หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 592 นักหลอมอาวุธเวทระดับแปด!

บทที่ 592 นักหลอมอาวุธเวทระดับแปด!
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อหลอมอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ครั้งเดียวสำเร็จแล้ว และยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดใช้ได้หลายครั้งสำเร็จเป็นครั้งคราว

อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้หวังเป่าเล่อยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงไม่สำเร็จนั้น คือจิตสัมผัสวิญญาณที่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ แม้จิตสัมผัสนั้นจะพัฒนาขึ้นบ้างจากผลไม้ที่เขาถือครอง แต่พัฒนาการนั้นก็จัดว่าช้าเสียเหลือเกิน บัดนี้ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่ชายหนุ่มบรรลุปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลายระหว่างลงแข่งขัน และเดินหน้าฝึกจนเข้าใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบเข้าไปทุกที!

จิตสัมผัสวิญญาณของหวังเป่าเล่อพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามขั้นปราณของเขา จึงทำให้การหลอมอาวุธเวทระดับสูงง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

เมื่อมีวัสดุพร้อม ชายหนุ่มก็ลองเริ่มกระบวนการดูเพื่อทดสอบ แล้วก็พบว่าประสบการณ์การหลอมของตนเองแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจลองหลอมอาวุธเวทดูหลังจากที่พลังปราณในกายเสถียรเรียบร้อยแล้ว และบรรลุวิชาประจำตัวสำเร็จ

เจ็ดวันผ่านไป ชายหนุ่มพยายามหลอมอาวุธเวทระดับแปดอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่แบบใช้ครั้งเดียว ไปจนถึงแบบที่ทรงพลังกว่า ในที่สุดเขาก็สร้างอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงได้สำเร็จ ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเป็นอันมากกับผลลัพธ์นี้

ในที่สุด… ข้าก็หลอมอาวุธเวทระดับแปดสำเร็จ! จิตใจของชายหนุ่มปั่นป่วนด้วยความรู้สึกมากมาย เขามองกระดิ่งที่ตนเองเพิ่งหลอมเสร็จตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาลองสั่นดูสองสามครั้ง เสียงกระดิ่งสั่นไหวดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองจะกักขังคนไว้ในนี้ในอนาคต เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขล้น

ข้ามีอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ครั้งเดียวอยู่เยอะแยะไปหมด ต่อไปนี้ข้าจะโยนพวกนี้ออกมาก่อนให้คู่ต่อสู้ทำลาย ก่อนใช้ของจริง! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ เขาอยากจะฉลองความสำเร็จนี้และตบพุงตนเองตามนิสัยเดิม เมื่อมือของหวังเป่าเล่อสัมผัสกับพุง ก็พบว่าตนเองเริ่มมีไขมันวิญญาณสะสมมากขึ้นแล้ว กระนั้นเขาก็ยังคิดว่าตนเองผอมมาก จึงหยิบถุงขนมออกมาสองสามถุง และรีบเปิดกินอย่างสุขใจในทันที

นอกจากนี้ชายหนุ่มยังหยิบเอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาห้าขวด และรีบดื่มเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออิ่มเอมพอใจเป็นที่เรียบร้อย เขาก็เดินหน้าหลอมอาวุธต่อ โดยสิ่งที่ดำเนินการปรับปรุงต่อไปคือโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ด

ชายหนุ่มไม่ได้ใช้โทรโข่งมานานมาก เพราะระดับพลังของโทรโข่งเมื่อก่อนหน้านี้ต่ำเกินไป กระนั้นเขาก็ยังชอบอาวุธเวทของเขาชิ้นนี้เหลือเกิน ด้วยองค์ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะหยิบของเล่นชิ้นโปรด ออกมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม

นอกจากโทรโข่งแล้ว ก็ยังมีเชือกประหลาดและผนึกยักษ์คู่ใจ ทั้งสองนี้มีนิสัยแปลกประหลาดเป็นของตนเอง จึงทำให้เป็นอาวุธเวทที่แตกต่างจากเพื่อนมาก หวังเป่าเล่อยังคงปรับปรุงทั้งสองอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา

สี่วันผ่านไป ชายหนุ่มเปลี่ยนอาวุธเวททั้งสามชิ้นให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแปดเป็นที่เรียบร้อย เขาหยิบเอากระเป๋าคลังเก็บออกมา เมื่อคิดถึงแถบผ้าที่ระเบิดไปขณะต่อสู้กับตู้กูหลินนั้น หัวใจของเขาก็เจ็บแปลบ

น่าเสียดายเหลือเกิน… ชายหนุ่มถอนหายใจ เขานึกถึงคลังอาวุธของตนเองอันประกอบไปด้วย กระบี่เหาะเหินสามสี และอาวุธเวทระดับแปดอีกสองสามชิ้น แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันออกจะน้อยไปสักหน่อย แต่ตัวเขาเองก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าตนเองขาดอาวุธเวทป้องกันจำนวนมาก แม้กระดิ่งที่เพิ่งหลอมเสร็จเมื่อก่อนหน้าจะถือว่าเป็นอาวุธเวทป้องกันชนิดหนึ่ง แต่ก็ยังเหมาะกับการกักขังคู่ต่อสู้มากกว่าปกป้องตัวเขา

ประกายความมุ่งมั่นวาวโรจน์ในแววตาของชายหนุ่ม เขาคิดว่าตนเองควรหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่เอาไว้ใช้ป้องกันตนเอง ส่วนหน้าตาของอาวุธนั้น เขาคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตกลงปลงใจว่าสิ่งที่จะปกป้องชีวิตของเขาได้นั้น ควรจะเป็นชุดเกราะ!

ชุดเกราะนั้นไม่ควรหนาเกินไป และควรจะใส่ได้พอดีตัว แต่ก็ไม่ทำให้การใช้วิชาเกราะจักรพรรดิของเขาติดขัดเช่นกัน หากเขาต้องต่อสู้ในเหตุการณ์ที่คล้ายกับการเผชิญหน้ากับตู้กูหลินอีกครั้ง ต่อให้เกราะจักรพรรดิแตกสลายลง หวังเป่าเล่อก็จะยังมีชุดเกราะนี้ช่วยคุ้มกัน เมื่อเกราะนี้ประกอบกับร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา จะทำให้ชายหนุ่มป้องกันตนเองจากการโจมตีที่เจอมาเมื่อก่อนหน้าได้แน่นอน

หากตอนนี้เขาอยู่บนโลกแทนที่จะเป็นดวงอาทิตย์ เขาอาจไม่มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะใช้หลอมได้ แต่แน่นอนว่าสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้มีคำตอบ เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการฝึกปราณมีอยู่มากมาย หลังจากที่เลื่อนดูเครือข่ายวิญญาณอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นวัตถุดิบชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า เศษเสี้ยวแห่งความมืด

เศษเสี้ยวแห่งความมืดนี้มีคุณสมบัติการเก็บความทรงจำ และยังมีพลังการป้องกันที่หวังเป่าเล่อพึงพอใจ นอกจากนี้มันยังส่งพลังการโจมตีสะท้อนกลับได้อีกด้วย หลังจากที่เขาเลือกวัตถุดิบหลักได้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินหน้าหลอมอาวุธของตนเองต่อไป

คราวนี้เขาตั้งใจกับมันเป็นอย่างมาก จนใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกว่าจะหลอมเกราะเศษเสี้ยวแห่งความมืดเสร็จ เมื่อเห็นว่ายังมีวัตถุดิบเหลืออยู่พอสมควร หวังเป่าเล่อก็คิดถึงการซ่อมหอกสีดำระดับเก้าขึ้นมา

เขาคิดเอาไว้เรียบร้อยโดยละเอียดแล้ว ว่าตนเองจะซ่อมหอกสีดำอย่างไร หลังจากที่คำนวณอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เดินหน้าในทันที เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะซ่อมหอกที่เขาพบจากการผจญภัยในบริเวณตัวดาบให้ได้

แต่ด้วยความที่หวังเป่าเล่อยังหลอมอาวุธเวทระดับเก้าไม่ได้ กระบวนการการซ่อมก็ไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน กระนั้นชายหนุ่มก็ยังมีวัตถุดิบมากพอ และยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อทำให้การซ่อมแซมเรียบร้อยขึ้น สุดท้ายแล้วเขาก็ปรับปรุงหอกให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติได้เป็นส่วนมาก แม้จะยังมีบางช่วงที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อโบกมือ ก่อนที่หอกจะพุ่งหลาวไปข้างหน้าพร้อมไออำมหิต

ไอนั้นอบอวลด้วยควันสีดำ ภายในกลุ่มควันมีงูสีดำเลื่อมที่มีปีกหนา งูตัวนั้นหันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา

ทันทีที่ทั้งสองประสานสายตากัน หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เย็นวาบ เขาตัวสั่นก่อนจะตระหนักได้ว่า หอกนี้ไม่ต่างกับกระบี่เหาะเหินสามสีแม้แต่น้อย

แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าอาวุธเวทระดับเก้า แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพึงพอใจในพลังของมัน เขายกมือขึ้นเพื่อจะเก็บหอกกลับเข้ากระเป๋า แต่ทันทีที่มือของเขาเข้าไปใกล้ งูร้ายก็พุ่งพรวดออกจากควัน หมายกัดมือของเขาให้จมเขี้ยว

ชายหนุ่มเจ้าของหอกนิ่งอยู่กับที่ เขาไม่ได้ชะงักมือ แต่ดีดนิ้วทันทีที่เจ้างูนั้นเข้ามาใกล้ เปลวไฟสีดำโชติช่วงขึ้นทันทีในฝ่ามือของชายหนุ่ม เสียงไฟปะทุดังท่ามกลางความเงียบงัน งูร้ายตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนกรีดร้องเสียงแหลมสูงและรีบล่าถอยไปในทันที ร่างของมันอาบไปด้วยเปลวไฟสีดำสนิทมอดไหม้ ที่หายไปเพียงตอนที่มันกลับเข้ากลุ่มควันเท่านั้น เปลวไฟสีดำที่ทำร้ายเจ้างูอยู่เมื่อก่อนหน้า ลอยกลับเข้าฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ

“อย่าได้บังอาจลองดีกับข้าอีกเล่า!” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะหันไปมองงูตัวนั้น เขาหยิบเอาหอกกลับใส่กระเป๋า ก่อนหันไปมองกองวัตถุดิบขนาดย่อมในกระเป๋านั้น

ดูเหมือนข้าจะซื้อมาเยอะไป… หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าหากตนเองจะไม่ใช้ให้หมด ก็จะเป็นการเสียดายของ แม้กว่าครึ่งจะเตรียมไว้สำหรับการหลอมฝักกระบี่ แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็จัดได้ว่าคุณภาพต่ำนัก แม้จะพอกล้อมแกล้มไปได้หากใช้หลอมอาวุธเวทระดับแปด แต่ก็ยังถือว่าด้อยค่าเกินไปสำหรับฝักกระบี่ภายในกายเขา

หลังจากที่คิดสะระตะอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็เริ่มหลอมหุ่นเชิดในทันที นอกจากนี้ยังทดลองคุณสมบัติใหม่ๆ มากมายกับหุ่นเชิดอาวุธเวทชุดใหม่เหล่านี้ด้วย

ด้วยความที่มีวัตถุดิบเหลืออย่างไม่คาดคิด ชายหนุ่มจึงคิดว่าจะสร้างเกราะป้องกันให้กับกองทัพยุงของตน แม้จะยากเอาการ แต่เขาก็รู้สึกว่าความรู้ที่ตนเองมีในตอนนี้ จะทำให้ชุดเกราะจิ๋วกลายเป็นสมบัติเวทระดับหกได้ไม่ยาก หากตั้งใจมากพอ ถึงจะยังเปลี่ยนให้เป็นอาวุธเวทไม่ได้ในตอนนี้ก็ตามที

หวังเป่าเล่อก้าวเท้าออกจากการถือสันโดษ พร้อมด้วยหุ่นเชิดเจ็ดในแปดที่มีพลังใกล้เคียงความเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดเข้าไปทุกที ส่วนหุ่นเชิดตัวสุดท้ายนั้น ก็ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายด้วยความพอใจ

หุ่นเชิดตัวนั้นคือจูกังเฉียง เพื่อนเก่าแก่ที่ติดตามเขามาหลายต่อหลายปี

จูกังเฉียงมีความพิเศษบางประการ ที่ทำให้หวังเป่าเล่อหลอมมันให้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดสำเร็จในที่สุด เมื่อหลอมรวมวิญญาณเข้ากับหุ่นเชิดจูกังเฉียงนี้แล้ว วิญญาณในร่างก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าจูกังเฉียงเพื่อนยากมีความคิดจิตใจ

ส่วนพลังปราณของจูกังเฉียงก็อยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นต้นเลยทีเดียว!

นอกจากนี้ชายหนุ่มยังปรับปรุงสมบัติเวทชิ้นอื่นๆ ให้ดีที่สุดเท่าที่ตนเองทำได้อีกด้วย แม้กระทั่งถังใส่ดอกไม้ไฟยังได้ยกเครื่องใหม่ ส่วนชุดเกราะที่เขาตั้งใจมอบให้ยุงของตนนั้นก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี ด้วยความที่ยุงของเขาจะปรากฏตัวขึ้นก็ต่อเมื่อบินออกมาจากฝัก หวังเป่าเล่อจึงเก็บชุดเกราะเอาไว้ก่อน เพื่อจะลองทดสอบความแข็งแกร่งดู ชายหนุ่มโบกมือด้วยความปลื้มปริ่มเพื่อเก็บหุ่นเชิดของตนกลับเข้ากระเป๋า และมุ่งหน้าไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที!

เขาได้รับข่าวจากสำนัก ว่าจัดการเรื่องการเคลื่อนย้ายสำหรับการไปเยือนตำหนักวังบูชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาออกเดินทางคือคืนนั้นเอง!

นอกจากนี้เฟิ่งชิวหรันยังบอกเขาด้วยว่าเหตุใดจึงต้องเป็นตอนกลางคืน นี่ก็เพราะการเคลื่อนย้ายไปในบริเวณตัวดาบ จะแม่นยำที่สุดในยามรัตติกาลนั่นเอง

หลังจากที่ส่งข่าวไปให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าทราบเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลักในทันที เขามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เนื่องจากก่อนที่จะจากไปนั้น ชายหนุ่มต้องการทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เสียก่อน!

เห็นทีจะต้อง… ทำให้เจ้าต้วนมู่น้อยตกใจเล่นๆ เสียหน่อย!

เจ้าต้วนมู่น้อย คราวนี้ข้าจะประกาศให้เจ้ารู้เอง ว่าข้า หวังเป่าเล่อคนนี้ คือชายผู้ที่จะเป็นประธานสหพันธรัฐแทนที่เจ้า

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset