนแข็งแกร่งขึ้นมาก อีกทั้งยังดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ผู้ฝึกตนหลายคนในนครอาวุธเทพใหม่ได้ลองศึกษาตัวเคล็ดเวทก่อนแล้วแต่ก็ไม่พบปัญหาใดๆ มีจุดพึงระวังเพียงหลังจากสำเร็จวิชานี้แล้ว ผู้ฝึกจะอยากอาหารมากขึ้นกว่าเดิม
แต่หลายๆ คนก็มองว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหา นอกจากจะไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะควรในสายตาคนส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีแหล่งพลังงานมาช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ข้อเสียนี้จึงถือว่าสอดคล้องกับกระบวนการรับและเผาผลาญพลังงาน ดังนั้นเคล็ดเวทอายุวัฒนะจึงเป็นที่แพร่หลายในทันทีโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ
เคล็ดเวทดังกล่าวได้รับการบอกต่ออย่างรวดเร็ว ช่วงแรกนิยมกันในเขตของจินตั้วหมิงเท่านั้น แต่ก็เริ่มเผยแพร่ออกไปยังเขตของหลินเทียนหาวและเขตของกงเต๋า ซึ่งผู้ฝึกตนของกองทัพมากมายได้ลองฝึกและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
นอกจากนี้ยังเผยแพร่ไปยังเขตปกครองตนเองด้วย เคล็ดเวทอายุวัฒนะเรียกความสนใจจากหลี่หว่านเอ๋อร์และพวกกงเต๋าได้เป็นอย่างดี
หลี่หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งทราบทีหลังว่าหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงเดินทางออกไปนอกนคร ด้วยความรับผิดชอบในฐานะรองเจ้าเมือง นางจึงรีบจัดประชุมศึกษาเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะทันที
ระหว่างการประชุม พวกเขาศึกษาเคล็ดเวทอายุวัฒนะอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังส่งไปให้หลายกลุ่มอำนาจช่วยตรวจสอบด้วย แต่ทั้งสหพันธรัฐนั้นนอกจากหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่มีใครเคยฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืด แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ไม่สามารถเข้าใจเคล็ดเวทนี้ได้อย่างถ่องแท้ เนื่องจากมีเพียงผู้ที่ฝึกฝนเท่านั้นจึงจะเข้าใจตัววิชาได้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นแม้จะพบข้อเสียต่างๆ แต่โดยรวมแล้วเคล็ดเวทอายุวัฒนะก็ถือเป็นเคล็ดเวทที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายผู้ฝึกได้จริง
แต่หลายๆ กลุ่มอำนาจหลังจากลองฝึกเคล็ดเวทดูก็ไม่ได้ผลลัพท์ชัดเจนอะไร มีเพียงบนดาวอังคารเท่านั้นที่ผู้ฝึกได้รับผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันพวกหลี่หว่านเอ๋อร์ได้ตรวจสอบจนพบว่ามีเพียงคนเดียวที่เผยแพร่เคล็ดเวทอายุวัฒนะนี้ เขามีประวัติใสสะอาด ใช้ชีวิตบนดาวอังคารอย่างสงบสุขมาโดยตลอด
ชายผู้นั้นได้บอกเคล็ดเวทกับเพื่อนรักสองคน จากนั้นเคล็ดเวทก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วโดยสองคนนั่น การเคลื่อนไหวทุกอย่างดูปกติดี ติดแค่เพียงว่า…เคล็ดเวทกระจายไปอย่างรวดเร็วเกินไป
แม้ตัวเคล็ดเวทจะไม่ได้มีปัญหาใดๆ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตัดสินใจที่จะควบคุมและชะลอไม่ให้เคล็ดเวทนี้เผยแพร่ออกไปเร็วนัก ทว่านางไม่ได้ใช้อำนาจสั่งห้ามฝึก เนื่องจากตั้งใจจะดูเชิงไปสักพักก่อนจะตัดสินใจ
การชะลอการเผยแพร่ทำให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะฝึกเคล็ดเวทน้อยลง ถึงกระนั้นชายชุดฟ้าที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เป็นกังวลใจและไม่ได้ออกจากที่พักของตนเลย เจ้าลาจึงยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอกที่พักของเขา มันเองก็ไม่ได้กังวลอะไรเช่นกัน คิดว่าหากได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะก็ถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอย!
ตอนนี้หวังเป่าเล่อทราบข่าวเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะแล้ว เขาได้เคล็ดเวทมาจากหลินเทียนหาว แต่เมื่อดูคร่าวๆ แล้วก็ไม่พบอะไรที่ผิดแปลก หลังจากที่มาถึงนครหลักดาวอังคารพร้อมจินตั้วหมิง ทั้งสองก็ได้ส่งคำร้องขอเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและขอเข้าพบเจ้าผินฟาง ซึ่งก็ได้รับอนุมัติทั้งสองคำร้อง ดังนั้นชายหนุ่มที่โดนจินตั้วหมิงรบเร้าให้มาด้วยจึงเลือกเก็บเรื่องเคล็ดเวทดังกล่าวไว้พิจารณาในภายหลัง จากนั้นก็เดินทางไปยังศูนย์วิจัยที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาพร้อมจินตั้วหมิง
แม้จะมีข่าวลือว่าศูนย์วิจัยตั้งอยู่บนนครหลักดาวอังคาร แต่จริงๆ แล้วมันตั้งอยู่ใต้ดิน มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แม้หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงจะส่งคำร้องมาแล้วก็ยังต้องผ่านการตรวจตราหลายต่อหลายรอบถึงจะผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายมาได้
หวังเป่าเล่อรู้เพียงว่าศูนย์วิจัยตั้งอยู่ใต้ดิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่นี่อยู่ใต้ตัวนครโดยตรงหรือเปล่า พื้นที่ของศูนย์วิจัยนั้นกว้างขวางมาก เมื่อทั้งสองออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็พบกับสิ่งที่ดูเหมือนนครขนาดย่อม มีทางเดินสร้างจากแผ่นโลหะมากมายอยู่ล้อมรอบ ปลายทางแต่ละสายเชื่อมไปยังที่โล่งกว้าง
มีนักวิจัยแต่งกายด้วยเครื่องแบบสีขาวเดินว่อนไปมาอยู่มากมาย บางครั้งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของอสูรดังแว่วมาจากที่แห่งใดก็ไม่ทราบได้ ทันทีที่ทั้งคู่เดินออกมาจากวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในหลายสิบคนที่พุ่งความสนใจมายังเขาและจินตั้วหมิง ก่อนแรงกดดันนั้นจะสลายไปหลังจากที่พวกเขาตรวจสอบทั้งสองเสร็จ
หวังเป่าเล่อสูดหายใจรับเอาปราณวิญญาณเข้าไปแค่เฮือกเดียวก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายเบาหวิวขึ้น พลังปราณในตัวตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งปราณวิญญาณยังพุ่งเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มโดยตรงโดยที่เขาไม่ต้องพยายามอะไร
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไป
ปราณวิญญาณในพื้นที่นี้หนาแน่นเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากอยู่ข้างนอกคงจะเกิดเป็นหมอกวิญญาณไปแล้ว แต่ในนี้มีวัตถุเวทที่ช่วยคัดกรองความหนาแน่นของปราณวิญญาณทำให้ไม่ก่อตัวเป็นหมอก
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าภายในศูนย์วิจัยนี้มีชิ้นส่วนกระบี่สำริดเขียวโบราณอยู่มากมาย มิเช่นนั้นคงไม่มีปราณวิญญาณหนาแน่นถึงเพียงนี้
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงที่สุด สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตื่นตะลึงจนแทบไม่อยากทำใจเชื่อได้ลงคือเขาสัมผัสได้ถึงพลังของอาวุธเวท อาวุธเวทที่ไม่ใช่ระดับเจ็ดหรือแปด แต่เป็นระดับเก้า ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มยังสัมผัสได้ว่ามันมีมากกว่าหนึ่งชิ้นด้วย
ที่นี่คือศูนย์วิจัยจริงหรือ ช่างหรูหรายิ่งนัก! หวังเป่าเล่อหันไปมองคนข้างๆ และพบว่าแม้แต่เศรษฐีอย่างจินตั้วหมิงยังตื่นตะลึงไปเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายได้เข้ามายังศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ
“ยินดีต้อนรับสู่ศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ” ขณะที่ทั้งคู่ยังตื่นตะลึงไม่หาย แสงสว่างก็พลันปรากฏเบื้องหน้า แสงนั่นบีบตัวลงอย่างรวดเร็วก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นร่างมายาของหญิงสาวรูปโฉมงดงาม ความสวยของนางนั้นเหนือชั้นกว่ามนุษย์ทั่วไป นางสวมเครื่องแบบเหมือนนักวิจัยคนอื่นๆ และส่งยิ้มให้ชายหนุ่มทั้งสอง
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง หัวสมองอื้ออึงไปด้วยความคิดต่างๆ ขณะที่จ้องมองร่างมายาเรืองแสงตรงหน้า
แม่นางน้อยหรือ หวังเป่าเล่ออ้าปากค้าง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้พูดสิ่งที่คิดออกไป
ทว่าร่างมายาสังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่มจึงเอียงคอมอง จินตั้วหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากหันมองหวังเป่าเล่อ เขาก็เอื้อมมือออกไปยังร่างมายา แต่คว้าได้เพียงอากาศธาตุ ก่อนจะกระแอมกระไอขึ้น
“เป่าเล่อ นี่มันของปลอม เป็นเทคโนโลยีสุดชาญฉลาด…เจ้าคงจะไม่สิ้นหวังถึงขนาดคิดอยากทำอะไรไม่ดีกับเทคโนโลยีสุดชาญฉลาดใช่ไหม”
หวังเป่าเล่อไม่สนใจจินตั้วหมิง ความคิดและความรู้สึกมากมายตีกันไปมาในหัว ร่างมายาเบื้องหน้าเขานั้นมีรูปโฉมเหมือนแม่นางน้อยในหน้ากากไม่ผิดเพี้ยน!
แต่ชายหนุ่มก็หน้าหนาพอ แม้จะตื่นตะลึงไป เขาก็รีบปรับอารมณ์และพยายามจัดการกับสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจนี่ หวังเป่าเล่อแสร้งทำหน้าแดงเหมือนว่าตกหลุมรักร่างมายาตรงหน้าตั้งแต่แรกเห็น
“ข้าได้รับคำร้องที่พวกท่านทั้งสองส่งมาแล้ว ปรมาจารย์เจ้าอยู่ในห้องวิจัยหมายเลขสาม โปรดตามข้ามา” ร่างมายาไม่สนใจหวังเป่าเล่อ นางพูดขึ้นอย่างใจเย็น ก่อนจะเดินนำหน้าคนทั้งคู่ที่เดินตามหลังไม่ห่าง นางพาพวกเขาเดินไปตามทางสีทองอร่ามเข้าไปในตัวศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ
ระหว่างทางนั้น หวังเป่าเล่อยังคงรู้สึกสงสัยและตกใจเกินกว่าจะบรรยายได้ หากไม่ติดเรื่องสถานที่ เขาคงจะเข้าไปในหน้ากากนิลเพื่อถามเรื่องนี้กับแม่นางน้อยแล้ว
ชายหนุ่มใช้เวลาปรับอารมณ์อยู่พักหนึ่ง ทว่าขณะที่กำลังเดินไปตามทางเดินโลหะ จู่ๆ ชายหนุ่มก็หยุดฝีเท้าเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หวังเป่าเล่อมองไปยังกำแพงโลหะด้านขวามือ และพบว่ากำแพงโลหะก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เบื้องหลังกำแพงมีสิ่งที่เหมือนตัวทดลองถูกผนึกไว้
ส่วนใหญ่เป็นศพของอสูรร้าย แต่ชายหนุ่มกลับไม่คุ้นตาเลยสักนิด มีกระทั่งศพของมังกรด้วยซ้ำ!
“นี่มัน…” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก หัวใจเต้นถี่จากความตื่นตกใจ
“นี่คือศพของเหล่าอสูรร้ายล้ำค่าที่ถูกค้นพบบนโลกตั้งแต่อดีตกาล บางตนนั้นมีต้นกำเนิดจากห้วงอวกาศ บางตนก็มาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณ” ร่างมายายิ้มพร้อมกับอธิบาย ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นว่าบนกำแพงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีแมงกะพรุนสีดำถูกผนึกไว้ มันตัวไม่ใหญ่ มีขนาดเทียบเท่าฝ่ามือ ลักษณะภายนอกเหมือนแมงกะพรุนทั่วไปทุกประการ แตกต่างเพียงแค่สีเท่านั้น
“นั่นก็เป็นอสูรโบราณหรือ” หวังเป่าเล่อชี้มือไปทางแมงกะพรุนด้วยความตื่นตะลึง
“สิ่งมีชีวิตตัวนั้นมีต้นกำเนิดมาจากห้วงอวกาศ พวกเราตั้งชื่อมันว่า ‘ธาราจอมตะกละ’ ร่างที่เห็นนั้นยังเป็นตัวอ่อน หากเติบโตเต็มที่แล้วจะมีขนาดเทียบเท่าเรือบินหนึ่งลำ อาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำ การใช้งานก็คล้ายคลึงกับเรือบิน จากการวิเคราะห์พบว่ามันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ทางสหพันธรัฐได้ตรวจสอบและพบว่ามีความเป็นไปได้ถึงร้อยละเจ็ดสิบที่สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกจะใช้พวกมันเป็นยานพาหนะท่องมายังโลก!”
ร่างมายาอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล