บทที่ 585 สายลมสลายความแค้นเคืองในอดีต
แต่ทว่า หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี ดูเหมือนว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายประการ เมื่อพวกเขาพบหน้ากันในครั้งนี้ แรงกดดันของหวังเป่าเล่อทำเอาสวีหยุนคุนผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดถึงกับตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้วนมู่ฉีบอกกับเขาว่าเขาจะถูกปล่อยตัวและเอาข้อมูลที่เฟิ่งชิวหรันส่งมาบอกเรื่องการทดสอบมาให้ดู เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นทำให้สวีหยุนคุนต้องยอมรับว่าหัวกะทิแห่งสหพันธรัฐยุคใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
เพราะเช่นนั้น สวีหยุนคุนจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มให้หวังเป่าเล่อ
“เจ้าเมืองหวัง ข้าขอคุยกับท่านในถ้ำที่พักจะได้หรือไม่”
“หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเริ่มวิเคราะห์ประมุขสำนักสวี สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในใจ เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นครั้งที่ชายหนุ่มเข้าใกล้ความตายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ การขุดเอารากฐานวิญญาณของเขาออกไปและการเอาตัวรอดจากความยากลำบากอันใหญ่หลวงเป็นชนวนเหตุให้ชายหนุ่มก่อการสังหารหมู่บนดวงจันทร์ในครั้งนั้น
ความทรงจำไหลบ่าเข้าท่วมจิตใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อคิดว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ที่ตอนนั้นดูเหมือนเทพที่แข็งแกร่งไร้ก้นบึ้ง มาบัดนี้กลับกลายเป็นคนที่เขาจะเอาชนะได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เกราะจักรพรรดิด้วยซ้ำทำเอาชายหนุ่มแอบหัวเราะอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งมีสถานะสูงส่งในสหพันธรัฐและเข้าใจอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงเป็นอย่างดี จะไม่ยอมแสดงท่าทีหยิ่งยโสออกมาโดยง่าย แม้จะไม่พอใจประมุขสำนักสวีเพียงใด ชายหนุ่มก็ยิ้มและพยักหน้าอยู่ดี
ทั้งคู่กระโดดล่องลอยไปในอากาศออกจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลมา พวกเขาเงียบงันขณะที่เดินทางและไม่ได้มุ่งหน้าไปที่เกาะเพลิงเขียวแต่อย่างใด แต่กลับมาลงบนเกาะโดษเดี่ยวรกร้างเกาะหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ประกายแห่งความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของสวีหยุนคุน เมื่อเขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อระแวดระวังกับการจัดการทุกสิ่งเพียงใด เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อกังวลว่าจะมีกลไลใดซ่อนเร้นอยู่บนเกาะของเขาที่จะทำให้มีคนแอบฟังการสนทนาได้ เพราะเหตุนั้นชายหนุ่มจึงพาเขามายังสถานที่รกร้านห่างผู้คน
เมื่อลงแตะพื้น สวีหยุนคุนก็ใช้ผนึกมือและชี้ไปที่สิ่งรอบข้าง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ถึงเอาเข็มทิศออกมาจากกำไลคลังเก็บและวางลงไปใต้เท้า เข็มทิศนั้นส่องแสงสว่างไสวก่อนจะกลายมาเป็นเกราะกำบังล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้ หวังเป่าเล่อใช้ผนึกมือเช่นกัน ก่อนจะดึงเอาวัตถุเวทออกมาหลายชิ้น
จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่ได้วางกลไกที่จะป้องกันคนมาแอบฟังเสร็จเรียบร้อยนั่นเองเมื่อสวีหยุนคุนสูดลมหายใจเข้าลึก
“เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วละ เข็มทิศนี้สหพันธรัญหลอมขึ้นมาอย่างลับๆ หากว่ากันตามข้อมูล เราจะสามารถหลบจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ราวห้านาที!”
หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่มุมหนึ่ง จ้องมองสวีหยุนคุนเหมือนจะเฝ้ารอให้อีกฝ่ายเริ่มพูด
“เจ้าเมืองหวัง เหตุการณ์ในครั้งก่อนนี้…ผู้อาวุโสที่โจมตีท่านยังคงถูกจองจำอยู่บนดาวศุกร์และข้าเองก็ได้รับโทษแล้ว ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธพวกเราเลย ครั้งนี้ ข้าได้มาที่นี่เพราะว่าข้าทำความดีและข้าก็ไม่ได้มีอำนาจจะสั่งให้ท่านทำสิ่งใด กลับกัน ข้าเองยังอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านในหลายๆ โอกาส” เมื่อสวีหยุนคุนพูดจบ เขาก็โค้งคำนับหวังเป่าเล่อต่ำ
เขารู้ทุกอย่างดีว่าขณะนี้ในสำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อเป็นผู้นำของฝ่ายการเมืองฝั่งสหพันธรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการทดสอบ ทำให้สถานะของชายหนุ่มนั้นยิ่งใหญ่กว่าใครจากสหพันธรัฐที่อยู่ที่นี่
สวีหยุนคุนกลัวว่าการมาถึงของเขาจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น จึงต้องคุยเรื่องนี้ก่อนเป็นเรื่องแรก
“ข้ามีหน้าที่สองอย่างที่ต้องทำที่นี่ อย่างแรกคือต้องสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดเล็กขึ้นมาหนึ่งอันอย่างลับๆ เพราะว่าเราต้องกระทำการโดยไม่ประมาท หากมีวันใดที่พวกเราต้องหนี จะได้แน่ใจว่ามีทางออกให้สำหรับทุกคน!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หวังเป่าเล่อก็สบายใจขึ้นและพยักเพยิดตาม
“ข้าช่วยท่านแน่ในเรื่องนี้ แต่ทว่าท่านต้องทำงานอย่างระวังและคอยจับตาดูศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ให้ดี!” หวังเป่าเล่อคิดก่อนจะพูดออกมาอย่างเนิบๆ
“ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันงั้นหรือ” ประกายอันหนึ่งสะท้อนอยู่ในตาสวีหยุนคุน
“แม้ข้าจะไม่มีหลักฐาน แต่ข้ารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้นั้นอันตรายกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อมากนัก” หวังเป่าเล่อพูดเสียงต่ำ
สวีหยุนคุนจมดิ่งลงไปในความคิด หากใครคนอื่นพูดเช่นนี้ เขาก็คงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพราะว่าหวังเป่าเล่อเป็นผู้พูด เขาจึงคิดเป็นจริงเป็นจังอย่างยิ่ง เมื่อปล่อยวางเรื่องนี้ลงได้ สวีหยุนคุนและหวังเป่าเล่อจึงเริ่มพูดคุยกันเรื่องที่ลึกซึ้งขึ้นอีก
พวกเขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐในทั้งปีที่ผ่านมา สวีหยุนคุนต้องการจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเพื่อจะได้ทำภารกิจที่สองให้ลุล่วง
เมื่อได้ยินเรื่องความตายที่ได้เกิดขึ้น ความยากลำบากที่บรรดาพันธุ์กล้าต้องเผชิญ เช่นเดียวกับความนุ่มนิ่มของเฟิ่งชิวหรัน สวีหยุนคุนก็หยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ
“เจ้าเมืองหวัง มีเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดหรือไม่ แต่ทว่า หากข้าพูดออกไปแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าท่านจะไม่เข้าใจข้าผิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จ้องมองสวีหยุนคุนอย่างมุ่งมั่นก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า
“โปรดพูดออกมาเถิด!”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็มีประกายลุ่มลึกสะท้อนผ่านนัยน์ตาของประมุขสำนักสวี เขายิ่งดูเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เข้าไปใหญ่ก่อนจะเริ่มพูดอย่างเนิบๆ
“เจ้าเมืองหวัง ข้ารู้ว่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นแรกผ่านความยากลำบากและถูกหยามเหยียดในทุกๆ ที่ที่ไป แต่ทว่า ท่านรู้หรือเปล่าว่าพวกท่านสิ่งใดพลาดไป”
“บางที ระดับการฝึกตนของพวกท่านอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ทว่าเป็นความคิดของพวกท่านต่างหากเล่า!”
“ท่านไม่ได้มีความตั้งใจจะเข้าร่วมกับสำนักวังเต๋าไพศาลตั้งแต่ต้น แม้ว่าจะมีความคิดเช่นนั้นอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงความคิดอ่อนแอ จิตใต้สำนึกนี้แบ่งแยกพวกท่านออกจากพวกสำนักวังเต๋าไพศาลราวกับเนื้อร้ายบนผิวหนัง แม้ว่าตัวอย่างของข้าอาจจะไม่ดีนัก แต่ความหมายของมันก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว เนื้อร้ายนั้นสามารถถูกกำจัดโดยสำนักวังเต๋าไพศาลภายในพริบตาและไม่ได้ถือเป็นการสูญเสียแต่อย่างใด!” สวีหยุนคุนทอดถอนใจหลังจากที่พูดบทวิเคราะห์สถานการณ์ตามประสบการณ์ของตน
หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็ถึงกับตกตะลึง ก่อนจะหลับตาลงนั่งนิ่งเงียบคิดอยู่นาน ชายหนุ่มคิดว่าสวีหยุนคุนมีเหตุผลมากทีเดียว หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนดื้อด้าน และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็ก้มศีรษะคำนับสวีหยุนคุนพร้อมยกมือประสาน
“ประมุขสำนักสวีโปรดชี้แนะข้าน้อยด้วย!”
“เจ้าเมืองหวังกรุณาข้าเกินไป เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนที่อยู่ใกล้เกินไปย่อมมองไม่เห็นปัญหาในภาพรวม สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับตัวข้าเองเช่นกัน” สวีหยุนคุนยิ้มอย่างถ่อมตนก่อนจะคำนับตอบหวังเป่าเล่อ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ทำตนอยู่เหนือกว่าหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับทำตัวเป็นผู้น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มเสมอ
“สิ่งนี้คือภารกิจอย่างที่สองที่ข้าต้องทำที่นี่ แผนการสุดยอดที่จะทำให้ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลต้องสั่นคลอน นั่นก็คือ…การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหพันธรัฐอย่างสมบูรณ์ หากสหพันธรัฐสามารถจะควบรวมกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้เมื่อใด ก็จะไม่มีทางที่พวกเขาจะคิดกำจัดเราได้อีก ต่อให้พวกเขาพยายาม พวกเขาก็จะต้องได้รับผลกระทบใหญ่หลวงเช่นกัน เพราะฉะนั้น หากพวกเขาไม่ถูกกดดันจนถึงที่สุด ก็จะไม่มีการตัดสินใจอย่างหุนหันแน่นอน!” ขณะที่สวีหยุนคุนพูดไป สายตาเขาก็มีประกายแหลมคม มีรัศมีที่อธิบายไม่ถูกหลั่งไหลออกมาจากกาย
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ปลาบปลื้มในความแยบยลของแผน เขาคิดอยู่เงียบๆ ในใจว่าตาเฒ่าคนนี้ช่างมากประสบการณ์เสียจริง การวิเคราะห์ของเขามีเหตุมีผลไปหมด เป็นความจริงที่ เมื่อหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นครั้งแรกนั้น พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับสำนักวังเต๋าไพศาลแม้แต่น้อย และเมื่อสำนักปฏิบัติกับพวกเขาเช่นเป็นคนนอก พวกเขาก็มองสำนักวังเต๋าไพศาลว่าเป็นคนอื่นเช่นกัน
“ข้าเห็นภาพอยู่บ้างว่าจะต้องเริ่มทำการเรื่องนี้เช่นใด เมื่อถึงเวลา ข้าจะต้องการความช่วยเหลือของท่าน เจ้าเมืองหวัง” สวีหยุนคุนพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่อไปเพื่อจะเห็นภาพรวมของสถานการณ์ ก่อนจะเอ่ยคำลาพร้อมยกมือคารวะ
ก่อนจะจากกัน สวีหยุนคุนหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเมืองหวัง ข้าหวังท่านจะปล่อยสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้แล้วไปได้…”
“อดีตผ่านไปแล้วราวกับสายลมเชียวละ!” หวังเป่าเล่อจ้องมองสวีหยุนคุนด้วยความเคารพ ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าหากเทียบกับกับจิ้งจอกเฒ่าแล้ว ตัวเขาเองก็ยังด้อยประสบการณ์นัก มีหลายสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากประมุขสำนักสวี
เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนก็จ้องมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาลาชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะจากไป
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นสวีหยุนคุนคล้อยหลังไป เขาก็หลับตาลงและคิดอยู่เงียบๆ
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่ทว่า ผู้ที่ก่อตั้งสำนักขึ้นมาได้ในเวลานั้นจะต้องไม่ใช่คนเรียบง่ายตรงไปตรงมาแน่นอน…หวังเป่าเล่อไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากจะถือโทษหวังเป่าเล่อเช่นกัน
หวังเป่าเล่อยอมปล่อยให้เหตุการณ์บนดวงจันทร์เป็นอดีตไป เพราะอย่างไรเสียสำนักวังเต๋าไพศาลก็ต้องเป็นฝ่ายหนักใจกับการมาถึงของจิ้งจอกเฒ่าเสียยิ่งกว่า สำหรับศิษย์แห่งสหพันธรัฐคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ การที่มีคนอย่างสวีหยุนคุนอยู่ด้วยอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกเบาใจลงได้มาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาก่อนจะปลดมาตรการป้องกันทั้งหมดลง ชายหนุ่มพุ่งตัวกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว ไม่นานนักหลังจากที่เขามาถึงถ้ำที่พัก จินตั้วหมิง ที่หาที่อยู่เขาเจอได้อย่างน่าทึ่ง ก็โผล่มา
ทันทีที่เขามาถึง จินตั้วหมิงก็ก้าวเข้ามาในถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าทึ่งและตื่นตะลึง ก่อนจะส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ
“บัดซบ! นี่เจ้าคือหวังเป่าเล่อจริงๆ หรือ เจ้า…เจ้า…ทำไมถึงผ่ายผอมถึงเพียงนี้ ข้ามองหาเจ้าอยู่ตั้งนานก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่เจ้าหรือเปล่า เจ้าทำได้อย่างไรกัน”
หวังเป่าเล่อพึงใจอยู่เงียบๆ เมื่อได้เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่าย แต่ทว่าเขากลับเริ่มดุด่าจินตั้วหมิงเพื่อกลบเกลื่อน
“เจ้าหมิงน้อย เจ้าจะตัดสินผู้อื่นที่รูปลักษณ์ได้อย่างไรกัน เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าจึงปล่อยตัวให้อ้วน ก็เพราะว่าตอนที่ข้ายังเล็ก ข้าเหนื่อยหน่ายกับผู้คนเช่นเจ้าที่เข้ามาจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของข้า เพราะฉะนยั้ย ข้าก็เลยกินให้อ้วนขึ้นมา จะได้ใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องถูกรบกวน ช่างน่าเสียดายที่พอข้าบรรลุขั้นการฝึกปราณแล้วก็ได้ใบหน้าอันหล่อเหล่าของข้ากลับคืนมาด้วย เฮ้อ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้”