“เจ้าเมืองหวังมาจากตำหนักอาวุธเวทของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านจะสัมผัสได้ถึงทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง” ร่างมายาสาวพูดขึ้นขณะมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่ออึ้งไป จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าจินตั้วหมิงมีท่าทีฉงน จึงหันไปมองภูเขาต้นกำเนิดดาราอีกครั้งก็ตระหนักได้ว่าจินตั้วหมิงสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ในต้นกำเนิดดาราไม่ได้
หลังจากได้ฟังที่ร่างมายาสาวพูด หวังเป่าเล่อก็รู้ในทันทีว่ามีอะไรอยู่ภายในต้นกำเนิดดารา
“อาวุธเวทอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นเสียงเบา
“มีอาวุธเวทสามชิ้นอยู่ภายในต้นกำเนิดดารา แยกขาดจากโลกภายนอก แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในก็ไม่สามารถจับสัมผัสได้ มีเพียงนักอาวุธเวทที่สามารถหลอมอาวุธเวทหรือผู้ที่สัมผัสได้ถึงทักษะการหลอมสวรรค์สร้างเท่านั้นถึงจะจับสัมผัสได้” ร่างมายาสาวเหลือบมองหวังเป่าเล่ออยู่หลายครั้งขณะพูด นางอึ้งไปเมื่อได้รู้ว่าชายหนุ่มสามารถสัมผัสทักษะการหลอมสวรรค์สร้างได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้
จินตั้วหมิงนั้นอึ้งยิ่งกว่า เขาเบิกตากว้างมองชายข้างๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง หวังเป่าเล่อไม่ได้บอกใครว่าตนกำลังลองหลอมอาวุธเวทอยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ชายหนุ่มเรียนรู้การหลอมอาวุธเวทระดับสูงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมถึงมีอาวุธเวทอยู่ในต้นกำเนิดดารา หรือมันมีความเกี่ยวข้องกับระเบิดต้านทานวิญญาณ” หวังเป่าเล่อไม่สนใจท่าทีของจินตั้วหมิง เขาถามคำถามที่อยู่ในใจขึ้น
ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่าการมาที่ศูนย์วิจัยในครั้งนี้ ได้เห็นต้นกำเนิดดารา และสัมผัสได้ถึงอาวุธเวทภายในต้นกำเนิดดารา…อาจจะช่วยให้ตนเข้าใจเรื่องทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่ยังไม่ถ่องแท้ให้กระจ่างขึ้น
หากเป็นคำถามจากผู้อื่น ร่างมายาสาวอาจไม่ตอบ แม้คำร้องของหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงจะผ่านการอนุมัติแล้วก็ตาม แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นางก็หันมองชายหนุ่ม เหมือนจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังติดปัญหาตรงนี้อยู่ จึงถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าให้
“ก่อนจะพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างระเบิดต้านทานวิญญาณและอาวุธเวท ท่านต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธเวทแท้จริงแล้วคืออะไร!” ร่างมายาสาวยกมือขวาขึ้นชี้ขณะพูด ทันใดนั้นภูเขาต้นกำเนิดดาราสีดำสนิทก็พลันเลือนรางและค่อยๆ โปร่งใสเผยให้เห็นอาวุธเวทสามชิ้นที่อยู่ภายใน!
“นี่คืออาวุธเวท!” หวังเป่าเล่อหันไปมองทันที ดวงตาหรี่เล็กเมื่อได้เห็นพวกมันอย่างชัดเจน แม้แต่จินตั้วหมิงที่เคยเห็นอาวุธเวทระดับเก้ามาก่อนก็ยังอดตื่นตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้
ภายในต้นกำเนิดดาราโปร่งใสมีอาวุธเวทชั้นยอดอยู่ ชิ้นหนึ่งเป็นมังกรสีดำขลับความยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน ชิ้นต่อมาคือปักษาเพลิงสีทองเปล่งแสงเรืองรอง และสุดท้ายคือมนุษย์หินที่กำลังโอบอุ้มสายฟ้าไว้ในมือ!
ทั้งมังกรสีดำและปักษาเพลิงต่างปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา มนุษย์หินอุ้มสายฟ้าก็ปล่อยรัศมีพลังน่าครั่นคร้ามเช่นกัน แม้จะมีต้นกำเนิดดารากั้นไว้ก็ยังรู้สึกราวกับทวยเทพได้ตื่นขึ้น พร้อมจะปล่อยคลื่นพลังไปทั่วทิศทาง
“วิญญาณวุธหรือ เป็นไปไม่ได้! ต้องไม่ใช่วิญญาณวุธแน่!” หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในเรื่องอาวุธเวทที่ได้ศึกษามา!
สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าอธิบายไว้ว่าอาวุธเทพเกิดจากการรวมพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ จากนั้นก็หลอมรวมวิญญาณวุธใส่ในสมบัติเวทชั้นเลิศ มันจึงมีชื่อเรียกว่า ‘อาวุธ’!
อาวุธเวทนั้นมีต้นกำเนิดมาจากเคล็ดวิชาหลอมที่บันทึกไว้ในชิ้นส่วนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทำให้ตระกูลหลอมสมบัติเวทขึ้นมามีบทบาทมากขึ้น พอพบชิ้นส่วนกระบี่ที่เกี่ยวข้องกับการหลอมสมบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็มีนักหลอมอาวุธเวทเกิดขึ้นภายในกลุ่มต่างๆ โดยมีการยึดถือธรรมเนียมการตั้งชื่อที่มีบันทึกไว้ในชิ้นส่วนกระบี่สำริดเขียวโบราณ
“ความรู้เรื่องอาวุธเวทที่บอกสอนในสหพันธรัฐนั้นไม่ได้ให้ข้อมูลที่ผิดแต่อย่างใด แค่ยังขาดเรื่องแก่นสำคัญ ไม่ใช่ว่าพวกเขาขาดความรู้ แต่เป็นเพราะกฎของทางสหพันธรัฐทำให้ไม่สามารถเผยแพร่ความรู้นี้ออกไปได้โดยง่าย สำหรับการหลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดและแปดนั้น หากขาดความรู้เรื่องแก่นสำคัญไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับตัวอาวุธเวท แต่การหลอมอาวุธเวทระดับเก้านั้นจะขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องแก่นสำคัญไปไม่ได้” ร่างมายาสาวอธิบายเสียงเบา น้ำเสียงของนางฟังดูเย็นยะเยือก นางไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้นแต่เป็นไปเองตามสัญชาตญาณ
“สิ่งที่ท่านเห็นไม่ใช่วิญญาณวุธอย่างที่ท่านว่า แต่เป็นรูปจำแลงของอาวุธเวทระดับเก้า พลังของสวรรค์และพื้นพิภพนั้นเกิดจากดวงจิตของสิ่งต่างๆ หลอมรวมเข้าด้วยกันซึ่งย่อมรวมถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานเมื่อครั้งโบราณกาลด้วยเช่นกัน หลังจากสิ้นชีวีลง พวกมันไม่ได้สลายหายไป หากแต่หลอมรวมเป็นหนึ่งกับดวงจิตของสวรรค์และพื้นพิภพ!
“ทว่าแม้ดวงจิตเหล่านี้จะมีอยู่ตั้งแต่ก่อนยุคกำเนิดวิญญาณ แต่พวกเราก็ไม่สามารถสัมผัสหรือใช้งานได้ การมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณและอารยธรรมการฝึกพลังปราณทำให้เรามีความสามารถในการสัมผัสและใช้ประโยชน์ดวงจิตเหล่านี้ได้!
“ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนั้น ผู้หลอมต้องสัมผัสได้ถึงดวงจิตของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อยู่ในสรรค์และผืนดิน และผนวกดวงจิตนั้นเข้ากับวัตถุเวทเพื่อเปลี่ยนร่างของมัน จากนั้นจึงใช้วิญญาณวุธเป็นสื่อเพื่อที่ดวงจิตเหล่านั้นจะถือกำเนิดและมีชีวิตขึ้นมาใหม่!”
“นี่คือแก่นสำคัญของอาวุธเวท!” จินตั้วหมิงไม่ค่อยเข้าใจที่ร่างมายาสาวพูด แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว คำอธิบายเหล่านี้เป็นเมื่ออัสนีบาทฟาดเข้ากลางหัวจนร่างสั่นสะท้าน ภายในหัวอื้ออึงไปหมด เขาถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม ภาพประสบการณ์การศึกษาค้นคว้าเรื่องทักษะการหลอมสวรรค์สร้างผุดขึ้นในหัว ในที่สุดก็หาคำตอบของข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นและได้หนทางการหลอมอาวุธเวทมา
“เช่นนี้นี่เอง!” ความสับสนงุนงงเรื่องอาวุธเวทที่เคยมีพลันหายวับไป ชายหนุ่มพบทางสว่างเบื้องหน้า กล่าวได้ว่าการมาเยี่ยมชมศูนย์วิจัยครั้งนี้ถือเป็นโอกาสทองของเขา แม้ว่ามันใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเข้าใจแล้ว ร่างมายาสาวก็เอ่ยเสียงเย็นขึ้นอีกครั้ง
“มีสิ่งมีชีวิตในตำนานอยู่มากมายตั้งแต่ตอนที่โลกถือกำเนิดขึ้น พลังของแต่ละตนก็ต่างกันออกไป ทำให้การหลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดนั้นง่ายที่สุด หากโชคดีก็อาจหลอมได้เป็นอาวุธเวทระดับแปด แต่ตั้งแต่โบราณกาลมา มีการหลอมสวรรค์สร้างเพียงไม่กี่แบบที่ใช้กับอาวุธเวทระดับเก้าได้…
“นอกจากนี้ยังต้องใช้วัตถุดิบและวิญญาณวุธอีกมากมาย ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้มีอาวุธเวทระดับเก้าอยู่ไม่ถึงสามสิบชิ้นในสหพันธรัฐแม้จะนับรวมกับที่สามัญชนมีในครอบครองแล้ว!
“ส่วนความเชื่อมโยงระหว่างอาวุธเวทและระเบิดต้านทานวิญญาณ…อาจบอกได้ว่าพลังของระเบิดต้านทานวิญญาณนั้นเทียบเท่ากับพลังที่ปะทุออกมาจากอาวุธเวทระดับเก้า…
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสตร์การหลอมอาวุธเวทและวิธีผนวกดวงจิตของทวยเทพ แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่เท่านั้น ยังต้องพิจารณาการปะทะกันระหว่างปฏิสสารกับสสารอีกด้วย” ร่างมายาสาวไม่ได้อธิบายอะไรต่อ ที่นางยอมเปิดเผยความลับสุดยอดออกไปก็เป็นเพราะว่าได้รับอนุญาตมา
ข้อมูลที่ได้รับมาเป็นประโยชน์ต่อหวังเป่าเล่ออย่างมาก พอได้ยินเรื่องการปะทะกันระหว่างปฏิสสารกับสสาร ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงนึกถึงปราณวิญญาณและปราณวิญญาณขั้วลบหรือที่เรียกอีกอย่างว่าปราณมืดเข้าปะทะกันขึ้นมาเป็นอย่างแรก ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าวิธีการนี้จะสร้างพลังมหาศาลขึ้นมาได้หรือไม่
แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถลองทำตามที่คิดได้ในตอนนี้ หลังจากพับเก็บความคิดใส่สมองเสร็จ เขาก็เดินตามหลังร่างมายาสาวที่นำหน้าไปพร้อมกหันมองภูเขาต้นกำเนิดดาราเป็นพักๆ ผุดนึกว่าเมื่อไหร่ตนจะมีภูเขาต้นกำเนิดดาราในครอบครองบ้าง ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่าสิ่งนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการหลอมอาวุธเวทระดับเก้า
แม้จินตั้วหมิงจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ได้ฟัง แต่ก็สังเกตเห็นท่าทีของหวังเป่าเล่อที่เหมือนจะครุ่นคิดอะไรอย่างหนักอยู่ เขาคิดว่าการมาเยี่ยมชมครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายมาก จึงเริ่มครุ่นคิดไปต่างๆ นานาและสรุปได้ว่าตนควรจะลองเดิมพันกับหวังเป่าเล่อให้มากขึ้น
ทั้งสองที่ครุ่นคิดเรื่องที่ต่างกันเดินตามหลังร่างมายาสาวออกมาจากห้องวิจัยหมายเลขสอง พวกเขาเดินตามทางเข้าไปในห้องวิจัยหมายเลขสามที่เจ้าผินฟางอยู่ และถือเป็นจุดสิ้นสุดการมาเยือนในครั้งนี้
แม้จะมีห้องวิจัยอีกมากมายกว่าสิบห้อง แต่หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงก็ไม่สามารถเข้าไปดูภายในห้องวิจัยเหล่านั้นได้ พิจารณาจากจุดที่เจ้าผินฟางอยู่ พวกเขาน่าจะได้เยี่ยมชมห้องวิจัยเพียงสามห้องนี้เท่านั้น
ห้องวิจัยหมายเลขสามดูต่างออกไปจากอีกสองห้อง เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาก็พบว่าภายในห้องไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่มีต้นกำเนิดดารา ไม่มีนักวิจัยเลยสักคนเดียว ห้องวิจัยห้องนี้เป็นเหมือนถ้ำในภูเขาธรรมดาๆ เท่านั้น!
บนผนังถ้ำมีภาพสลักรูปจักรวาล ในภาพสลักปรากฏรูปดวงดารามากมายยามค่ำคืน มีดาวเคราะห์สีเทาอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ดาวเคราะห์ดวงนั้นเหมือนจะสิ้นอายุขัยไปแล้วและกำลังพังทลาย มีวิญญาณที่กำลังทุกข์ทรมานมากมายลอยออกมาจากดาวเคราะห์ที่กำลังล่มสลาย พวกมันรวมกลุ่มก่อตัวกันเป็นสายธาร
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจภาพสลักมากนัก ทันทีที่เข้าไปในห้อง สายตาของเขาและจินตั้วหมิงก็จับจ้องไปยังแผ่นหลังของชายวัยกลางคนที่กำลังมองดูสายธารวิญญาณในภาพสลักอยู่!
ชายผู้นั้นใส่เสื้อสีฟ้า ดูภูมิฐานเหมือนนักวิชาการ มีผมสีเทาราวสายน้ำสีเงิน เขายืนสูงตระหง่านดังภูเขา แม้จะไม่ได้หันกลับมา แต่พลังกดดันมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่างแผ่กระจายไปทั่วห้อง!
เขาคือนักวิจัยวิญญาณมือหนึ่งและเป็นคู่ครองของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร เจ้าผินฟาง!