บทที่ 597 จักรพรรดิวายุทมิฬ
บนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬแห่งนี้ แสงเรืองประหลาดที่ส่องออกมาจากวัตถุที่ทำหน้าที่เหมือนดวงอาทิตย์ ส่องทะเลทรายสีดำให้สว่างไสว พร้อมด้วยไอร้อนระอุที่ห่อหุ้มบรรยากาศเอาไว้ ทำให้ดาวทั้งดวงดูแห้งแล้งแร้นแค้น
ดาวดวงนี้ไม่มีพืชพันธุ์ ไม่มีสัตว์ป่า กระทั่งอารยธรรมที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ ก็เป็นอารยธรรมของผีที่ใช้ศพเป็นเสื้อผ่าห่อหุ้มกาย
แม้จะมีหมู่บ้าน ก็เป็นหมู่บ้านของวิญญาณที่ใช้ร่างศพเป็นกายหยาบ
ราวกับว่าความตายเป็นแก่นหลักของดาวดวงนี้อย่างไรอย่างนั้น ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬเปรียบเสมือนน้ำนิ่งสงบเย็น ไร้ซึ่งรอยกระเพื่อม จนกระทั่ง… วินาทีที่หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึง
หวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนหินก้อนใหญ่ที่ถูกโยนลงไปในน้ำ ทำให้น้ำที่เคยนิ่งนั้นแตกกระเซ็น ก่อนกระเพื่อมออกเป็นวงกว้าง น้ำที่เคยนิ่งสงบปั่นป่วนด้วยคลื่นวงจากตัวตนของชายหนุ่ม…
ข้ารวยแล้ว! ชายหนุ่มที่มาเพื่อสร้างความโกลาหลหัวเราะอย่างมีความสุข ขณะเดินทางตัดอากาศด้วยท่าทีตื่นเต้น เขามาถึงดาวแห่งนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้ว และยังคงเดินหน้าทำลายหมู่บ้านอย่างต่อเนื่องไปมากกว่าห้าสิบหมู่บ้าน ด้วยการนำของวิญญาณชราและอำนาจแห่งเปลวไฟสีดำ
ทุกหมู่บ้านมีรูปปั้นที่เขาต้องการ รูปปั้นเหล่านั้นสร้างมาชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวทั้งสิ้น อันเป็นวัตถุดิบที่เปรียบเสมือนเงินทองสำหรับหวังเป่าเล่อ!
นอกจากนี้เขายังเจอวัสดุล้ำค่าอื่นๆ อีกในหมู่บ้านบางแห่ง มีทั้งแร่หายากและวัตถุเวทที่แตกหัก เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีในสหพันธรัฐ และแทบไม่มีข้อมูลบันทึกเอาไว้เลย เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่าหลังจากที่ได้ไปอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลมาเท่านั้น
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก เขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณต่างดาวสามคน ที่เขาสังหารไปเมื่อก่อนหน้าโดยใช้วัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว ว่าการปล้นสะดมดาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี้เยี่ยมยอดเพียงใด
นี่มันส้มหล่นชัดๆ … หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ ลืมเรื่องจักรพรรดิวายุทมิฬไปเสียสนิท ตอนนี้เขาสนใจเพียงการเก็บสะสมรูปปั้นเท่านั้น ผีชายชราข้างกายก็เริ่มช่ำชองการนำทางมากขึ้น ความช่วยเหลือนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเดินหน้าชิงทรัพย์และล้างบางไปได้อย่างต่อเนื่อง
เวลาเดินหน้าผ่านไปจนครบครึ่งเดือน หวังเป่าเล่อปล้นสดมไปแล้วแทบทั้งดาว ตอนนี้เขามีรูปปั้นอยู่มากกว่าหนึ่งร้อยอัน เมื่อเห็นว่าเวลาหนึ่งเดือนกำลังเดินหน้าเข้ามาเรื่อยๆ และตนเองเพิ่งจัดการยึดทรัพย์ไปเพียงครึ่งดาวเท่านั้น เขาก็เริ่มกระวนกระวาย และแล้วชายชราที่โดนหวังเป่าเล่อทั้งขู่ทั้งบังคับ ก็พาเขาไปยังสถานที่ที่มีรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในดาว!
ที่แห่งนั้นมีคูลึก รายล้อมด้วยพื้นที่โล่งแจ้งกว้างใหญ่ ไร้ซึ่งวิญญาณผีโดยสิ้นเชิง มีเพียงรูปปั้นยักษ์สูงสามร้อยเมตรพร้อมด้วยแสงเรืองสีแดงเท่านั้น ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนล่างของรูปปั้นนั้นถูกฝังลงใต้ดิน พลังลึกลับจากสวรรค์และผืนดินถูกส่งออกมาจากใต้ดินลึก ส่งผ่านรูปปั้นที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางออกมายังบรรยากาศภายนอก
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นรูปปั้นจากระยะไกล เขาก็หัวใจเต้นแรงอยู่ในอก ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง รูปปั้นนั้นแทบจะสร้างมาจากชิ้นส่วนกำเนิดดวงดาวทั้งหมด ส่วนวัสดุที่เหลือนั้นก็ดูล้ำค่าเช่นกัน
นี่ทำให้เขาตื่นเต้นจนจิตใจปั่นป่วน เขากระโจนเข้าใส่รูปปั้นในบัดดล ก่อนเปลี่ยนร่างเป็นเกราะจักรพรรดิทันทีที่เข้าใกล้พอ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะลั่น ร่างของชายหนุ่มใหญ่โตขึ้นจนสูงหนึ่งร้อยเมตร เขาพุ่งเข้ากอดรูปปั้นและหมุนมันเพื่อถอนรากถอนโคน ท่ามกลางเสียงคำรามก้องขณะออกแรง!
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเขย่ารูปปั้นอยู่นั้น พื้นดินก็สั่นสะท้าน รูปปั้นค่อยๆ หลุดออกจากพื้นดินทีละน้อยตามแรงกระแทก ส่งคลื่นสะท้อนสะเทือนไปตามจุดต่างๆ ใต้ดินที่เชื่อมกับรูปปั้นใหญ่
ในตอนนั้นเอง ที่ถ้ำใต้ดินเบื้องล่างรูปปั้นยักษ์ มีรูปบูชาห่อหุ้มด้วยวายุทมิฬตั้งอยู่ ลมหมุนสีดำหมุนวนอย่างต่อเนื่อง ภายในลมหมุนมีจุดแสงมากกว่าสองร้อยจุดกำลังส่องสว่างโชติช่วง มีอยู่สามจุดที่ส่องสว่างกว่าใครเพื่อน ปรากฏเป็นกระจุกลำแสงที่รวมตัวกัน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้แสงที่ริบหรี่กว่า ทุกครั้งที่กระจุกแสงสว่างวาบ ลมหมุนวายุทมิฬก็พัดเร็วกว่าปกติ
แต่ตอนนี้จุดแสงเล็กๆ นั้นมอดดับลงไปกว่าครึ่ง จึงทำให้ลมหมุนทมิฬลดความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด กระจุกแสงใหญ่หนึ่งในสามกำลังค่อยๆ ริบหรี่ลงเช่นกันจนมอดดับลงในที่สุด ดวงตาคู่หนึ่งเบิกกว้างขึ้นท่ามกลางลมบ้าคลั่งนั้น!
ดวงตาคู่นั้นฉายความไม่อยากเชื่อในตอนแรก ราวกับกำลังสงสัยว่าเหตุใดตนเองจึงถูกปลุกขึ้นก่อนเวลาอันควร แต่เมื่อเห็นจำนวนรูปปั้นที่ช่วยเสริมการฝึกปราณของมันหายไปมากกว่าร้อยอัน มันก็เข้าใจในที่สุดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น รูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดอันเป็นกระจุกแสงใหญ่ก็ดับลงเช่นกัน เสียงกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังทะลุลมหมุนออกมา
“ไอ้ฉิบหาย!”
เสียงกรีดร้องจากใต้ดินนั้นลอยขึ้นมาเข้าหูหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องบน ชายหนุ่มที่กำลังกระชากรูปปั้นออกจากพื้นกระพริบตาปริบ แสงสีแดงที่เรืองออกจากรูปปั้นเข้มขึ้นอีก ราวกับรูปปั้นนั้นกำลังกลับมามีชีวิต ดวงตาที่ไร้แววของรูปปั้นเริ่มออกแววขยับ
“อ้าว มีชีวิตหรอกหรือ” ชายหนุ่มตกใจ เขายกมือขวาขึ้นเรียกเปลวไฟสีดำออกมา ก่อนตบมือนั้นเข้าไปที่ศีรษะของรูปปั้น
“เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากต้องขโมยมา!” หวังเป่าเล่อตบรูปปั้นเสียงดัง จนทำให้มันสั่นสะท้าน แสงสีแดงมอดดับลงอีกครั้ง เมื่อทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปกติ หวังเป่าเล่อก็จัดการถอนรากถอนโคนรูปปั้นได้สำเร็จในที่สุด ชายหนุ่มตื่นเต้นขณะกำลังจะจัดการเก็บรูปปั้นเข้าไปในกำไลคลังเวท แต่ก็ต้องพบกับความจริงที่ว่ารูปปั้นนี้ใหญ่เกินไป และกำไลของตนกำลังจะเต็มแล้ว ทางเดียวที่จะเก็บเข้าไปได้คือเขาต้องจัดการทำลายให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียก่อน
หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายในทันทีที่ตนเองไม่ได้เอากระเป๋ามามากกว่านี้ แต่ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงทำได้เพียงคว้ารูปปั้นเอาไว้และรีบหนีออกมา ในตอนเดียวกันนั้น เขาก็ตบตีรูปปั้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มันแตกเป็นชิ้นๆ ระหว่างนั้นก็หยิบเอาส่วนที่แตกออกเข้ากระเป๋าไปด้วยในคราวเดียวกัน
ขณะที่กำลังหนีพร้อมทำลายรูปปั้นไปด้วยนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นกว่าเดิมจากถ้ำใต้ดิน ลมหมุนแยกตัวออกจากรูปบูชาและหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นภาพมายาของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่มีร่างกายเหมือนปักษา
ร่างนั้นมีศีรษะของสตรี แต่หาใช่หญิงชราไม่ สตรีผู้นั้นอยู่ในวัยกลางคน และไม่ได้มีเสี้ยวของความงามอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางน่าสะพรึงกลัวมากด้วยปานสีดำที่พาดผ่าน ปากอัดแน่นด้วยฟันแหลมคมกริบ ดวงตาอำมหิตเหี้ยม นางหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนให้ตนเองกลายเป็นลมหมุนสีดำ ก่อนแหกออกจากอ่างน้ำ ทะลุถ้ำ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน!
พายุสีดำพัดไปทั่วทุกสารทิศ พวยพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ มันเห็นหวังเป่าเล่อที่กำลังกอดรูปปั้นพร้อมเหาะหนีไปด้วยความเร็วสูงในทันที
“บังอาจมาขโมยรูปปั้นของข้า!” ผู้ฝึกตนต่างดาวกรีดร้อง ร่างปักษาที่มีศีรษะเป็นมนุษย์นั้น รีบรุดตามหวังเป่าเล่อไปด้วยความเร็วสูง
จักรพรรดิวายุทมิฬหรือ หวังเป่าเล่อที่กำลังทำลายรูปปั้นให้เป็นชิ้นๆ พร้อมเก็บเข้ากระเป๋านั้น หันกลับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงคำราม เขาเห็นเจ้าของเสียงในทันที พร้อมด้วยพายุสีดำสมกับชื่อนาง
มีปราณระดับจุติวิญญาณจริงเสียด้วย… ประกายวาบเข้ามาในแววตาหวังเป่าเล่อขณะเขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ชายหนุ่มเดินหน้าหลบหนีด้วยความเร็วสูง ทั้งยังโจมตีรูปปั้นอย่างเร่งรีบบ้าคลั่งมากขึ้น
เมื่อเห็นหัวขโมยที่กำลังหนีไป จักรพรรดิวายุทมิฬก็อารมณ์เสียขึ้นอีกทันที และมาดหมายว่าจะไม่ปล่อยหวังเป่าเล่อให้หนีไปได้อย่างแน่นอน ด้วยความที่ร่างของมันถือกำเนิดมาจากพายุทมิฬ มันจึงได้เปรียบด้านความเร็ว โดยเฉพาะกับหวังเป่าเล่อที่ยังมีปราณอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นใน จักรพรรดิวายุทมิฬไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของมันได้อย่างไร มันเพิ่มความเร็วขึ้นไล่ล่าหมายกลืนกินผู้บุกรุกเข้าไปทั้งตัวให้สาสม!
แม้ว่าจักรพรรดิวายุทมิฬจะมีปราณระดับจุติวิญญาณ แต่ก็เป็นเพียงระดับต้นเท่านั้น นอกจากนี้มันยังไม่ได้ฝึกร่างกายของตนให้แข็งแกร่ง และยังไม่ได้มีปัญญาวิญญาณในระดับสูงมากนัก มันก้าวขึ้นมาปกครองดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬได้ เพราะสำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลง จึงทำให้มีโอกาสยึดดาวเคราะห์นี้โดยไม่คาดคิด สิ่งมีชีวิตต่างดาวนี้จัดการเปลี่ยนดาวทั้งดวงให้กลายเป็นสวรรค์สำหรับการฝึกปราณของตนเองในทันที มันเปลี่ยนชิ้นส่วนต้นกำเนิดวิญญาณที่มีอยู่แล้วในบริเวณนี้ให้กลายเป็นรูปปั้นสักการะ โดยใช้เวลาสร้างรากฐานนี้อยู่นานหลายปี
แต่ความพยายามหลายปีนั้นกำลังถูกหวังเป่าเล่อทำลายลงภายในไม่กี่วัน จึงทำให้มันโกรธเป็นอันมาก ยิ่งเห็นหวังเป่าเล่อกำลังทำลายรูปปั้นแสนรัก โทสะก็ยิ่งทวีความบ้าคลั่งขึ้นไปอีก
“ไอ้โจรชั่ว ข้าจะกินเนื้อเจ้า รีดวิญญาณของเจ้าออกมา และทำให้เจ้ากลายเป็นผีไปเสีย ข้าจะเฆี่ยนทรมานเจ้าไปอีกพันปี ให้สาสมกับที่เจ้าบังอาจมาขโมยรูปปั้นของข้า!” จักรพรรดิวายุทมิฬที่เข้ามาใกล้กรีดร้องคำรามด้วยความแค้นใจ มันอยู่ห่างหวังเป่าเล่อไปเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น เสียงกรีดร้องแหลมสูงมาพร้อมผนึกมือชุด ร่างของมันหายไปทันที กลายเป็นพายุหมุนสีดำบ้าคลั่งที่เข้ามาแทนที่ พายุร้ายนั้นกำลังบดเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็ว
เมื่อเห็นว่าความเร็วของตนสู้จักรพรรดิวายุทมิฬไม่ได้ หวังเป่าเล่าก็อารมณ์เสียในทันที ใจเขาอยากเพิ่มความเร็วขึ้นอีก แต่เมื่อเห็นพายุสีดำตรงหน้า ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง
แปลว่าเกี่ยวกับวิญญาณจริงเสียด้วยสินะ! ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนโยนรูปปั้นที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เขาหันกลับไปเผชิญหน้าลมพายุ แววตาเหี้ยมเกรียม
“เจ้าโง่บ้าเซ่อหรืออะไร ข้าไม่ใช่หัวขโมย นี่มันอาณาเขตของสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าในฐานะศิษย์ของสำนักมีสิทธิ์บนดินแดนนี้อย่างเต็มที่ ข้าแค่มาเอาของคืนเท่านั้น เป็นบุญหัวแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ไปยุ่งกับเจ้า ยังบังอาจมาขู่ข้าอีกหรือ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงชอบธรรม เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับศัตรู กำมือขวาแน่นเพื่อบีบอัดเกราะจักรพรรดิเข้าเป็นหมัด ที่พุ่งออกไปหมายโจมตี!