บทที่ 584 มีใครบางคนจากสหพันธรัฐมาถึง!
ขณะที่ขบคิดปัญหาอยู่อย่างเครียดเครียด หวังเป่าเล่อก็แลกแต้มการรบของเขากับโอสถจำนวนมาก ชายหนุ่มยังคงไม่ได้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาก่อนหน้าเมื่อเขาเตรียมตัวจะเดินทางกลับ
เพราะฉะนั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าด้วยความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ เขาจะยอมสละตนเอง
อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงผู้นำแห่งสหพันธรัฐในอนาคต หากข้าไม่เสียสละ แล้วใครเล่าจะทำ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจยาวก่อนจะส่งที่อยู่ของเขาให้กับผู้ฝึกตนสตรีแก้มแดงหลายนางที่เข้ามาปรึกษาเขาเรื่องปัญหาที่พวกนางประสบในการฝึกปราณ…
“ปัญหาเรื่องการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในขั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งนัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้ามาหาข้าที่เกาะเพลิงเขียวคืนนี้ เดี๋ยวข้าจะช่วยบอกเคล็ดลับให้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะพูดอย่างขึงขังก่อนที่จะเดินทางออกจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ระหว่างทาง ชายหนุ่มก็รู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกเพราะการที่ผู้คนปฏิบัติกับเขาไม่เหมือนเคย เขาเห็นกระทั่งบรรดาพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐที่พูดคุยกับผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรื่นเริง
ในช่วงเวลานี้ หวังเป่าเล่อยังได้อ่านการข้อความโต้ตอบระหว่างพันธุ์กล้าด้วยกันในกลุ่มพูดคุยรวมประจำพื้นที่และได้รู้ว่าหลังจากผลการทดสอบออกมา ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลส่วนหนึ่งก็เริ่มมีท่าที่เปลี่ยนแปลงไปกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ พวกเขาถึงกับเริ่มเข้ามาพูดคุยทำความรู้จักและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐเริ่มแน่นแฟ้นขึ้น
ไม่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มองเห็นข้อนี้ เฟิ่งชิวหรันเอง ผู้ซึ่งเฝ้าดูอยู่ตลอด ก็มองเห็นเช่นกัน หลังจากที่ได้เห็นผลการทดสอบด้วยตานางเอง นางก็มีกำลังใจขึ้นมาก ในเวลาเดียวกัน นางก็เริ่มจะพูดเรื่องการมาถึงของพันธุ์กล้ารุ่นที่สองกับเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้นั้นก็คัดค้านหัวชนฝามาโดยตลอด
แต่ครั้งนี้ ชายชรากลับนิ่งเฉย เพราะข้อตกลงที่มีมาก่อนหน้า ประกอบกับผลงานของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาไม่อาจจะพูดอะไรได้ ทำได้เพียงยอมตกลง
อาจจะกล่าวได้ว่านี่เป็นชัยชนะครั้งแรกของเฟิ่งชิวหรันในช่วงหลายปีหลัง นางทำได้โดยไม่ต้องสูญเสียอะไรแต่อย่างใด แม้กระทั่งศิษย์ที่อยู่ใต้การดูแลของนาง ผู้ที่ไม่ได้ชื่นชมสหพันธรัฐมาก่อนหน้านี้ ก็ยังมีท่าทีเปลี่ยนไป ในบรรดาศิษย์เหล่านั้นมีลู่หยุนและสวีหมิงรวมอยู่ด้วย ในฐานะศิษย์เอก ความตื่นตะลึงที่พวกเขาได้ประสบมาระหว่างการทดสอบนั้นมากมายนัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประมือกับหวังเป่าเล่อโดยตรงก็ตาม
เช่นนั้นเอง พวกเขาก็เคารพหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นมากมาย และเพราะเหตุนี้ ผู้ฝึกตนภายใต้การนำของเฟิ่งชิวหรันจำนวนมากที่เคยไม่ชอบสหพันธรัฐมาก่อนก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไป
อาจจะกล่าวได้ว่าสถานะที่เปลี่ยนแปลงไปของหวังเป่าเล่อนั้นให้ประโยชน์กับเฟิ่งชิวหรันมากมายนัก ทำให้อำนาจของนางในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นกลับคืนมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง เพราะฉะนั้น ครึ่งเดือนถัดมา การเคลื่อนย้ายพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองมายังสำนักวังเต๋าไพศาลจึงเสร็จสมบูรณ์!
เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสหพันธรัฐเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ทำการคัดเลือกพันธุ์กล้าที่จะมาเอาไว้แล้ว ขาดแต่เพียงการตอบกลับจากสำนักวังเต๋าไพศาลก่อนหน้านี้ สหพันธรัฐเข้าใจไปเองว่าเกิดปัญหาขึ้นบางประการและได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว มาบัดนี้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี สหพันธรัฐก็โล่งใจไปได้
เพราะอย่างไรเสีย สหพันธรัฐก็ไม่ต้องการจะก่อสงครามหากไม่จำเป็นจริงๆ
เพราะเหตุนี้ด้วยเช่นที่ทำให้ผู้ที่ได้รับเลือกให้อยู่ในพันธุ์กล้ารุ่นที่สองนั้นถูกสลับสับเปลี่ยนหลังจากที่ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐให้พูดคุยกันเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่ต้องการเพียงแค่สนับสนุนเฟิ่งชิวหรันอีกต่อไป
หลังจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายได้ถูกเตรียมการเรียบร้อยอยู่ไม่กี่วัน หวังเป่าเล่อก็จบการถือสันโดษก่อนจะเดินทางไปสำนักวังเต๋าไพศาลตามประกาศของสำนักว่าพันธุ์กล้ารุ่นที่สองกำลังจะมาถึง
พันธุ์กล้ารุ่นหนึ่งทุกคนก็มารวมตัวกันตรงหน้าวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขายืนเคียงข้างหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นผู้นำ ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนไม่น้อยก็มาร่วมยืนรอด้วย หลังจากเฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันมาถึงได้ไม่นาน วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เริ่มทำงานอย่างช้าๆ
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง วงแหวนปราณภายนอกกระบี่สำริดเขียวโบราณบนดาวพุธก็ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับ เงาร่างพร่าเลือนหลายร่างปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาล!
คลื่นพลังงานสะท้อนสะเทือนไปไกล สายลมปั่นป่วนหมุนวนรุนแรง พัดพาเอาเส้นผมและเสื้อผ้าของทุกคนให้สะบัดอย่างแรง ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง เงาร่างจากภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อทำตาหยี เมื่อร่างแรกที่เขาเห็นเป็นผู้ฝึกตนวัยกบางคนที่ยืนนำหน้าบรรดาพันธุ์กล้ารุ่นที่สองแห่งสหพันธรัฐ!
คนผู้นั้นอายุราวสี่สิบปี มีหน้าตาหล่อเหลาคน แม้จะดูมีริ้วรอยบ้าง และมีบารมีเหมือนคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งแผ่ออกมาจากกาย ช่างดูน่าเกรงขาม และแม้ว่าจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่กลับทำให้รู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!
เขาคนนั้นก็คือ…สวีหยุนคุน ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพผู้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพราะไปก่อนความวุ่นวายเอาไว้บนดาวอังคาร! ความล้มเหลวในการคว้าโอกาส บวกกับโทษทัณฑ์ที่ได้รับ ทำเอาประมุขสำนักผู้ยังหนุ่มอยู่เมื่อคราวนั้นมาตอนนี้ดูท่าทางละม้ายคล้ายชายในวัยกลางคน แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักก็ตามที
ชายผู้นี้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากสหพันธรัฐในยุคก่อน เป็นผู้ที่ความอาวุโสนั้นยิ่งใหญ่กว่าต้วนมู่ฉี ไปอยู่ในระดับเดียวกับหลี่ซิงเหวินและหัวหน้าเสนาบดี เขาเองยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนคนแรกที่มาถึงกระบี่สำริดเขียวโบราณพร้อมๆ กันกับหลี่ซิงเหวินเมื่อหลายปีก่อน ทันทีที่เขาปรากฏตัว หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง กระทั่งผู้ตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็แปลกใจไปตามๆ กัน
มีเพียงเฟิ่งชิวหรันที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนว่านางรู้อยู่แล้วว่าสวีหยุนคุนจะมาที่นี่ ในเวลาเดียวกัน เมื่อร่างในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมาก จั่วอี้เซียนและจินตั้วหมิงเป็นหนึ่งในนั้น!
นอกเหนือจากนั้น หวังเป่าเล่อยังมองเห็นว่าในบรรดาผู้คนที่เหลือทั้งหมด มีคนแปลกหน้ามากกว่าคนที่เขารู้จัก กว่าครึ่งของพันธุ์กล้ารุ่นใหม่จากสหพันธรัฐเป็นคนที่ชายหนุ่มไม่คุ้นเคย แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่คนกลุ่มนี้มีเหมือนกัน นั่นก็คือ…พวกเขาส่วนมากมีหน้าตางดงาม เรียกได้ว่าจนน่าตื่นตะลึงก็ว่าได้!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงคิด ในเวลาเดียวกัน เมื่อจินตั้วหมิงทรงตัวได้อีกครั้งภายในวงแหวนปราณ เขาก็กวาดสายตาลงมาราวกับกำลังมองหาใครสักคน ชายหนุ่มมองผ่านหวังเป่าเล่อไปและมองหาต่อไป สายตาที่ยังชั่งใจของจินตั้วหมิงจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง หลังจากที่เพ่งมองอยู่เป็นนาน จินตั้วหมิงก็ถึงกับตาเบิกโพลงปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง
จั่วอี้เซียนเองก็จำหวังเป่าเล่อไม่ได้เช่นกัน แต่ทว่าเขามองเห็นจั่วอี้ฟาน ก่อนจะมีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมสีหน้าเย็นชา
หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจความตื่นตะลึงที่จินตั้วหมิงแสดงออกมาบนใบหน้าเมื่อได้เห็นบุรุษที่หล่อที่สุดในจักรวาล ชายหนุ่มกระแอมกระไอก่อนจะเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับความตั้งใจของสหพันธรัฐอยู่นั่นเอง การปรากฏตัวของประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยว่าสหพันธรัฐต้องส่งจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่มาดูท่าทีอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“ข้าจำได้ว่าเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต…” หวังเป่าเล่อพึมพำแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มคิดว่าไม่ว่าประมุขสำนักสวีจะออกมาได้เพราะทำดีหรือเพราะวิธีการอื่นใด เขาก็ยังเป็นบุคคลสุดอันตรายที่กลเม็ดเด็ดพรายเตรียมพร้อมอยู่ตลอด การมาถึงของเขาอาจจะเป็นผลดีทางการฑูตระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนี้
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าถูกตัดสินคดีไปนับไม่ถ้วนในสหพันธรัฐ และคงจะต้องเอาตัวรอดอยู่ที่นี่ได้ดีกว่าข้าเป็นแน่ ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่นั่นเอง การเคลื่อนย้ายก็เสร็จสมบูรณ์ ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเดินหน้ามาก่อนใครเพื่อน พร้อมด้วยสีหน้าจริงใจและรอยยิ้มอบอุ่น เขาเข้าทักทานเฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วยสองมือยกประสาน
“ข้าไม่ได้พบท่านผู้อาวุโสเฟิ่งก็หลายปี ท่านยังคงดูเยาว์วัยอยู่เช่นเคย กลับกัน ข้าเสียอีกที่ชราลงไปมาก…” ประมุขสำนักสวีกล่าวอย่างตื้นตัน ก่อนจะหันไปทักทายเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะดูเคารพนบนอบ แต่เขาก็ไม่ได้ก้มศีรษะให้ใคร ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้คนกลุ่มแรกที่ขึ้นมาที่กระบี่สำริดเขียวโบราณในครั้งนั้น ยังไม่ใช่ประมุขสำนักแห่งสหพันธรัฐอีกสิ่งอื่นใด ทำให้กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันยิ้มตอบเขา ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร
หลังจากที่พบปะพูดคุยกันเรียบร้อย พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองก็ได้รับเกาะของตนเองเช่นเดียวกับที่รุ่นแรกเคยได้ แต่ทว่า บัดนี้ เฟิ่งชิวหรันมีอำนาจตัดสินใจ และเลือกที่จะให้พันธุ์กล้ารุ่นที่สองจำนวนมากนั้นอยู่ร่วมกันกับรุ่นแรก
เช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาคุ้นเคยกันให้เร็วและเพิ่มความเร็วในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในเวลาเดียวกัน ก็ยังเป็นการเพิ่มพลังทางการเมืองที่สหพันธรัฐมีในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย สวีหยุนคุนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลเพราะสถานะของเขาทำให้เขาได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนอื่นๆ แม้จะไม่เทียบเท่าหวังเป่าเล่อ แต่ก็ใกล้เคียง
ยิ่งไปกว่านั้น คำขอของประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพให้มีพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐจำนวนหนึ่งที่อยู่กับเขาบนเกาะหลักยังได้รับความยินยอมจากเฟิ่งชิวหรันอีกด้วย ขณะที่พันธุ์กล้ารุ่นแรกพาเพื่อนรุ่นใหม่ที่ยังปรับตัวไม่ทันเดินทางจากไปอย่างตื่นเต้น จินตั้วหมิงก็ก้าวเดินออกไปทางหวังเป่าเล่อ ด้วยสีหน้าไม่เชื่อสายตาตนเองและกำลังจะเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่าย แต่สวีหยุนคุนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก้าวเข้ามาขวางก่อนจะพูดกับจินตั้วหมิงอย่างเนิบๆ
“จินตั้วหมิง เจ้าค่อยมาทักทายเจ้าเมืองหวังคราวหน้าก็แล้วกัน ข้าคงต้องขอคุยธุระกับเจ้าเมืองหวังสักหน่อยก่อน”
จินตั้วหมิงกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเข้าใจและเดินจากไป ก่อนจะจากไป เขาหันกลับมาส่งสายตาให้หวังเป่าเล่อครั้งหนึ่งด้วย จากที่หวังเป่าเล่อรู้จักจินตั้วหมิงมา ความหมายของสายตานั้นกำลังบอกเขาว่าเพื่อนเก่าคนนี้เป็นคนที่เขาเชื่อใจได้เช่นเคย
เมื่อจินตั้วหมิงจากไป หวังเป่าเล่อก็ทอดสายตาไปมองสวีหยุนคุนอย่างขี้เกียจ
“ประมุขสำนักสวีมีอะไรอยากจะพูดกับข้างั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดนิ่งๆ
สวีหยุนคุนจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย เขาไม่อาจจะหักห้ามตนเองให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์บนดวงจันทร์ได้ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นคนที่ทำลายโอกาสที่ของเขาที่จะได้ครอบครองทุกอย่างไปเมื่อครั้งนั้น!