บทที่ 600 กลเม็ดเดิม!
ความรุ่งโรจน์ของระบบจักรภพไพศาล อาณาจักรดั้งเดิมแห่งดาวเคราะห์เต๋าไพศาลเมื่อวันวาน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบทอดกันมา เมื่อตระกูลไม่รู้สิ้นมาเยือน ดวงดาวที่เคยเต็มไปด้วยชีวิต บัดนี้กลายเป็นเพียงดินแดนรกร้างเท่านั้น
หากมองจากระยะไกล ท้องฟ้านั้นไม่ได้สดใสอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นสีเทาหม่นด้วยเมฆหมอก หากมองด้วยสายตาของผู้ฝึกตนระดับสูงอย่างชัดๆ จะเห็นว่าหมอกสีเทานั้น แท้จริงคือแมลงปีกแข็งสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ตัวเล็กมากเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แมลงสีเทาเหล่านั้นกระจายไปทั่วท้องฟ้าของดาวเคราะห์เต๋าไพศาล กินบริเวณกว้างจนราวกับเป็นอนันต์
สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่พยายามเข้าหรือออกดาวดวงนี้โดยไม่มีตราประจำตัว จะถูกแมลงปีกแข็งเหล่านี้ชอนไชร่างจนถึงแก่ความตาย แม้จะมีปราณอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ ร่างของพวกเขาก็จะยังถูกรุมทิ้งกัดกิน จนไม่เหลือแม้แต่ซากให้ได้เชยชม
นี่เป็นเศษเสี้ยวของพลังที่หลงเหลืออยู่ ของหนึ่งในราชันสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะล่มสลายลง และราชันสวรรค์ได้จากไปเรียบร้อยแล้ว แต่พลังที่หลงเหลืออยู่ก็ยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันดาวเคราะห์แห่งนี้
พื้นผิวดาวเคราะห์ที่เคยเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มและน้ำอันอุดมนั้น กลับกลายเป็นเพียงพื้นที่โล่งแจ้งแห้งเหือดไร้ซึ่งชีวิต ทั้งป่าและน้ำกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อสูรกลายพันธุ์มากมายที่ตระกูลไม่รู้สิ้นนำมาปล่อย ทำลายบริเวณทั้งหมดเสียสิ้น นอกจากนี้ยังมีวัตถุเวทลักษณะเหมือนเครื่องเจาะยักษ์คล้ายอาวุธเทพ ที่ปล่อยไอพลังรุนแรงเสียจนทำลายสวรรค์และผืนดินให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ปลายของเครื่องเจาะนั้นพุ่งเสียบทางเข้าของสำนักวังเต๋าไพศาลเอาไว้!
เครื่องเจาะยักษ์ผ่าภูเขาให้กลายเป็นสองซีก ตัวด้ามที่วางอยู่ท่ามกลางเศษหินเศษดินและซากปรักหักพัง ปล่อยไอชั่วร้ายออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
บนดาวเคราะห์เต๋าไพศาลแห่งนี้ มีวัตถุเวทลักษณะนี้อยู่เก้าชิ้นด้วยกัน!
ทั้งหมดเจาะเข้าไปในผืนดิน ปลายชี้ไปที่ใจกลางของดาวเคราะห์ และเดินหน้าดูดเอาพลังชีวิตของทั้งระบบจักรภพไพศาลออกมา
ระบบจักรภพไพศาลเป็นวงแหวนปราณยักษ์ ทั้งระบบเปรียบเสมือนตาข่ายโครงสร้างขนาดใหญ่ อันมีดาวเอกเป็นจุดศูนย์กลางทำหน้าที่เหมือนดวงใจแห่งชีวิต เมื่อดูดพลังออกจากดาวเองอันเป็นหัวใจนี้ พลังชีวิตของทั้งระบบจักรวาลก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยทั้งหมด
ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมาก ล้อมวัตถุเวทรูปร่างเหมือนหัวเจาะนี้อยู่ หลายคนเดินตรวจตราพื้นที่ เป้าหมายก็คือ การทำลายสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ยังหลงเหลืออยู่ให้สิ้นซากไป
บนท้องฟ้า ยานพาหนะสำหรับการรบหน้าตาโบราณ บินผ่านไปเป็นครั้งคราว ผู้ฝึกตนระดับสูงของตระกูลไม่รู้สิ้นยืนอยู่บนยานเหล่านั้น มองลงมายังผืนดินเบื้องล่างด้วยสายตาเย็นเฉียบ
ความโดดเดี่ยว การเมินเฉย และความโหดเหี้ยม คือหัวใจที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้เดินหน้าต่อไป แม้จะยังมีผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลหลงเหลืออยู่ ผู้ที่ยังคงพยายามต่อต้านชีวิตอันแสนโหดร้ายเช่นนี้ ความพยายามของพวกเขาก็ไร้ซึ่งความสำคัญใดๆ พวกเขาไร้ซึ่งอำนาจ ทำได้เพียงมองดวงดาวและจักรวาลบ้านเกิดของตน ค่อยๆ เหี่ยวเฉาและหมดสิ้นซึ่งรอยแห่งชีวิต จนท้ายที่สุดก็กลายสภาพไปเป็นเพียงตัวอย่างของเผ่าพันธุ์ที่สูญสิ้น ที่ราชันสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น เก็บไว้ดูเล่นเพียงเท่านั้น
ความฝันเดียวที่เหลืออยู่ของผู้ต่อต้านบนดาวเอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล คือการใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อต่อสู้ แม้จะไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงความสิ้นหวังนี้เลยก็ตาม…
บัดนี้ บนดาวเอกของระบบจักรวาลไพศาล คลื่นสะเทือนจากการเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพัง ห่างจากทางเข้าหุบเขาของสำนักวังเต๋าไพศาลไปไกลพอตัว คลื่นนี้ปรากฏขึ้นและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หวังเป่าเล่อเข้ามาได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ทันทีที่ปรากฏกายและยังไม่ทันได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แม่นางน้อยก็พูดด้วยเสียงลน
“หมอบลงเร็ว!”
หวังเป่าเล่อตกใจและรีบหมอบลงทันทีตามสัญชาตญาณ ในตอนเดียวกันนั้น ร่างของแม่นางน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นางสร้างผนึกมืออย่างต่อเนื่อง ร่างของทั้งสองปกคลุมด้วยหมอกหนาจนกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อม
ทันทีที่สำเร็จ ยานรบลาดตระเวนก็ปรากฏขึ้นด้วยความเร็วสูงและหยุดค้างอยู่กลางอากาศ บนยานนั้นมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นยืนอยู่ ผู้ฝึกตนผู้นั้นยังอายุน้อย พร้อมด้วยหกมือสามศีรษะตามแบบฉบับของตระกูลไม่รู้สิ้น เขาสวมชุดเกราะสีเทาที่มีจุดบกพร่องอยู่หลายจุด กระนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็ยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ชายหนุ่มผู้นี้คือผู้ฝึกตนของตระกูลไม่รู้สิ้น ที่พรั่งพร้อมไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน ดวงตาทั้งหกของเขามองลงมายังผืนดินเบื้องล่าง สำรวจพื้นที่อย่างละเอียดเป็นเวลานาน ก่อนจะมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าโดยรอบ และจากไปในที่สุด
หวังเป่าเล่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนกระทั่งยานลาดตระเวนนั้นจากไป แม้แม่นางน้อยจะจัดการกำบังกายพวกเขาทั้งสองด้วยหมอก แต่เขายังคงมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่างชัดเจน ชายหนุ่มเห็นทุกสิ่งบนท้องฟ้าอย่างแจ่มแจ้ง พลังที่ชายหนุ่มผู้นั้นปล่อยออกมา แซงหน้าเฟิ่งชิวหรันไปมาก โดยมีปราณอยู่ที่ระดับ… เชื่อมวิญญาณ!
หลังจากเวลาผ่านไปสิบห้านาที แม่นางน้อยกำลังจะขยับตัว ประกายวาบเข้ามาในดวงตาหวังเป่าเล่อพร้อมด้วยสัญญาณจิตที่ชายหนุ่มส่งไปให้นางรับรู้
“อย่าเพิ่งขยับ รอดูก่อนอีกครึ่งชั่วโมง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่นางน้อยก็เงียบลงอีกครั้ง เวลาเดินหน้าผ่านไปจนเกือบครบครึ่งชั่วโมง ยานรบที่หายไปเมื่อก่อนหน้ากลับมาอีกครั้ง หลังจากที่สำรวจบริเวณโดยรอบเรียบร้อย ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นก็สร้างผนึกมือ ทันใดนั้น แผนที่มายาก็ปรากฏขึ้น
แผนที่นั้นแสดงให้เห็นภาพของบริเวณนี้เมื่อก่อนหน้า หลังจากที่เทียบเคียงเรียบร้อยว่าภาพและความเป็นจริงเบื้องล่างเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้ฝึกตนคนเดิมก็หันหลังจากไปจริงๆ ในที่สุด
หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจขยับตัวเมื่อก่อนหน้า จนทำให้ภาพและความเป็นจริงไม่ตรงกันนั้น ทั้งสองจะต้องโดนจับได้เป็นแน่ ผลที่ตามมาก็คงไม่ต้องพูดถึง…
หลังจากที่รออยู่อีกสักพัก หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด เขาส่งสัญญาณให้แม่นางน้อยนำภาพมายากำบังออก ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใด แม่นางน้อยก็สร้างผนึกมือเพื่อทำให้บริเวณที่พวกเขาซ่อนอยู่ก่อนหน้า ดูเหมือนในภาพฉายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หัวเราะฝืด
“แม่นางน้อย ข้าเกรงว่าที่นี่จะอันตรายเกินไป…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะช่วยเจ้าทำภารกิจนี้ จะไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน เอาละ ข้าต้องการใช้เสี้ยวที่เหลือของกฎแห่งระบบจักรภพสำนักวังเต๋าไพศาล มาห่อหุ้มตัวเจ้าไว้ นี่จะทำให้เจ้าเปลี่ยนหน้าตาให้เหมือนคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นได้ หากเจ้าไม่เจอเข้ากับผู้ที่มีปราณระดับดาวพระเคราะห์ ก็จะไม่มีใครจับได้อย่างแน่นอน!” แม่นางน้อยพูดอย่างรวดเร็ว นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นางมั่นใจ ว่าจะช่วยหวังเป่าเล่อทำภารกิจได้สำเร็จ
หากเป็นดาวดวงอื่น นางคงไม่สามารถช่วยอะไรหวังเป่าเล่อได้ในสภาพนี้ แต่ด้วยสถานะของนางบนดาวเคราะห์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พลังของนางจึงกลับมาใช้ได้อีกครั้ง แม้บริเวณนี้จะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง แต่ตัวนางเองก็ยังคุ้นเคยกับบ้านเกิดเป็นอย่างดี
เมื่อพูดจบ แม่นางน้อยก็สร้างผนึกมืออีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้หวังเป่าเล่อได้ออกความคิดเห็น นางตบฝ่ามือลงบนพื้นที่หาได้สั่นสะเทือนไม่ แต่กลับมีลำแสงสีเงินฉายขึ้นมาจากใต้ดินแทน จุดกำเนิดแสงนั้นไม่ได้ใหญ่มาก จึงทำให้ดึงมาได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของแสงจากดวงดาวเท่านั้น ไม่นานนัก ก้อนแสงขนาดเท่ากำปั้นก็ถือกำเนิดขึ้น
ทันทีที่ดวงตาของหวังเป่าเล่อสบเข้ากับจุดกำเนิดแสง ชายหนุ่มก็ต้องตกใจ เขาเห็นผู้ฝึกตนมายมาย หลากหลายกระบวนเวท และเส้นด้ายนับไม่ถ้วนที่เรียงร้อยทุกคนและทุกวิชาเข้าด้วยกัน กระบวนเวทแต่ละวิชาสอดประสานกันด้วยด้ายเหล่านั้น
ส่วนสิ่งที่อยู่เบื้องลึกลงไปนั้น หวังเป่าเล่อหาได้ทราบไม่ ที่เขาเห็นเมื่อก่อนหน้าเป็นขีดสุดของความสามารถของเขาแล้ว แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนไม่เป็นชิ้นดี แม่นางน้อยกดก้อนแสงนั้นเข้าไปตรงกลางหน้าผากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นอย่างรุนแรง ก่อนบวมออกในฉับพลัน ภายในไม่กี่ลมหายใจ ร่างกายเขาก็แปรสภาพไปมากมายหลายครั้ง ชายหนุ่มสูงขึ้น ใบหน้าสองหน้างอกขึ้นมาข้างคอ แขนอีกสี่แขนแทงออกจากข้างลำตัว
หวังเป่าเล่อแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น ส่วนแม่นางน้อยก็หายตัวไปในหน้ากากทันทีที่ทำสำเร็จ แต่ก็ยังไม่วายกำชับหวังเป่าเล่ออยู่ในใจ
“ข้าทำได้เพียงเท่านี้ จงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เร็วที่สุด และอย่าเผลอเปิดโปงตนเอง พวกตระกูลไม่รู้สิ้นนานๆ ทีจะมีปฏิสัมพันธ์กันเอง ข้าฟังภาษาของพวกนี้เข้าใจและจะแปลให้เจ้าฟัง ทีนี้จงตามเดิมตามทางที่ข้าบอก และทำภารกิจให้สำเร็จเสีย
“อย่ากังวลใจไป ข้ารู้ทางลับทีห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล ทางลับนี้จะนำเจ้าไปสู่จุดต่ำสุดของซากทางเข้าสำนัก สิ่งที่เจ้าต้องตามหาอยู่ที่นั่น ที่ที่เจ้าหลอมฝักกระบี่ได้ก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน!”
ดูเหมือนจะเป็นนางมากกว่าที่ต้องการแผ่นศิลา… หวังเป่าเล่อพึมพำในใจขณะหัวเราะฝืด หากเขาตามไม่ทัน ก็คงไม่สมควรได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสองชั้นรองแห่งสหพันธรัฐ ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยจะมีอำนาจเปลี่ยนรายละเอียดบททดสอบได้ แผ่นศิลานั้นคงไม่ใช่เงื่อนไขในการผ่านบททดสอบที่ห้า แต่เป็นสิ่งที่แม่นางน้อยต้องการ
ด้วยเหตุนี้นางจึงแลกเปลี่ยนโดยการใช้โอกาสหลอมฝักกระบี่มาเป็นตัวล่อ แต่ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าและกลอกตา ชายหนุ่มคิดว่าหากตนเองไม่ใช้โอกาสนี้ประจบเอาใจแม่นางน้อย ก็คงเสียชื่อเต็มทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดกับแม่นางน้อยในใจด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว
“แม่นางน้อย เป่าเล่อไม่ใช่คนซื่อบื้อไม่รู้ความ… แต่ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อเจ้า ต่อให้จะต้องบุกป่าฝ่าขุนเขาอันตราย เดินทางข้ามทะเลเพลิง หรือหักกระดูกตนเองก็ตาม”